การเขียนว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมพร่ำเพรื่อ(ไม่ยอมรับธรรมของพระพุทธเจ้า) เหมาะสมหรือไม่ ?

พระเงื่อม อนฺทปญฺโญ (พุทธทาส) เขียนด้วยลายมือท่านเองว่า
:  ที่ยอมรับไม่ได้  ,--> มหาสุทัสนสูตร , ชนวสภสูตร , มหาโควินทสูตร

และยังเขียนกด ว่า นั่นคือการแสดงธรรม พร่ำเพรื่อ !!

การเขียนเช่นนี้ เหมาะสมหรือไม่ ?

(มีผู้นำมาทำเป็นหนังสือ ชื่อ พุทธทาสลิขิต หน้า ๑๑๑)






มหาสุทัสสนสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=10&A=3916

ชนวสภสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%AA%B9%C7%CA&book=9&bookZ=33&original=1

มหาโควินทสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%C1%CB%D2%E2%A4%C7%D4%B9%B7%CA%D9%B5%C3&book=9&bookZ=33&original=1




นึกถึงภาพ ถ้าพระเงื่อมนั่งอยู่ต่อหน้าพระพักต์ / ถ้าบอกว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมพร่ำเพรื่อ จะเกิดอะไรขึ้น ?

.






.
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
ไม่ใช่อะไรหรอก
ที่มันรับไม่ได้เพราะขัดกับทิฏฐิมัน
ลองลงรายละเอียดดูสิ

มหาโควินทสูตร
ตอนแรกกล่าวถึงเทวดา ตอนหลังกล่าวถึงอดีตชาติของพระศาสดาและข้อปฎิบัติสมัยนั้นจนมหาโควินทร์ได้เป็นพรหม

แล้วคนกล่าวมันเคยบอกอะไร มันเคยบอกพรหมเป็นภาษาธรรม หมายถึงคนมีเมตตาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่
ปล่อยพระสูตรนี้ไป หนังสือตูที่อยู่หน้าแผงจะขายออกหรือ

ชนวสภสูตร
กล่าวถึงพระอริยบุคคลสิ้นอายุขัย แสดงให้เห็นชัดว่าอนาคามี ทำกาละแล้วไม่กลับมายังโลกอีก
แล้วคนกล่าวมันเคยบอกอะไร มันเคยบอกยถึงการเกิดชาติภพทางใจ
ที่บอกว่าอนาคามีเป็นอรหันต์แน่คือเกิดภพทางใจอีกครั้งเดียว
แล้วนี่พระอนาคามีตายเสียก่อนเป็นอรหันต์ ก็แปลว่าที่มันเคยบอกเรื่องชาติภพทางใจไว้ผิดไง
ปล่อยพระสูตรนี้ไป หนังสือตูที่อยู่หน้าแผงจะขายออกหรือ


ส่วนมหาสุทัสสนสูตร ยิ่งแล้วใหญ่ มีประโยชน์มาก
กล่าวถึงอดีตชาติของพระศาสดาที่แม้จะยิ่งใหญ่เป็นถึงสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ
แต่สุดท้ายแล้วก็เข้าถึงความไม่เที่ยงแท้
แต่ขัดกับทิฏฐิตายแล้วสูญไง คนกล่าวมันเลยไม่เอา

ไปไล่พระสูตรที่เหลือสิ เรื่องที่มันไม่เอา สุดท้ายก็เพราะมีเทวดา มีชาติภพ ขัดกับทิฏฐิตายแล้วสูญของมันทั้งนั้น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 165
ใน คคห 108
สมาชิก080 เขาบอกว่า
"สุมาอี้เขาเขาเชื่อว่า "ตายแล้วสูญ" แต่ตลกตรงเขาไม่กล้ายอมรับ"
ส่วน 332 (คคห 109) ก็บอกว่า "รูปนาม เกิดดับสืบต่อไปตามเหตุปัจจัย เป็นสันตติ(เรียกว่า สงสาร)"

แต่พุทธธรรมที่ 332 ยกมาใน คคห 109 นั้น ท่านเขียนว่า
สังสารวัฏ (เวียนตายเวียนเกิด) ไม่ได้บอกสักหน่อยว่า "รูปนาม เกิดดับสืบต่อไปตามเหตุปัจจัย เป็นสันตติ(เรียกว่า สงสาร)" อย่างที่ 332 ว่า

และพุทธธรรมยังบอกว่า

อุจเฉททิฏฐิ หรือ อุจเฉทวาท แปลว่า ความเห็นว่าขาดสูญ คือเห็นว่า สัตว์บุคคล ตัวตนหรืออัตตา ไม่เที่ยงแท้ถาวร ดำรงอยู่ชั่วคราวแล้วก็สิ้นสูญไป..

พุทธธรรมมีต่อไปอีกว่า อุจเฉททิฏฐิคือพวกที่เห็นไปว่า สัตว์ บุคคล ตัวตนที่มีอยู่นั้นมาถึงจุดหนึ่งตอนหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อกายแตกสลาย ชีวิตนี้สิ้นสุด สัตว์ บุคคล ตัวตน หรืออัตตา ก็ถูกตัดขาดสูญสิ้นไปด้วย

แล้วพุทธธรรมก็อธิบายว่า ..
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นกระบวนธรรม เกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ประมวลกันขึ้น และเป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ย่อมไม่มีทั้งตัวตนที่จะเที่ยงแท้ถาวร และทั้งตัวตนที่จะดับสิ้นขาดสูญ .. จะเอาตัวตนที่ไหนมาขาดสูญ .. เป็นอันปฏิเสธทั้งทั้งสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ

ย้ำว่า พุทธธรรมที่ยกมาอ้างนั้น ไม่มีตรงไหนบอกเลยว่า "รูปนาม เกิดดับสืบต่อไปตามเหตุปัจจัย เป็นสันตติ(เรียกว่า สงสาร)" อย่างที่ 332 ว่าไว้
แต่พุทธธรรมบอกว่า อุจเฉททิฏฐิ คือ พวกที่เห็นว่า เมื่อชีวิตนี้สิ้นสุด สัตว์ บุคคล ตัวตน ก็ดับสิ้นขาดสูญ

ก็อยู่ที่ท่าน 332 จะมีความเห็นอย่างไร เห็นว่าเมื่อตนตายลงแล้ว จะเกิดใหม่มีชีวิตในภพใหม่ชาติใหม่หรือไม่ หรือเห็นว่าดับสิ้นขาดสูญที่การตายเพียงเท่านี้

ถ้าท่าน 332 เห็นว่า ตายแล้วสูญ ท่านก็เป็น อุจเฉททิฏฐิ อย่างที่พุทธธรรมว่าไว้ ก็แค่นั้นเอง

เท่าที่ดู ก็ว่า 332 เป็นอุจเฉททิฏฐิเห็นๆ อยู่ จะทำสะดิ้งโยกย้ายส่ายเอวหลบเลี่ยงไม่ยอมรับไปทำไมกัน ไม่เห็นต้องอายเลยนี่

ท่านที่ จขกท อ้างถึง ท่านยังไม่อายเลย !
ความคิดเห็นที่ 15
สังเกตุดูเอานะ
เอาภาพเก่าคุณเหลิมมาดูก็ได้
แต่ละอันที่มันไม่เอาน่ะ ย้อนต้นไปแล้วเพราะขัดกับทิฏฐฺิตายแล้วสูญของมันทั้งนั้น
ตอนแรกบอกไม่เอาอภิธรรม อ้างว่าเพราะไม่ใช่พุทธพจน์
ปู้โธ่
พุทธพจน์ถ้าขัดใจมัน มันก็ไม่เอา อย่างในกระทู้นี้มีกี่พระสูตรที่มันไม่เอา
ที่ไม่เอาจริงๆเพราะพระอภิธรรม อธิบายขัดแย้งกับทิฏฐิมันต่างหาก
ยกตัวอย่างเช่น ที่ภาพด้านบน มันบอกพระพุทธเจ้าตรัสขัดกันเอง เรื่องปุพเพนิวาสานุสติญาณเป็นคนเดียวกัน
ถ้าใครได้ศึกษาอภิธรรมจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าไม่ใช่คนเดียว จิตคนละดวง รูปนามคนละชุด มันจะคนเดียวกันได้ไง
แต่เพราะอภิธรรมไปขัดกับการอธิบายชาติภพทางใจของมันไง
มันเลยต้องพยายามตีให้ตกไป ไม่งั่นขัดกับทิฏฐิตู

ดูเอาเถอะ พระไตรทั้งหมดขัดกันเองตรงไหน
แต่หยิบคำอธิบายภาษาคนภาษาธรรมมันแล้วลองเอาไปใช้อธิบายพระสูตรหลายๆอันดูสิ
จะพบว่าสูตรนี้อธิบายได้ อันนี้ขัด อันโน้นแย้ง
ท้ายสุดเพื่อให้ทิฏฐฺิตูคงไว้ ต้องทำไงครับ

ถูกต้อง
พระสูตรไหนอธิบายไม่ได้ ........คำตอบคือ  พราหมณ์ปลอมปน ไง
แต่อย่าถามย้อนนะ ว่าปลอมยังไง ปลอมสมัยไหน ทำไมปลอมเถรวาทแล้วมหายานดันมี
ต่อให้มันฟื้นกลับจากนรกมา มันก็ตอบไม่ได้หรอก
เพราะเหตุผลจริงๆไม่ใช่เรื่องนั้น เป็ฯแค่ช่องทางออกทางเดียวที่จะคงทิฏฐิตายแล้วสูญของมันไว้ได้

เห็นที่มารึยังครับ
ความคิดเห็นที่ 169
พระโพธิสัตว์ เอาตัวตนที่มีสติ ก้าวลงสู่ครรภ์..
จิตดับแล้ว มีตัวตนที่มีสติ ขั้นระหว่าง จิตเกิด ยังไง..

ไปเอามาจากไหน มีบาลีต้นทางมั้ย เอามาดูซิ

ตรัสว่า ก้าวลงสู่ครรภ์ ก็คือ การเกิดในครรภ์ ปฏิสนธิในครรภ์ ซึ่งเป็นปฏิสนธิประเภทหนึ่งนั่นแหละ
แต่ถ้า "ยัด" เอาตามคำเรียงกันเป๋ง ว่าผู้นั้นๆ หรือพระโพธิสัตว์ หรือใครก็ตาม ฯลฯ จะต้องก้าวเท้า-ลงไป-ในท้องคน ฯลฯ อย่างนี้
อีท่านี้ก็จบแล้ว ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว พุทธศาสนามีไว้สำหรับคนที่ตั้งสติได้ตามควร ปัญญาจึงพอเกิดได้บ้าง
ถ้าฟั่นเฟือนขนาด "ยัด" ได้ง่าวสุดอัศจรรย์อย่างนั้น ก็เลยตามเลยแล้ว

จิตเกิดดับๆ สืบต่อกันไป จิตดับแล้วจิตเกิดขึ้นทันที ไม่มีช่องว่างเวลาคั่นระหว่างดับและเกิด
เหมือนแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็ดับทันที แสงสว่างดับลง ความมืดเกิดขึ้นทันที ไม่มีระหว่างคั่น จะไม่มีมืดและสว่างพร้อมกัน - เมื่อจิตดับ จิตเกิดทันที
จุติจิตดับลง ปฏิสนธิก็เกิดขึ้นทันทีนั้น โดยไม่มีระหว่างคั่นเหมือนกัน เพราะเป็นการเกิดดับๆ ของจิตนั่นเอง เพียงแต่จิตทำหน้าที่จุติ จิตทำหน้าที่ปฏิสนธิ

พระโพธิสัตว์ เอาตัวตน.. ก้าวลงสู่ครรภ์.. ?!
ปัดโธ่ .. เฟอะอะไรอย่างนี้..

คือเมื่อบุคคลกำหนดสติดำรงมั่น ก่อนตายหรือก่อนจุติ การตั้งสติไว้มั่นคงย่อมเป็นสภาพกุศล สติคือเจตสิกฝ่ายดี (โสภณเจตสิก) ย่อมเกิดในกุศลจิตเท่านั้น กระบวนการนี้ทำให้วิถีจิตสุดท้ายที่จะจุติ ที่เรียกว่ามรณาสันนวิถี มีอารมณ์เป็นกุศล คติหรือ "ที่ไป" คือภพใหม่ต่อจากตาย ก็จะเป็นสุคติภพ และการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นสุคติภพอย่างหนึ่ง..

เมื่อได้อารมณ์เป็นกุศลขณะจะตาย เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่ตาย ภพนั้นก็สิ้นสุด ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นทันที
เมื่อมรณาสันนวิถี ก่อนจุติ/ตาย มีอารมณ์เป็นครรภ์มารดา - ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นในครรภ์มารดา..

คัมภีร์บันทึกคำตรัสเล่าไว้ว่า (ในชุด "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์" ก็มีลงไว้ แม้ผู้เรียบเรียงหนังสือชุดนี้จะมีท่าทีไม่อยากยอมรับ แต่ก็จำใจต้องบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ในชุดหนังสือของตนอย่างเสียไม่ได้) ไปหาดูเอาเอง
แต่อธิบายอย่างนี้ - พระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตเทวภพ เป็นเทวดา เมื่อเทวดานั้นจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับลง ทันทีนั้น ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นในครรภ์มารดา..

ถ้าว่าลึกลงไปอีก ก็คือมีที่ตั้งที่อาศัยของจิต ที่เรียกว่า หทยวัตถุ เป็นรูปปรมาณู(รูปละเอียด) เมื่อจุติจิตดับลงที่ภพดุสิต (ที่ไหนสักแห่งที่ไกลจากโลก) ปฏิสนธิจิตก็พลันเกิดขึ้นพร้อมกับหทยวัตถุ ที่หทยวัตถุในครรภ์มารดา ในโลกมนุษย์..
แต่จิตไม่ต้องเดินทางเหมือนแสง เหมือนวัตถุธาตุต่างๆ เพราะจิตไม่ใช่รูป จิตเป็นนาม จิตเกิดดับๆ ไม่ต้องเดินทางข้ามระยะทาง ก็ไม่ต้องกินระยะทาง จึงไม่มีเวลาแทรกคั่นระหว่างการดับ/การเกิดของจิต

สรุปว่า มีสติ ก้าวลงสู่ครรภ์ ก็คือมีสติก่อนจุติจิตเกิดขึ้น/ดับลง เมื่อมีสติซึ่งเป็นธรรมชาติฝ่ายกุศล เกิดในจิตฝ่ายกุศล วิถีจิตสุดท้ายที่จะจุติก็จะมีอารมณ์ฝ่ายกุศลด้วย พอจุติจิตเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับลง ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเป็น "กิจ" หรือ "หน้าที่" ของจิตที่เป็นวิบากจิตอย่างหนึ่ง วิบากจิตเป็นจิตที่รับผลจากอารมณ์ขณะกำลังจะจุติ โลกมนุษย์ถือเป็นสุคติภูมิ ดังนั้น มีสติ ก้าวลงสู่ครรภ์ จึงเป็นปฏิสนธิที่เป็นผลของกุศล นำเกิดในครรภ์มนุษย์

ที่ถามว่า จิตดับแล้ว มีตัวตนที่มีสติ ขั้นระหว่าง จิตเกิด ยังไง ก็คือถามไม่เป็น เพราะไม่รู้เรื่อง จึงไปคว้าเอาสิ่งที่ไม่เคยมี เอามาถามว่ามันมีขึ้นได้ยังไง ?!

สรุปก็คือ เซ่อนั่นแหละ ยัดอะไรเซ่อๆ ไปเรื่อย!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่