'มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง' หมายความแค่ไหน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"...ทุกกคนในที่นี่ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือเปล่าคะ ? ได้ยินคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เคยพูดด้วยหรือเปล่า พูดแล้วผ่านไปเลย ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร หรือว่าแต่ละคำจริงใจแค่ไหน มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสังฆรัตนะ คือ พระสงฆ์สาวกที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคลเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น พึ่งจริง ๆ หรือเปล่า หรือว่า พึ่งจริง ๆ อย่างไร ? หรือ พึ่งจริง ๆ แค่ไหน ? ตามลำดับของความเข้าใจที่สะสมมาแล้ว ที่กำลังสะสมอยู่ และจะสะสมต่อไป...
...ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า 'มอบตนให้พระศาสดา' หรือ พระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น มอบตนก็คือมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่เช่นนั้นไม่ชื่อว่ามอบตน แต่ว่าถ้าเพียงแต่กล่าวตาม ผ่านแล้ว หมดแล้ว ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากการที่จะกล่าวคำนั้น แม้แต่จะกล่าวไปแล้วก็ยังไม่ได้ประโยชน์ เพียงแต่กล่าว แต่ถ้าเป็นผู้ที่ลึกซึ้ง รอบคอบ รู้ว่าพระธรรมละเอียด แม้ว่าขณะนี้ก็มีธรรมทั้งนั้นเลย ก็ยังไม่ได้เข้าใจธรรมเหล่านี้เลย ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งตามความเป็นจริง ก็เป็นผู้ที่ฟังด้วยความเคารพในธรรม เพื่อที่จะรู้ว่า เมื่อฟังต่อไป มีความเข้าใจขึ้น ก็สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรมอย่างบุคคลในครั้งโน้นได้ แต่ว่าเมื่อยังไม่ใช่ก็จะต้องฟังต่อไป...
...เพราะฉะนั้น การที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก็ต้องตามลำดับของความเข้าใจ แล้วก็ข้อความที่ว่า 'มอบตนแด่พระรัตนตรัย' จากการที่กล่าวว่า 'มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง' หมายความแค่ไหน ฟังธรรมโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส เหมือนกับตรัสกับตน เมื่อมอบตนแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำที่ได้ทรงแสดงไว้ ถ้าไม่มอบตนก็พูดไปเถอะ ฟังไปเถอะ แต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม อย่างนั้นชื่อว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หรือว่ามอบตนหรือยัง ? หรือว่ากล่าวไว้ก่อน กล่าวไว้ก่อน แต่ยังไม่มอบตน แต่ถ้ามอบตนจริง ๆ คือ เห็นคุณค่าจริง ๆ กิเลสที่มากมายมหาศาล สามารถที่จะค่อย ๆ ละคลายไป จนกระทั่งดับได้เป็นสมุจเฉท...
...ทุกคนในขณะนี้อยู่ในภพที่ลำบากด้วยกิเลส ในมนุษย์เห็นกิเลสมากมั้ยคะ ? คิดว่าบนสวรรค์ กามาวจรเทพจะมีกิเลสมากมั้ยคะ ? ที่ไหน ๆ ก็ต้องมีกิเลสมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เพราะมีคำอุปมาว่า 'อวิชชา' ความไม่รู้ เปรียบเหมือนลูกศรที่แทงเข้าไปในใจ แล้วฉาบทาด้วยยาพิษ ! มีทางมั้ยที่จะเข้าใจธรรม ถ้าตราบใดที่ยังมีอวิชชา และก็ไม่รู้เลยว่าขณะใดก็ตามที่อกุศลเกิดขึ้น เพราะมีอวิชชา มีความไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมด้วยความเป็นตัวตนที่อยากจะเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ แต่ฟังเพราะสำนึกว่าเป็นผู้ไม่รู้ แล้วก็จะรู้ได้ ยิ่งฟังยิ่ง(เข้าใจว่า)ไม่รู้ เพราะฉะนั้น มอบตน คือ ฟังเพื่อกล่าวคำใดก็จะประพฤติปฏิบัติตามคำนั้น เพราะว่ากิเลสมากเหลือเกิน วันนี้ใครเห็นกิเลสของตนเองบ้าง ไม่ต้องกิเลสคนอื่น คนอื่นเยอะ แต่ตัวเองนี้คือหนึ่ง เพราะฉะนั้นแค่ตัวเองหนึ่ง กิเลสแค่ไหน ไม่มีการรู้เลยถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมแต่ละคำ เพื่อให้แต่ละคนเกิดปัญญาความเห็นถูกต้องในความไม่ดีของตนเอง ในอกุศลของตนเอง เพื่อที่จะรู้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนอื่นถ้ายังคงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราจะดับกิเลสใด ๆ ไม่ได้เลย..."
ขอเชิญรับฟังธรรมเตือนใจ 'มอบตนแด่พระรัตนตรัย' ได้ที่ :- http://www.dhammahome.com/audio/topic/10564
ขอเชิญรับชม พระภิกษุจับต้องกายหญิงที่เป็นลูกสาว ผิดพระวินัย :-
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.dhammahome.com/webboard/topic/28230
ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่อง สมาธิ !
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่อง สมาธิ !
...สาวก แปลว่า ผู้สำเร็จการฟัง ถ้าไม่มีปัญญาเริ่มตั้งแต่ขั้นการฟังพระธรรม บอกให้ไปนั่งสมาธิ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าสมาธิ คือ อะไร ? สมาธิมีอะไรบ้าง ? จะทำในสิ่งที่ไม่รู้ เป็นสิ่งที่ถูก หรือ เป็นสิ่งที่ผิด ? เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ความเข้าใจเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่สามารถจะมีได้ และสำคัญผิดคิดว่าการปฏิบัติ คือ การนั่งสมาธิ แต่ในความเป็นจริง 'ปฏิบัติ' ในพระพุทธศาสนาที่เป็นหนทางในการดับกิเลส มีหนทางเดียว คือ สติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นเจริญวิปัสสนารู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา...
...ซึ่งจะขอเพิ่มเติมเรื่องสมาธิให้เข้าใจถูกต้องว่า 'สมาธิ' ไม่ใช่มีเฉพาะสมาธิที่ดีเท่านั้น สมาธิที่ไม่ดีก็มีด้วย ซึ่งเป็นมิจฉาสมาธิ...
...ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจตั้งแต่คำว่า 'สมาธิ' ว่า คือ อะไร ? สมาธิเป็นความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิกธรรมหนึ่งที่จะต้องเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ ทุกประเภท ไม่มีเว้น ดังนั้นทุกขณะมีสมาธิเกิดแน่นอน แต่ที่น่าพิจารณา คือ ถ้าเกิดกับอกุศล ก็เป็นมิจฉาสมาธิ ในทางตรงกันข้ามถ้าเกิดกับกุศล ก็เป็นสัมมาสมาธิ เพราะเป็นความถูกต้อง ในขณะที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้...
...แต่เมื่อกล่าวโดยละเอียดลงไปแล้ว 'สัมมาสมาธิ' หมายถึง นัยที่เป็นไปกับด้วยการอบรมเจริญภาวนา ๒ อย่าง ทั้งที่เป็นสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา การอบรมความสงบของจิตที่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างกุศลกับอกุศล พร้อมทั้งรู้ด้วยว่ามีทางที่จะทำให้สงบระงับจากอกุศลได้ ก็เจริญสมถภาวนาเป็นไปในอารมณ์ที่ทำให้เกิดกุศลจิตติดต่อกันไป จนปรากฏลักษณะของความตั้งมั่นที่เป็นสมาธิ จนได้ฌานขั้นต่าง ๆ อย่างนี้เรียกว่า 'สัมมาสมาธิ' ที่เป็นไปกับด้วยการอบรมเจริญสมถภาวนา ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้...
...ส่วนสัมมาสมาธิที่เป็นไปกับด้วยการอบรมเจริญวิปัสสนานั้น ในขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ขณะนั้นสัมมาสมาธิก็ตั้งมั่นในอารมณ์ที่สติระลึกและปัญญารู้ตามความเป็นจริง ซึ่งจะเกิดพร้อมกับมรรคองค์อื่น ๆ และเจตสิกธรรมฝ่ายดีประเภทอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกับจิตในขณะนั้นด้วย เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น...
...เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ก็จะไม่เข้าใจผิดว่า ก่อนจะเจริญสติปัฏฐาน ก็ต้องเจริญฌานก่อน แท้ที่จริงแล้วการอบรมเจริญฌาน เป็นอัธยาศัยของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่เหมือนกันเลย เป็นไปตามการสะสม แต่แม้ไม่ได้เจริญฌาน ก็ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นการเจริญขึ้นของปัญญาที่เป็นไปในการรู้สภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริงได้เลย สิ่งสำคัญที่สุด คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง...
ขอเชิญรับชม อบรมปัญญา แต่ต่อต้านสมาธิ :-
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/28233
ถ้าพระภิกษุรับเงินแล้วนำเงินไปบริจาค หรือ ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ ผิดพระวินัยหรือไม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถ้าพระภิกษุรับเงินแล้วนำเงินไปบริจาค หรือ ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ ผิดพระวินัยหรือไม่ ? :-
...พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงบัญญัติพระวินัย พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกในอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่จะเกิดขึ้น จึงบัญญัติสิ่งที่ควรและไม่ควร เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทที่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีภิกษุบุคคล หรือ ความคิดของตนเองเป็นที่พึ่ง จึงเคารพในพระวินัยบัญญัติ ผู้ที่เข้าใจถูก คือ ผู้ที่ได้ศึกษาพระวินัย และทำให้เห็นถึงความแตกต่างของพระภิกษุที่เป็นเพศบรรพชิต ที่สละหมดแล้วจากความเป็นคฤหัสถ์ แตกต่างจากเพศคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง เมื่อมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง จึงรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรตามพระพุทธบัญญัติ สมัยพุทธกาลพระภิกษุทำอย่างคฤหัสถ์และรับเงินและทอง คฤหัสถ์ผู้มีปัญญาติเตียน เพ่งโทษ พระพุทธเจ้าก็ทรงติเตียน เพ่งโทษ ด้วยจิตเมตตาอนุเคราะห์เพื่อให้ไม่ทำอย่างคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น หากได้ศึกษาพระวินัย กิจของพระภิกษุ มีสองอย่าง คือ คันถะธุระ และวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่จะทำกิจอย่างคฤหัสถ์...
...การรับและยินดีในเงินและทอง เป็นอาบัติสำหรับพระภิกษุ ถ้าจะช่วยสังคมอย่างคฤหัสถ์ ก็สึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ เพราะเพศบรรพชิต สละแล้วซึ่งเงินและทองทั้งปวง...
...เงินและทองไม่ควรกับพระภิกษุตามพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติในอดีตกาลสมัยใด แม้ในสมัยนี้ และในอนาคตกาล ก็เป็นอย่างนั้น ผู้ที่บอกว่าพระภิกษุสมัยนี้จำเป็นต้องใช้เงินและทองก็เท่ากับว่าค้านจากพระดำรัสของพะพุทธเจ้า ไม่ได้มีพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นที่พึ่ง และลืมความเป็นพระภิกษุ แม้แต่คำว่าภิกษุ ซึ่งเป็นบรรพชิต ก็ต่างจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง...
...หากจะกล่าวว่า พระพุทธเจ้าให้ยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อย แล้วใครเล่าที่จะให้ยกเลิก ข้อนั้นข้อนี้ แม้แต่พระอริยสาวกผู้เป็นพระอรหันต์มีท่านพระมหากัสสปะ และท่านพระอานนท์ เป็นต้น เมื่อครั้งทำสังคายนาครั้งที่ ๑ พระเถระผู้ทรงคุณล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและคุณธรรมประการต่าง ๆ ก็มีมติว่าเราจะไม่ยกเลิกสิกขาบทเล็กน้อย เพราะท่านเหล่านั้นเคารพในพระปัญญาคุณและเคารพในพระวินัยที่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงบัญญัติได้ แม้ท่านพระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญาก็ไม่สามารถบัญญัติพระวินัยได้เลย นี่คือความเคารพในพระวินัยบัญญัติและเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของผู้มีปัญญาในสมัยอดีตกาล...
...บุญ คือ สภาพจิตที่ดีงาม หากแต่ว่าเมื่อเป็นเพศบรรพชิต สิ่งที่คิดว่าดีตามแบบคฤหัสถ์กระทำกัน กลับเป็นโทษ เช่น การรับเงินและทอง และไปช่วยเหลือสังคม เพราะต้องอาบัติ เมื่อทำผิดพระวินัย ต้องอาบัติ ซึ่งที่เป็นสิ่งไม่สมควร ย่อมนำมาซึ่งโทษ...
...พระภิกษุล่วงอาบัติเล็กน้อยในสมัยพุทธกาล ไม่ได้เห็นโทษ ไม่ได้ปลงอาบัติ หรือ ปลงอาบัติแต่ไม่ได้เห็นโทษก็เป็นอันไม่ได้ปลงอาบัติ แม้จะเป็นเพียงอาบัติเล็กน้อยก็ทำให้พระภิกษุรูปนั้นไปเกิดในอบายภูมิ เป็นนาคราช ไม่สามารถเกิดในสุคติภูมิได้ เพราะอาบัติเป็นเครื่องกั้นในการเกิดในสุคติ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ให้เงินพระภิกษุ พระภิกษุผู้รับเงินนั้นต้องอาบัติก็เท่ากับว่าให้ท่านไปนรก ไปอบายภูมิ สงสารท่านไหมที่จะให้ท่านไปในอบายภูมิแบบนั้น หรือว่าคฤหัสถ์เพียงแค่ต้องการบุญแต่ไม่รักษาพระศาสนา ไม่รักษาพระวินัย และไม่รักษาพระภิกษุรูปนั้น...
...ดังนั้น ประโยชน์ของพระวินัยกับคฤหัสถ์เมื่อได้ศึกษา คือ ประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องกับพระภิกษุ และเกื้อกูลท่าน ให้ในสิ่งที่สมควร ก็ช่วยเหลือท่านด้วย...
...พระอริยสาวกผู้มีปัญญาในอดีต มีท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น ออกมาช่วยสังคมแบบคฤหัสถ์หรือไม่ ? หรือ รับเงินและทอง ช่วยสังคม หรือไม่ ? ไม่เลย เพราะท่านเคารพพระวินัย เคารพในพระพุทธเจ้า และรู้ตัวเองว่าเป็นเพศใด ดังนั้น ท่านจึงช่วยสังคมที่ถูกต้องตามเพศบรรพชิต คือ ท่านแสดงธรรมอันเป็นการช่วยสังคมอย่างสูงสุด และเคารพพระวินัยด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยที่จะไม่ทำอย่างคฤหัสถ์...
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก อปายสูตร :-
"...คนเป็นอันมาก อันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามก ไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้น ย่อมเข่าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย, ก้อนเหล็กร้อน เปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้ว ยังประเสริฐกว่า, ผู้ทุศีล ไม่สำรวม บริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร..."
ขอเชิญรับชม ถ้าพระรับเงินแล้วนำเงินไปบริจาคหรือทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ ผิดในพระวินัยมั้ยคะ ? :-
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/28211#a2
ขอเชิญรับชมคลิปวิดีโอ บ้านธัมมะ ๑๐๑ _ ช่วยสังคมอย่างประเสริฐ :-
www.dhammahome.com/video/topic/2153
"...'สาวก' คือ ผู้ฟัง ถ้าไม่ฟัง(พระธรรม) แล้วจะมีปัญญาเกิดขึ้นเอง เป็นไปไม่ได้ !!! ..."
'มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง' หมายความแค่ไหน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอเชิญรับชม พระภิกษุจับต้องกายหญิงที่เป็นลูกสาว ผิดพระวินัย :-
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่อง สมาธิ !
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าพระภิกษุรับเงินแล้วนำเงินไปบริจาค หรือ ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ ผิดพระวินัยหรือไม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้