[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“ธรรมดาที่ผู้ใหญ่จะฝึกสอนใจเด็ก ควรฝึกสอนโดยชี้แจงความจริงที่ตัวได้รู้
และได้คุ้นเคยมาก่อนทั้งฝ่ายคุณและฝ่ายโทษ ให้เด็กได้ความรู้ยิ่งขึ้น
โดยลำดับ เป็นทางที่จะรักษาตัวให้เป็นไปทางข้างชอบดังนี้ จึงจะเรียกว่า
เป็นการฝึกสอนที่ชอบ
ทุกวันนี้ผู้ใหญ่เราบางคนอยากจะให้เด็กนอนก็หลอกเด็กว่าถ้าไม่นอนจะมีตุ๊กแก
มากินตับ เด็กมันเชื่อถือจึงยอมนอน ผู้ใหญ่กลับเห็นว่าเป็นวิธีที่ดี โดยหมิ่นเด็กว่า
ปัญญายังอ่อน หลอกลวงให้ทำอะไรได้ง่ายๆตามใจ
หาคิดไม่ว่าเป็นโทษแก่ตัวเด็ก ด้วยเรากล่าวเท็จเป็นตัวอย่างให้มันจำ แลเคยใจว่า
ความเท็จย่อมจะดี ผู้ใหญ่เขาจึงกล่าว
หรือมิฉะนั้นมันจับว่าหลอกมันได้เมื่อไร จะบอกกล่าวสั่งสอนอันใดมันก็ย่อม
คลางแคลง ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เมื่อว่าโดยย่อนิสัยเด็กกับผู้ใหญ่มันก็นิสัยคน
เหมือนกัน ผิดกันแต่ที่อ่อนกับแก่ ทำสิ่งใดเป็นความชั่วแก่ผู้ใหญ่มันก็ชั่วแก่เด็ก
เหมือนกัน”
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
นำมาเกริ่นเป็นเบื้องต้นของเรื่องที่จะพูดให้ฟังในวันนี้ ก็เพราะเห็นว่าสมัยก่อน
หลอกกันแค่เด็กเท่านั้น แต่ในสมัยนี้หลอกกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนมั่วไปหมด
กระบวนท่าแห่งการหลอกล่อในหมู่พวกเดียวกันอย่างนี้ ศัพท์ที่ใช้ในทางการทหาร
เขาเรียกว่า “ปฏิบัติการทางจิตวิทยา” คือหาวิธีการต่างๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการพูด
การโฆษณา เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย หรือเกิดความ
ไม่พอใจต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นต้น ซึ่งการ “ปฏิบัติการทางจิตวิทยา”ที่ว่านี่แหละ
ในยามสงครามใช้คำว่า “สงครามจิตวิทยา” ซึ่งเป็นคำที่ทหารรู้จักกันดีในกระบวน
ท่าที่จะนำมาใช้กับคู่ต่อสู้ในสนามรบ
ขอย้ำว่าใช้กับคู่ต่อสู้ในสนามรบเท่านั้น
ไม่ใช่นำมาใช้กับพวกเดียวกัน เพราะถ้านำมาใช้กับพวกเดียวกันแล้ว
ก็ไม่ผิดอะไรกับคำสอนใจของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ที่ยกมาให้อ่านข้างต้นคือหลอกให้เชื่อและทำตาม
หลักการทำสงครามจิตวิทยานั้น ใครเป็นทหารย่อมเคยร่ำเรียนมาแล้วแทบทั้งสิ้น
ในโรงเรียนทหารระดับสูง ประกอบด้วย 3 หลักใหญ่ในการใช้ ประกอบด้วย
1.การสร้างความหวัง
2.การยังความกลัว
3.การยั่วให้เกลียด
ทั้ง 3 หลักดังกล่าวจะถูกหยิบยกมาประกอบใช้ในการต่อสู้กับข้าศึกเพื่อชัยชนะในเบื้องหน้า ไม่ว่าการต่อสู้นั้นจะเป็นการต่อสู้ในรูปแบบของสงครามปกติทั่วไป หรือการต่อสู้ในรูปแบบ
ของสงครามนอกแบบต่างๆ เช่น สงครามจำกัดเขต หรือสงครามจรยุทธ หรือสงครามกองโจร
สาระสำคัญของหลักการแต่ละอย่างดังกล่าวนั้น พอจะสรุปความหมาย
ในทางปฏิบัติของแต่ละหลักการได้คือ
1.การสร้างความหวังให้เกิดขึ้นกับคนอีกฝ่ายหนึ่งหรือแม้กระทั่งกับคนใน
ฝ่ายเดียวกันให้รู้สึกว่า ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าที่กำลัง
เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งที่ได้มาดังกล่าวนั้นจะต้องร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้
เพื่อให้ไปถึงจุดนั้น
2.การยังความกลัวด้วยการใช้วิธีการต่างๆที่รุนแรงหรือโหดเหี้ยม เพื่อข่มขวั
ญและกำลังใจของคู่ต่อสู้ แม้กระทั่งกับประชาชนของอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความ
เกรงกลัว ไม่ร่วมมือกับผู้ถืออำนาจ หรือหันมาเข้ากับฝ่ายตน
3.การยั่วให้เกลียดด้วยการสร้างข่าวสารหรือเรื่องราวต่างๆให้เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือเกิดความโกรธแค้นไม่ยอมทำตามคำสั่ง แม้กระทั่งการปล่อยข่าวเสียหายต่างๆ
ต่อบุคคลที่เป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องและเอาใจออกห่าง
ทั้ง 3 หลักดังกล่าวเป็นหลักการสำคัญในการปลุกระดมให้เกิดความเห็น หรือเกิด
ความรู้สึกคล้อยตาม หรือเชื่อไปตามนั้น โดยมีการกระทำผ่านสื่อต่างๆที่มีอยู่
ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่ความรับรู้ของผู้คนทั้งหลาย หรือการผลิตใบปลิวแจกจ่าย
แม้กระทั่งคำปราศรัย คำกระซิบกระซาบจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง รวมถึงการทำ
โพลล์ชี้นำ
บ้านเมืองที่ผ่านๆมาในอดีต โดยเฉพาะในยุคที่ได้คนไม่ดีมามีอำนาจทางการเมืองนั้น
หลักการ 3 ประการของสงครามจิตวิทยาที่นำมากล่าวข้างต้น ล้วนแต่ถูกนำมาปฏิบัติใช้ เพื่อให้เกิดความพออกพอใจในการทำงานของคนไม่ดีแต่มีอำนาจในมือ หรือเกิด
ความหวังในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปสู่ความเจริญก้าวหน้า แม้กระทั่งเกิดความ
หวาดกลัวในคำสั่งหรือคำพูดที่แล้วแต่จะประดิดประดอยขึ้นมา
ด้วยวาทะที่จัดจ้านน่าเกรงขามทั้งสิ้น
ความเสียหายใหญ่หลวงจึงเกิดขึ้นให้เห็นสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้ จากการปฏิบัติการทางจิตวิทยา หรือการทำสงครามจิตวิทยากับผู้คนในหมู่พวกเดียวกันด้วยหลัก 3 ประการดังกล่าวมาข้างต้น
คณะที่ทำรัฐประหารและถืออำนาจในมือขณะนี้ ต้องไม่ทำสงครามจิตวิทยากับหมู่พวกหรือ
ประชาชนในประเทศอย่างที่ทำกันมาดังกล่าวโดยเฉพาะจะต้องไม่ปฏิบัติตนในการใช้อำนาจ
เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกอย่างพวกไม่ดีทั้งหลายที่ถูกยึดอำนาจ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง
หน้าที่ไหน ทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
ไม่ฟุ้งซ่านไปกับการเอออวยที่เลยเถิด
ไม่กร่างจนดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ากลัว
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
สวัสดีเช้าวันเสาร์ ... อย่าทำสงครามจิตวิทยาในหมู่พวกเดียวกัน ... ประสงค์พูด ....แนวหน้าออนไลน์ .../sao..เหลือ..noi
การโฆษณา เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งพอใจ เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย หรือเกิดความ
ไม่พอใจต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นต้น ซึ่งการ “ปฏิบัติการทางจิตวิทยา”ที่ว่านี่แหละ
ในยามสงครามใช้คำว่า “สงครามจิตวิทยา” ซึ่งเป็นคำที่ทหารรู้จักกันดีในกระบวน
ท่าที่จะนำมาใช้กับคู่ต่อสู้ในสนามรบ
ขอย้ำว่าใช้กับคู่ต่อสู้ในสนามรบเท่านั้น
ไม่ใช่นำมาใช้กับพวกเดียวกัน เพราะถ้านำมาใช้กับพวกเดียวกันแล้ว
ก็ไม่ผิดอะไรกับคำสอนใจของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ที่ยกมาให้อ่านข้างต้นคือหลอกให้เชื่อและทำตาม
หลักการทำสงครามจิตวิทยานั้น ใครเป็นทหารย่อมเคยร่ำเรียนมาแล้วแทบทั้งสิ้น
ในโรงเรียนทหารระดับสูง ประกอบด้วย 3 หลักใหญ่ในการใช้ ประกอบด้วย
1.การสร้างความหวัง
2.การยังความกลัว
3.การยั่วให้เกลียด
ทั้ง 3 หลักดังกล่าวจะถูกหยิบยกมาประกอบใช้ในการต่อสู้กับข้าศึกเพื่อชัยชนะในเบื้องหน้า ไม่ว่าการต่อสู้นั้นจะเป็นการต่อสู้ในรูปแบบของสงครามปกติทั่วไป หรือการต่อสู้ในรูปแบบ
ของสงครามนอกแบบต่างๆ เช่น สงครามจำกัดเขต หรือสงครามจรยุทธ หรือสงครามกองโจร
สาระสำคัญของหลักการแต่ละอย่างดังกล่าวนั้น พอจะสรุปความหมาย
ในทางปฏิบัติของแต่ละหลักการได้คือ
1.การสร้างความหวังให้เกิดขึ้นกับคนอีกฝ่ายหนึ่งหรือแม้กระทั่งกับคนใน
ฝ่ายเดียวกันให้รู้สึกว่า ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าที่กำลัง
เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสิ่งที่ได้มาดังกล่าวนั้นจะต้องร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้
เพื่อให้ไปถึงจุดนั้น
2.การยังความกลัวด้วยการใช้วิธีการต่างๆที่รุนแรงหรือโหดเหี้ยม เพื่อข่มขวั
ญและกำลังใจของคู่ต่อสู้ แม้กระทั่งกับประชาชนของอีกฝ่ายหนึ่งให้เกิดความ
เกรงกลัว ไม่ร่วมมือกับผู้ถืออำนาจ หรือหันมาเข้ากับฝ่ายตน
3.การยั่วให้เกลียดด้วยการสร้างข่าวสารหรือเรื่องราวต่างๆให้เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือเกิดความโกรธแค้นไม่ยอมทำตามคำสั่ง แม้กระทั่งการปล่อยข่าวเสียหายต่างๆ
ต่อบุคคลที่เป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องและเอาใจออกห่าง
ทั้ง 3 หลักดังกล่าวเป็นหลักการสำคัญในการปลุกระดมให้เกิดความเห็น หรือเกิด
ความรู้สึกคล้อยตาม หรือเชื่อไปตามนั้น โดยมีการกระทำผ่านสื่อต่างๆที่มีอยู่
ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่ความรับรู้ของผู้คนทั้งหลาย หรือการผลิตใบปลิวแจกจ่าย
แม้กระทั่งคำปราศรัย คำกระซิบกระซาบจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง รวมถึงการทำ
โพลล์ชี้นำ
บ้านเมืองที่ผ่านๆมาในอดีต โดยเฉพาะในยุคที่ได้คนไม่ดีมามีอำนาจทางการเมืองนั้น
หลักการ 3 ประการของสงครามจิตวิทยาที่นำมากล่าวข้างต้น ล้วนแต่ถูกนำมาปฏิบัติใช้ เพื่อให้เกิดความพออกพอใจในการทำงานของคนไม่ดีแต่มีอำนาจในมือ หรือเกิด
ความหวังในการนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปสู่ความเจริญก้าวหน้า แม้กระทั่งเกิดความ
หวาดกลัวในคำสั่งหรือคำพูดที่แล้วแต่จะประดิดประดอยขึ้นมา
ด้วยวาทะที่จัดจ้านน่าเกรงขามทั้งสิ้น
ความเสียหายใหญ่หลวงจึงเกิดขึ้นให้เห็นสืบเนื่องมาถึงทุกวันนี้ จากการปฏิบัติการทางจิตวิทยา หรือการทำสงครามจิตวิทยากับผู้คนในหมู่พวกเดียวกันด้วยหลัก 3 ประการดังกล่าวมาข้างต้น
คณะที่ทำรัฐประหารและถืออำนาจในมือขณะนี้ ต้องไม่ทำสงครามจิตวิทยากับหมู่พวกหรือ
ประชาชนในประเทศอย่างที่ทำกันมาดังกล่าวโดยเฉพาะจะต้องไม่ปฏิบัติตนในการใช้อำนาจ
เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกอย่างพวกไม่ดีทั้งหลายที่ถูกยึดอำนาจ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง
หน้าที่ไหน ทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
ไม่ฟุ้งซ่านไปกับการเอออวยที่เลยเถิด
ไม่กร่างจนดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ากลัว
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ