"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนพิเศษ : ทริปตามรอยรักเมืองหิมะที่เกาหลี ✈️✨"

สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้ขอมาอัพเดทภาคต่อเรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลางนะคะ แต่ขออนุญาตขั้นช่วงด้วยตอนพิเศษ เล่าเรื่องตอนที่ติดซีรีส์เกาหลีงอมแงมจนไปลุยเดี่ยวตะลุยทริปที่เกาหลีนะคะ ตั้งใจเขียนมาขั้นช่วงครียดๆของตอนที่ 13 มายังตอนที่ 14 ให้ค่ะ

สำหรับคุณผู้อ่านที่ยังรอกัน เจ้าของกระทู้หวังว่าจะชอบตอนพิเศษที่เราเขียนขึ้นมาให้นี้นะคะ ถ้ามีฟีดแบคอะไร ฝากกันไว้ได้เลย แล้วครั้งหน้าเราจะมาโพสต์ตอนที่ 14 ให้ได้ชมกันแน่นอนค่ะ
สำหรับวันนี้ ขออนุญาตโพสต์ตอนพิเศษที่ชื่อว่า "ทริปตามรอยรักเมืองหิมะที่เกาหลี ✈️✨" นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าที่ยังติดตามกันค่ะ 🙏
ปล.ตอนนี้ยาวมากก.. ขอแปะส่วนต่อในคอมเมนต์ที่ 1 นะคะ ^ ^

"หนึ่งในข้อดีที่หาที่เปรียบไม่ได้ของการได้เป็นแอร์ นั่นก็คือการได้ซื้อตั๋วเครื่องบินในราคาที่ถูกกว่าคนทั่วไป
ซึ่งนั่น เป็นสิ่งที่ทำให้การจะไปไหนมาไหนข้ามประเทศของพวกเรานั้น ..ง่าย อย่างกับวิ่งขึ้นท้ายพี่วินมอเตอร์ไซค์อะไรอย่างนั้นก็ไม่ปาน

ในช่วงฤดูหนาวของปี 2013
“ลมหนาวมักมากับความเหงาสินะ ..หึหึ” เราจึงขนซีดีละครจากเมืองไทยมานับสิบเรื่องเพื่อสร้างความครื้นเครงให้กับตัวเองสุดๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือซีรีส์ F4 เวอร์ชันเกาหลีอันเป็นที่โจษจันกันในอินเตอร์เน็ตนักว่า “หล่อเฟร่อ!”
“นี่มันอะไรกัน? ทำไมไม่เห็นมีใครพูดถึงเนื้อเรื่องเลยเนี่ย.. เห็นมีแต่ภาพพระเอกลงกันโครมๆ แถมเวอร์ชันไต้หวันก็ดูแล้ว แล้วมาดูซ้ำละจะสนุกเหรอ?” เรานึกฉงนสนเท่ห์อยู่ในใจตามประสาคนไร้ซึ่งความมุ้งมิ้ง เพราะวัฎจักรชีวิตมีแต่ลากกระเป๋า ตามหาไก่ให้ผู้โดยสาร และขนมาม่าไปกินทั่วโลกจนมันชาชิน ไม่รู้สึกรู้สากับความหน้าตาดีใดๆรอบตัวมานานแสนนาน

ว่าแล้ว.. หากลีลานานอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าได้ เราจึงเริ่มเปิดแผ่นแรกดูในระหว่างกินข้าวผัดกระเพราจานยักษ์ที่ผัดด้วยฝีมือตัวเอง บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวน้อยหน้าจอทีวี
“ถ้าไม่สนุกนี่เซ็งเลยนะเฟ้ย..” เรายังคงบ่นพึมพำด้วยความกลัวใจ ตามประสาคนต้องการความบันเทิงขั้นสูงแต่ต้องมาอาศัยในดินแดนทะเลทรายอันแสนเงียบสงบ
ตึ๊ง!.. กดเล่นละนะ
เปิดตัวด้วยชายหนุ่มกระโดดตึก ถูกรังแก นางอ่งนางเอกอาภัพ นั่นนี่ไปมา.. อย่างกับเวอร์ชั่นเก่าของไต้หวัน ซึ่งเราก็เอาแต่ตักข้าวใส่ปาก ดูมันไปเพลินๆ
..แต่ตักไปตักมา มันชักจะไม่เพลิน ตั้งแต่เหล่าพระเอกเริ่มโผล่ออกมา และเริ่มหว่านสเน่ห์ ทั้งเล่นดนตรีงี้ ทั้งเล่นกีฬางี้ พร้อมทั้งทำอะไรๆที่มันแสนจะดูดีไปหมด
“เอ.. ว่าแต่คนแบบนี้ มันมีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง จริงๆเหรอฟะ? หรือว่ามีอยู่จริง แต่เฉพาะที่เกาหลี?” เราเริ่มอินและฟินไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่จิตใจเดิมทีนั้นแสนด้านชายิ่งกว่ากระเบื้องหนาตราช้างก็ไม่ปาน

จาก 1 ตอน ก็เริ่มลามไปตอนที่ 2 อย่างรวดเร็ว ข้าวก็กินหมดแล้ว เหตุไฉนเราจึงยังนั่งแช่ ไม่ยอมลุกออกไปล้างชาม
ยิ่งบรรยากาศที่อาบูดาบียามนั้นกำลังหนาวเหน็บกำลังดี และตึกลูกเรือที่เราอาศัยอยู่นั้นช่างถูกออกแบบมาให้ดูดความเย็นขั้นสุด ในห้องจึงหนาวเหมือนนอนอยู่ในตู้เย็น หนาวสะท้านยิ่งกว่าอากาศนอกห้องอย่างไม่น่าเชื่อ..
“โพละ!” เหล่าพระเอกเปิดประตูออกมาในบ้านพัก ท่ามกลางสกีรีสอร์ทอันเยือกเย็น มีหิมะตกหนักมากอยู่ด้านนอก ซึ่งในบ้านหลังนั้น เหล่าสาวๆตัวร้ายทั้งหลายได้ยืนหลอมละลายด้วยความหล่อ และนางเอกก็เตรียมถูกแกล้งต่อไป..
“หึหึ พล็อตเดิมๆตูก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ทำไมตูยังติดขนาดนี้ ขนาดจะลุกไปล้างชามยังลุกไม่ได้เลย” เราพยายามตั้งสติหักห้ามใจ ในขณะที่กำลังดึงซีดีแผ่นที่หนึ่งออกจากคอม และเสียบแผ่นที่สองเข้าไปอย่างทันท่วงที
สองวันที่หยุดนี้จึงหมดไปกับการดูซีรีส์ F4 จนไม่เป็นอันกินอันนอน

หลังจากนั้น สภาพจิตของเราก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากหน้ามือ เป็นหลังมือ
จากคนที่เหมือนมีจูออนเกาะหลังตอนเสิร์ฟอาหารตลอดเวลา รู้สึกอมทุกข์อมโศกซะเหลือเกิน บัดนี้ เรากลับยิ้มร่า อย่างกับคนมีความรักก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ลีมินโฮ คิมฮยอนจุน คิมบอม และคิมจุนยืนกันเป็นตับในชุดโอเวอร์โค้ตแสนผู้ดี กับภาพเมืองเกาหลีที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ดูแล้วแสนจะโรแมนติคซะเหลือเกิน
และด้วยสโลแกนประจำใจส่วนตัว “เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ” ที่ก็อปมาจากโฆษณาเครื่องถ่ายเอกสารมิต้า
..นั่นคือจุดเริ่มต้นแผนการในใจ ว่าถ้าถึงวันพักร้อนเมื่อไหร่.. เราจะลงทุนบินไปตามรอย F4 ที่เกาหลีแทนการกลับบ้านซะเลย

“ Ski – Resort – Korea ” อ่ะ.. กด Enter!!
Google สิคะจะรออะไร ..ว่าแล้วเราก็ทำการวิจัยอย่างขะมักเขม้น เพื่อสร้างทริปตามหายูโทเปียดินแดนในฝันในช่วงวันพักร้อนที่จะถึงนี้ เพื่อเอาตัวเองไปอยู่ในสกีรีสอร์ทท่ามกลางหิมะอันแสนตราตรึงใจจากในฉากซีรีส์นี้ให้จงได้
ซึ่งรายการที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจอก็คือ “Sokcho และ Seoul”
“แหม่.. วันหยุดยาวตั้ง 10 วัน ไปแค่โซลเพื่อ?!” และเพราะด้วยสโลแกน “เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ” ของเรานี่แหละ จึงทำให้เราเงื้อมมือไปกดเสาะหาโรงแรมที่ใกล้กับสกีรีสอร์ทที่จังหวัด Sokcho แห่งนี้ให้มากที่สุด
.. ซึ่งก็เจอ!

“เฮ้ย! โรงแรม 5 ดาวเลยว่ะ! ถูกมากๆด้วย ไม่จองนี่ถือว่าผิด!” เราแสนดีอกดีใจยิ่งกว่าถูกหวยเลขท้าย 2 ตัว และเมื่อยิ่งกดดูชื่อ กับคำบรรยายของโรงแรมแล้วล่ะก็ ก็ทำให้ยิ่งคิด “นี่มันเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่งเลยเหอะ! ไม่ใช่แค่เลขท้ายสองตัวแล้วนะเนี่ย!” ว่าแล้วเราก็ถึงกับร้อง ว้าวว... ยาวๆสองที

โรงแรมนี้มีธีมว่าเป็น Star Hotel คือแต่ละชั้นจะตกแต่งประดับไปด้วยของที่ระลึกจากคนดัง ทั้งดารา นักร้อง นักกีฬาฯขวัญใจประชาชน แต่ละชั้นจะจัดตามธีมไม่ซ้ำกันเลย!!
“เฮ้ย!! ต้องรีบจอง เดี๋ยวเต็ม รีวงรีวิวไม่ต้องอ่านกันละ มันช่างตอบโจทย์สุดพลัง” ว่าแล้ว เราก็กดจอง ใส่เลขบัตรเครดิตในทันที แล้วข้อความก็ขึ้นมาปั๊บ ตังค์คุณได้ถูกตัดเรียบร้อย!
ก่อนจะลงท้ายด้วยการกดเข้าเว็บ ซื้อตั๋วเครื่องบินอาบูดาบี-โซล เพียงเราคลิก คลิก และคลิก ก็เป็นอันเสร็จ

เอาวะ.. นานๆทีชีวิตจะมุ้งมิ้งที! ว่าแต่.. เริ่มเก็บกระเป๋าสิคะ จะรออะไร!

วันเดินทาง
Google เพื่อนยากได้บอกถึงอุณหภูมิล่วงหน้าที่ Sokcho เอาไว้ที่ -16 องศา ซึ่งถือว่าหนาววัวตายควายล้ม หนาวจนอย่าหวังว่าจะได้เห็นพืชผลผักสีเขียว หรือแม้แต่หมาสักตัวเดินผ่าน
เราแบกร่างอันหนักอึ้งด้วยเสื้อคอเต่า ลองจอน และโอเวอร์โค้ตขนเป็ดรุ่นหนาขนาด 3 คนโอบ พร้อมลากกระเป๋าไซส์เท่าผู้อพยพกะไปอยู่ทั้งชีวิต เดินออกมาจากสนามบินอินชอนด้วยความมาดมั่น เพื่อจะไปรอรถเวียนลีมูซีนเข้าเมือง
ด้วยความที่เป็นแอร์ และไปต่างประเทศมานับร้อยครั้งจนชิน เราจึงศึกษาวิธีการเดินทางมาอย่างดี พร้อมกับปริ๊นต์รายละเอียดทุกอย่างเป็น 2 ก๊อปปี้ คือทั้งเป็นเวอร์ชันภาษาอังกฤษ และเวอร์ชันภาษาเกาหลีมาด้วย

“ไปต่อรถที่สถานีตงโซล อ่า.. ก็เหมือนหมอชิตบ้านเรานี่แหละสินะ แล้วค่อยนั่งรถต่อไปอีก 3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง” เรานั่งตรวจทานแผนการเดินทางอีกครั้งระหว่างนั่งในรถโค้ช ซึ่งทั้งรถ มีคนนั่งอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ก่อนจะเดินลงมาตามสถานีที่คนขับช่วยกันชี้มา เพื่อจะเดินวนหลงทางต่อพอเป็นกระศัย ก่อนจะจับทางได้ และข้ามถนนมาถึงสถานีขนส่งตามที่ในรีวิวเขียนบอก

“ยังไม่ทันจะถึงจังหวัด Sokcho เลย เล่นเอาหอบกินเลยตู” เรายืนหน้าซีดท่ามกลางความหนาวเหน็บอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในสถานี
มันช่างคล้ายคลึงกับสถานีสายใต้ใหม่ที่เราแสนจะคุ้นเคยซะเหลือเกิน ด้วยความเร่งรีบกลัวพระอาทิตย์จะตกดินก่อนจะถึง เราจึงเร่งรัดเดินหาตู้ที่ขายตั๋วไป Sokcho ในทันใด ก่อนจะได้ตั๋วที่เวลารถออก 14.30 น.สมประสงค์
“อ่ะ สบายใจละ กินได้!”  ว่าแล้วเราก็เดินไปซื้อไข่ต้มกับโค้กซีโร่จากร้านสะดวกซื้อ และมองหาก๋วยเตี๋ยวเส้นปลากินไปพลางๆระหว่างรอรถออก กินไปก็ระแวงดูนาฬิกาไป

14.20 น. รถจะมาละสินะ
“Sokcho ลงสุดสถานีจ้า..” คุณลุงคนปล่อยคิวรถที่ท่าแกพยายามจะอธิบายมา เพราะเราเดินไปถามด้วยความมึนงง
“เออ.. ชื่อ Sokcho อยู่ลำดับสุดท้ายจริงๆ งั้นต้องลงตรงสุดสายสินะ” จากที่แอบกลัวๆ เราจึงเริ่มมั่นใจเล็กๆว่าจะไม่หลงทาง พอเดินขึ้นรถมาปุ๊บ เราจึงเริ่มมองซ้าย มองขวา สังเกตในรถไปมา เปิดม่าน ดูวิว เล่นนั่นเล่นนี่ไปเรื่อยจน.. หลับ คร่อกก
เฮ้ย! สะดุ้งตื่นขึ้นมา..
หลับไปนานมากนะเนี่ย! เราตั้งสติก่อนจะเงยหน้ามองผ่านกระจกใสข้างรถออกไป แลเห็นภูเขาขนาดมหึมาที่มีหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ ในขณะที่รถของเราบัดนี้กำลังอยู่บนสะพานขนาดใหญ่
และเมื่อรถลงจากสะพานก็พบว่า ทั่วทั้งทิวทัศน์รายรอบนั้นเหมือนมีไอเย็นลอยขึ้นมาตลอดเวลา มีตึกไม่สูงนักอยู่ไกลโพ้น ที่เหลือนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นลานกว้างๆ ซึ่งก็คือแม่น้ำที่แข็งตัวและลานหญ้าที่หญ้าหนาวจนตายหมด
“เยี่ยม! นี่ตูพาตัวเองมาอยู่ในหนังเรื่อง The Ring ใช่มั้ย?” เราคิดเล่นมุกตลกที่ไม่ค่อยตลกอีกต่อไปอยู่ในใจ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือรอให้ถึงสถานี แล้วกะจะรีบชิ่งเข้าโรงแรมให้เร็วที่สุด

“Sokcho!” ใช่เปล่าวะ?? พี่คนขับตะโกนขึ้นมา
ด้วยความที่เราไม่คุ้นชินกับสำเนียงเกาหลี และเห็นมีคนในรถลงกันมากมาย ด้วยความเป็นไทยมุงในห้วงลึกของหัวใจ เราจึงรีบวิ่งลงไปกับเขาด้วยอีกคน
ก่อนจะพบว่า นี่มันเป็นป้ายรถเมล์ ยังไม่ถึงสถานีปลายทาง
แต่นะ.. จะกลับขึ้นรถไปก็ใช่เรื่อง เราจึงตีเนียนยืนไปกับฝูงชน สักพักไม่ให้ดูเสร่อ ก่อนจะไล่ดูชื่อตรงป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆจนเจอคำว่า “Sokcho”
โอเคนะ.. ไม่ได้หลง งั้นเรียกแท็กซี่ไปโรงแรม

และแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นกุด ฝูงชนที่ลงรถมาพร้อมกับเรา ก็ขึ้นรถเมล์และเดินกันหายลับไปกับตา เหลือแต่เพียงนักท่องเที่ยวอินดี้อย่างเราเพียงลำพังบนถนนที่โล่งกริบ ข้างๆลานกว้างที่มีไอเย็นลอยปุด และบรรยากาศท้องฟ้าสีเทา
เยี่ยม!
รำพึงรำพันยังไม่ทันขาดคำ แท็กซี่ก็ผ่านมา

เรายื่นกระดาษข้อมูลโรงแรมภาษาเกาหลีไปให้พี่แท็กซี่ ซึ่งพี่ท่านก็อ่านจบฉับไว ก่อนจะพยักหน้าให้ 1 ที
“รอดละตู พระคุ้มครอง” เรายิ้มมุมปากแห้งๆ ก่อนจะช่วยพี่แท็กซี่แบกกระเป๋าเดินทางที่หนักเยี่ยงช้างน้ำใส่ตรงหลังรถ และวิ่งขึ้นรถมาด้วยความโล่งใจ

แต่แล้ว.. กว่าสิบนาทีผ่านไป
ไกลแค่ไหนคือใกล้ ค่ารถปาไปเป็นหมื่นวอน โรงแรมก็ยังไม่เห็น บรรยากาศก็เทาหม่นลงทุกทีๆ ที่พึ่งเดียวสุดท้ายในใจเราตอนนี้คงจะเป็นโรงแรมสินะ ธีมดาราด้วย เผื่อจะได้มีรูปลีมินโฮปลอบใจ หรือไม่ก็เห็นลายเซ็นต์ของคิมฮยอนจุนช่วยดับความกลัวของเรา
เราพยายามนั่งบิ๊วต์อารมณ์ให้โลกสวยอยู่พักใหญ่ ก็มองเห็นโรงแรม..

“โอ้โห อังกฤษมว๊ากก.. โรงแรมนี้ มีรถเมล์ 2 ชั้นสีแดงแบบอังกฤษตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า แถมอยู่หน้าอุทยานแห่งชาติ Soeraksan เลยวุ้ย” เราเริ่มมีความหวังประทุขึ้นมาในใจเล็กๆ จึงรีบควักเงินจ่ายพี่แท็กซี่ และวิ่งลงจากรถเข้าโรงแรมโดยพลัน

ยื่นพาสปอร์ตเพื่อเช็คอินกับพนักงาน ด้วยความโล่งใจ เราจึงเริ่มสอดส่องสายตาไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดที่หุ่นทหารโรมันในเกราะเหล็กแบบของจริง
“เอ่อ.. เดี๋ยวนะ” วอลเปเปอร์รูปห้องสมุดดูเก่า โบราณ แต่อลังการอย่างกับอยู่ในโรงเรียนฮอกวอตส์ จากแฮรี่ พอตเตอร์ ทั้งโซฟา และแชนเดอเลียก็ดูเก่าและดูเวอร์วัง
“อืมม.. มันชักจะไม่ใช่ละ”

“คุณคะ รับบัตรค่ะ อาหารเช้าเปิดตั้งแต่หกโมงเช้าที่ชั้นสองนะคะ” พนักงานสาวในชุดสูทดำภูมิฐานยื่นบัตรพลางอธิบายข้อมูลให้กับเรา ในขณะที่พนักงานชายในชุดสูทดำกำลังรับโทรศัพท์อยู่ด้านข้าง
รับบัตร รีบบึ่งไปที่ลิฟต์ แต่ทว่าที่หน้าลิฟต์ ก็ยังจะมีทหารโรมันในชุดเกราะเหล็กอีกสองนายตั้งอยู่
“เยี่ยม! ใครนะ.. ช่างคิดประดับประดา”

เราถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เฝ้ารอเวลาให้ลิฟต์เปิด จะได้เอ็นจอยกับพิพิธภัณฑ์ของที่ระลึกจากดาราซะที เผื่อว่าลายเซ็นต์ลีมินโฮจะมาปะอยู่ที่หน้าประตูห้องก็ยังดี
ปิ๊ง! ลิฟต์เปิด
อึ้ง! ณ จังงัง

โอ้โห.. ตีมดารานักร้องจริงๆด้วย!!
เชื่อเลยว่าเป็นธีมพิพิธภัณฑ์ดารานักร้องจริงๆ มาหมดทั้งหมวก ทั้งซีดี ทั้งกีตาร์ แถมยังประดับประดาอยู่บนเก้าอี้เสมือนมีคนกำลังนั่งดีดอยู่จริงๆ
..แต่ติดอยู่อย่างเดียว น่าจะเป็นดารานักร้องในยุคคุณเติ้งลี่จวินยังสาว รุ่นคุณหมีเซียะยังเป็นอึ้งย้ง และคุณติงลี่เพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มเลยก็ไม่ปาน


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่