ออกตัวก่อนว่าไม่เคยตั้งกระทู้ในพันทิปมาก่อน เป็นแนวส่อง แนวอ่านอยู่ห่างๆซะมากกว่า ...แต่วันนี้ได้แรงเชียร์จากเพื่อนว่าให้มาเล่าประสบการณ์ที่ฉันประสบมาเถอะ เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ ให้ข้อคิด หรือเสริมสร้างกำลังใจ หรือข้อระวัง ให้กับคนอื่นๆได้
เรื่องมีอยู่ว่า...ฉันเป็นผู้หญิงทำงานธรรมดาๆคนนึงแถวย่านสีลม เลิกงานดึกบ่อยๆ เพราะ 1. งานเยอะมากกกกก ทำไม่ทัน 2. ถ้าวันไหนงานไม่เร่งเท่าไหร่ก็จะเดินจากออฟฟิสไปวิ่งออกกำลังที่สวนลุมกับเพื่อนสัปดาห์ละ 2 วัน แล้วค่อยเดินกลับมาออฟฟิศเปลี่ยนชุด เก็บของกลับบ้าน 3. รถมันติดมากกกกก ฉันมาทำงานด้วยการขับรถมาจอดที่ BTS หมอชิตแล้วนั่งรถไฟฟ้ามาทำงาน ซึ่งถ้ากลับบ้านไว 1. คือ จะเอารถออกจากหมอชิตไม่ได้ เพราะรถมันจอดซ้อนๆกัน 2. ออกมารถก็ติดหนักมากกว่าจะถึงบ้าน สู้ทำงานต่อแล้วค่อยออกมาเอารถซัก 2 ทุ่มกำลังดี
วันนั้น 8 มิ.ย. 59 ฉันจำได้แม่น...ฉันทำงานจนถึงประมาณ 2ทุ่มครึ่ง พ่อโทรเข้ามาถามว่าอยู่ไหนแล้ว จะถึงบ้านกี่โมง ฉันดูนาฬิกาแล้วก็บอกไปว่า ถึงบ้านประมาณ 4 ทุ่มค่ะ เด๋วเก็บของแล้วจะกลับบ้านเลย ระหว่างกำลังเคลียร์งาน save file โน่นนี่ ก็พอดีพี่ในทีมกำลังจะกลับบ้านเลยบอกว่า ลงไปพร้อมกัน.. กว่าจะออกจากตึกก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว ซึ่งปกติเวลานี้ ถ้าลงมาคนเดียวฉันจะเลือกเดินไปรฟฟศาลาแดง เพราะคนเดินกันพลุกพล่านกว่า ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่พอดีวันนั้นลงมาพร้อมพี่เขา ซึ่งจอดรถที่ตึกด้านหลัง ฉันจึงเลือกเดินมาเป็นเพื่อนพี่เขาและจะเดินลัดซอยละลายทรัพย์ไปขึ้นรฟฟที่ช่องนนทรี
พอถึงจุดแยกย้าย ก็โบกมือร่ำลากัน พี่เขาเดินไปทางซ้าย ฉันเดินไปทางขวา ซึ่งยังอยู่ในเขตรั้วตึกที่ทำงาน ปกติมันก็มืดๆ และก็เงียบๆ แต่ก็มีป้อมยาม มียามนั่งอยู่ตลอด.... ความจำของฉันเกี่ยวกับเรื่องราวในวันนั้นสิ้นสุดลงตรงนี้ เรื่องที่เล่าต่อจากนี้คือฟังจากคนรอบข้างเล่ามาอีกที... ^^'
เหตุการณ์เคราะห์ร้ายหนักมาก (คำพูดที่ใครๆก็บอกฉัน) เริ่มขึ้นตรงนี้...
เมื่อฉันเดินแยกกับพี่เขาได้ไม่นาน ยังไม่พ้นป้อมยามของบริษัทเลย ฉันโดนรถมอไซค์กระชากกระเป๋า ด้วยความที่ฉันสะพายกระเป๋าหนังใบหนักพอควรแบบสะพานเฉียง (cross body) ด้วยแรงกระชาก ไม่รู้อิท่าไหนล่ะ แต่จากบาดแผลที่ได้รับคาดว่าคงหมุนติ้วแล้วเอาหัวฟาดพื้นปูนอย่างแรง แบบไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำมั้ง ผลคือมันคือทำให้ฉันเลือดคั่งในสมองด้านขวา แล้วก็มีเลือดออกจากหูและจมูกด้วย นอกนั้นก็มีฟกช้ำตรงสะโพกขวา กับแผลที่ศอกซ้าย เท่านี้.. ด้านหน้าไม่มีแผลแม้แต่นิดเดียว
จุดที่ฉันล้มอยู่ห่างป้อมยามแค่ 3 เมตร แต่ยามก็ช่วยไรไม่ทัน ไม่ทันด้วยเห็นว่าหน้าตาคนกระชากเป็นไง ทะเบียนรถก็จำไม่ได้ (นี่คือสิ่งที่ตำรวจเล่าให้ฟังหลังไปสอบปากคำยาม) ยามวิ่งไปเรียกคนที่มากด ATM อยู่ใกล้ๆแถวนั้นมาช่วยฉันที่สลบอยู่ รถ 1669 มาอย่างไว และรับฉันไปส่งรพ. ซึ่ง
สำหรับฉัน...เรื่องโชคดีเหลือเกินของฉันเกิดขึ้น ดังนี้
1. โชคดีเหลือเกิน...ที่ฉันยังห้อยป้ายบัตรพนักงาน+บัตร ATM Rabbit + พร้อมด้วยบัตรประชาชนที่ฉันพกไว้กับซองบัตรพนักงานเผื่อตอนกลางวันไม่เอากระเป๋าตังค์ลงไปแล้วต้องแวะไปธุระที่ธนาคารหรืออะไร จะได้ไม่ลืม มันทำให้คนที่มาช่วยรู้ว่าฉันเป็นใคร และดำเนินการช่วยเหลือฉันได้ทันที
1669 พาฉันไปส่งที่เลิดสิน ทางเลิดสินเช็คประวัติแล้วรู้ว่าฉันมีประกันสังคมอยู่ที่เกษมราษฎร์ประชาชื่น เขาจึงให้ 1669 พาฉันมาส่งที่เกษมราษฎร์ เดชะบุญที่ดึกแล้วทางด่วนรถไม่ติด ฉันจึงถึงมือหมอที่ประสานงานเตรียมรับฉันเข้าผ่าตัดสมองได้ทันท่วงที
2. โชคดีเหลือเกิน..ที่ฉันเอาโทรศัพท์หย่อนลงไปในกระเป๋าหิ้วขนม ไม่ได้ใส่ไว้ในกระเป๋าถือที่โจรมันกระชากไป iPhone ที่ยังผ่อนไม่หมดของอิฉัน ^^' มันทำให้ยามเอามือถือไปให้ไว้ที่เจ้านายของฉัน (เพราะบัตรพนักงานทำให้เขาหาข้อมูลได้ว่าฉันทำงานอยู่ส่วนงานไหน) โชคดีเหลือเกินที่นายยังรอประชุมผู้บริหารอยู่ที่ทำงาน โชคดีเหลือเกินที่มันทำให้พ่อที่รอฉันกลับบ้านอยู่จนเกือบเที่ยงคืน ว่าเอ๊ะ ทำไมฉันจึงไม่ถึงบ้าน ได้โทรมาตามและได้ทราบข่าวของฉันจากเจ้านายและรีบไปรพ.
3. โชคดีเหลือเกิน...ที่ฉันมีเจ้านายที่ดีมากกกกกกก เจ้านายรีบออกจากออฟฟิศบึ่งไปถึง รพ. ก่อนพ่อแม่ฉันจะไปถึงซะอีก ทั้งที่บ้านฉันไม่ได้ไกลจากรพ.สักเท่าไหร่ แถมเจ้านายยังอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ คอยเป็นกำลังใจและเผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือ รอฉันผ่าตัดจนเสร็จก็เกือบตี 3
4. โชคดีเหลือเกิน...ที่ช่วงนั้นพ่อแม่ขึ้นมาจากตจว. พอดี ซึ่งปกติฉันอยู่บ้านญาติ และด้วยความที่ฉันกลับดึกเป็นปกติจึงไม่เคยมีใครโทรตาม หากว่าฉันจะกลับถึงบ้านดึกดื่น ญาติๆคงไม่มีใครรู้เรื่องฉันในคืนวันนั้นก็อาจจะเป็นได้
5. โชคดีเหลือเกิน...ที่ได้คุณหมอสุดหล่อมือดีตัดสินใจลงมือผ่าตัดให้อย่างไวโดยไม่ต้องรอญาติ หมอบอกว่าชีวิตคนไข้สำคัญที่สุด แม่บอกว่าถ้าตามญาติไม่เจอแล้วมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกินจากที่ประกันสังคมรับผิดชอบ หมอจะต้องจ่ายเอง!! รักหมออ่ะ จุดนี้ คุณหมอเป็นคุณหมอประจำรพ.ภูมิพล แต่คืนนั้นน่าจะได้รับโทรศํพท์ติดต่อให้มาด้วยเคสด่วนของฉัน
6. โชคดีเหลือเกิน...ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีเพื่อนๆรักฉันเป็นห่วงฉันมากมายขนาดนี้ ทั้งเพื่อนสมัยเรียน เพื่อนร่วมงานทั้งที่ทำงานเก่าและปัจจุบัน เกิดมาโชคดีมีบุญโดยแท้ มีแต่เพื่อนดีๆมากๆๆๆๆ ไม่เพียงแต่แวะเวียนมาเยี่ยมฉันแต่ดูแลให้กำลังใจไปถึงพ่อแม่ฉันด้วย ^^ ซึ้งมากอ่ะ พ่อแม่บอกว่าคนมาเยี่ยมเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ตั้งแต่วันแรกๆที่ยังอยู่ใน ICU เรียกว่าต้องจัดคิวกันเลยทีเดียว เพราะ ICU เยี่ยมได้วันละแค่ 2 ช่วง ช่วงละ 2 ชม. และเข้าได้ทีละไม่เกิน 3 คน (แต่ของฉันคนเยอะเกิ้นจนได้รับการอนุโลมให้เข้าไปได้ทีละ 5 คน)
7. โชคดีเหลือเกิน...ได้กลับมาเป็นเด็กน้อย อยุ่ใกล้ชิดกับพ่อแม่อีกครั้ง รู้สึกอบอุ่นมาก คือพ่อแม่ดูแลทำให้ทุกอย่างเยย จริงๆตั้งแต่อายุ16มาเข้ามหาลัยในกทม. ก้อไม่เคยได้อยุ่ใกล้ชิดกับพ่อแม่นานๆแบบนี้เลย ต้องทำโน่นนี่ด้วยตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้ได้กลับไปเป็นเด็กดื้อของพ่อกะแม่อีก 555+ ดีใจ
8. โชคดีเหลือเกิน...ได้หยุดพักฟื้นอยู่บ้าน ไม่ต้องไปทำงานตั้ง3เดือนแน่ะ หูววววว เป็นโอกาสที่ดีงาม ยาวกว่าลาพักร้อนที่มี..อย่างกะลาคลอดโดยที่ไม่ต้องเลี้ยงดูลูกที่ไหน ^^' เป็นฝ่ายถูกเลี้ยงดูมากกว่า ดี๊ดี
9. โชคดีเหลือเกิน...ที่ตลอดช่วงพักฟื้น 3 เดือนไม่เหงาเลย มีของกินของเล่นจากเพื่อนๆที่น่าร้ากกผลัดกันส่งมาให้ถึงบ้าน ฝึกสมอง ฝึกมือ อิ่มอร่อย ช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างไว ทั้งตัวต่อเลโก้ ที่ต่อจนมีเป็น collection ทั้งวาดรูประบายสีน้ำบน Canvas เป็นต้น
10. โชคดีเหลือเกิน...ชีวิตนี้ไม่เคยมีโอกาสได้กินรังนก ซุปไก่สกัด น้ำผลไม้สารพัด ทุกวันมาก่อน555+ หน้าสวยใสไร้ริ้วรอย แถมฉลาดหลักแหลมก็คราวนี้ อะไรที่ได้ชื่อว่าของบำรุง ดีต่อสุขภาพ ฉันได้มาครบและเยอะมากกกก ผ่านมา 3 เดือนละ ของเยี่ยมยังกินได้หมดเลย นี่ขนาดกินทุกวัน ^^’
11.โชคดีเหลือเกิน...ได้มีเวลาเพิ่ม skill ให้ตัวเองทำในสิ่งที่ชอบนั่นคือการวาดรูปจากคอมพิวเตอร์จนเสร็จเป็น Sticker LINE ได้สำเร็จ จากที่เดิมชอบวาดรูปลงกระดาษ วาดตัวเองเป็นการ์ตูน เขียนคำคมเรื่อยเปื่อย โพสลง IG จนเคยมีเพื่อนเห็นแล้วบอกว่า เธอน่าจะทำ Sticker LINE ขายนะ ก่อนนั้นก็อยากทำอยู่นะแต่เพราะงานยุ่ง แถมไม่รู้ว่าจะวาดลงคอมได้ยังไงไม่มีเวลาไปศึกษา เรียกว่านอกจากจะได้ทำความฝันให้เป็นจริง แล้วยังเป็นการฟื้นฟูร่างกายเตรียมพร้อมไปกลับไปเริ่มทำงาน ^^ ตอนนี้ได้รับ approve จาก LINE ให้วางแผงแล้ว รู้สึกภูมิใจมั่กๆได้มี sticker เป็นของตัวเอง ปลื้มปริ่ม ขออวดหน่อยเถอะ อิอิ ติด hashtag #ขออนุญาตฝากร้าน 555+ ใครชอบก็โหลดกันได้นะครัชช เอิ๊กๆๆ [Little Niche]
https://store.line.me/stickershop/product/1323204 ความรู้สึกเวลาเห็นคนใช้ sticker ที่เป็นของเรา มันฟินอ่ะ มีกำลังใจสู้ชีวิตขึ้นมาอีกมากเลย แม้ตอนนี้ชีวิตจริงหัวจะเกรียนเป็นตุ๊ดเด็กอยู่จากการผ่าตัดสมองมา ไม่ได้ผมยาวดัดลอนแบบเดิมที่เอามาใช้เป็นแบบวาด sticker ก็ตามที แหะๆๆ
12. โชคดีเหลือเกิน...ได้รับรู้ถึงความรัก ความห่วงใยจากครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง มันอิ่มเอมและเป็นสุขใจมาก จากที่ก่อนหน้านี้งานเยอะหนักมาก ไม่มีเวลาได้ทำอะไรที่ตัวเองรักหรือใช้เวลากับคนที่เรารักเท่าไหร่ จากนี้ไปก็ได้ทบทวนและบริหารจัดการใหม่ ..บางทีคนเราก็หลงลืมสิ่งที่สำคัญกับชีวิตของเราจริงๆไป ..ตอนนี้ก็ได้คิดใหม่ทำใหม่ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป
13. โชคดีที่สุดๆ คือได้ประสบกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จาก4เคสที่อาจเกิดได้แม้การผ่าตัดสมองจะเสร็จลุล่วง ตามที่หมอแจ้งพ่อแม่ไว้ว่า 1.อาจตาย 2.อาจเป็นเจ้าหญิงนิทรา 3.อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาท 4.ถ้าแข็งแรงอาจจะฟื้นฟูได้ ...ถึงตอนนี้อยากจะบอกหมอว่าไม่ใช่อาจจะค่ะ หนูฟื้นฟูได้แย้ว เย้ แสดงว่าหนูแข็งแรงมว้ากกก กำลังใจดีมว้ากกกก ^___^
14. โชคดีเหลือเกิน...ที่เคสของฉันได้ทำให้บริษัทออกมาตราการดูแลพนักงานที่ดีขึ้น จัดรถส่งพนักงานไปรฟฟหลังเลิกงาน เรียกว่าเป็นผลพวง ช่วยให้พนักงานทุกคนชีวิตดีขึ้น ปลอดภัยขึ้นด้วย แถมคนที่รู้จักและไม่เคยรู้จักฉันมาก่อน รู้ว่าฉันฟื้นตัวไวมาก คือถ้าหมอบอกคาดว่าจะอาการนี้จะหายภายใน 6 สัปดาห์คือ ฉันจะหายภายใน 3 สัปดาห์ ^^นั่นเพราะฉันวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ จึงส่งผลให้เพื่อนๆพี่ๆหลายคนหันมาสนใจการออกกำลังกายกันมากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีเนาะๆ ^^
15. โชคดีเหลือเกิน...ที่เจ็บรอบนี้ฉันไม่ทุกข์เลย เพราะว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานของฉันมีอายุในสมองฉันแค่ 1 วัน ข้ามวันไปฉันก้อจำอะไรไม่ได้ละ ลืมทุกอย่าง เริ่มวันใหม่ แม้จะเจ็บอีก แต่เด่ววันพรุ่งนี้ก็จำความเจ็บของวันนี้ไม่ได้แล้ว ^^' เพื่อนบางคนบอกว่าเหมือนนางเอก FanDay เลยเนาะ แต่ฉันว่าเหมือนหนังเรื่อง 50 first date มากกว่า เพราะช่วงที่อยู่รพ. ใครไปเยี่ยมฉันสามารถจำชื่อทุกคนได้หมด แต่วันรุ่งขึ้นความทรงจำของวันนั้นถูกกด shift delete ไปหมดเลย กว่าจะเริ่มจำย้อนหลังข้ามวันได้ ฉันก็ออกจากรพ.ได้แล้ว หายจากอาการเจ็บปวดแล้ว ช่วยเหลือตัวเองได้หมดแล้ว มันก็เลยรู้สึกว่าอุบัติเหตุคราวนี้ที่ต้องถึงกับผ่าตัด โคม่าอยู่ ICU และนอนอยู่รพ.เป็นสิบกว่าวัน มันชิลมาก ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ซึ่งจริงๆไม่ใช่เพราะว่าฉันไม่เจ็บปวด แต่เพราะฉันจำมันไม่ได้ต่างหาก ^^'
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....ไม่ว่ามีความทุกข์ เสียใจ เจ็บปวดในจิตใจจากสิ่งใด มันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ... ก็ขอให้ใช้เวลากับมันแค่วันเดียว..คือวันที่เกิดเหตุก็พอ เพราะวันรุ่งขึ้นมันก็จะเป็นแค่อดีตที่ไม่สามารถทำให้เราเจ็บปวดได้อีก เพียงเราไม่เก็บเอามันมาคิดวนไปวนมา ...
เห็นมะมีตั้ง 15 ข้อที่ฉันว่าฉันโชคดีแม้จะเกิดเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ฉันโลกสวยนะ แต่ว่าลอจิกของฉันง่ายมาก นั่นคือเมื่อลองเปรียบเทียบสิ่งที่ฉันได้รับกับสิ่งที่ฉันเสียไปแล้ว สิ่งที่ได้รับมันมากกว่ามากมาย
ฉันเสียอะไรไปบ้างอ่ะเหรอ ... มีแค่นิดเดียวเอง
1. เงินสดที่อยุ่ในกระเป๋าตังค์ที่วันนั้นดั๊นนนมีมากกว่าปกติ นั่นคือราวๆ5พันบาท ว่าจะเอาเงินไปฝากแต่ก้อยุ่งๆลืม ...ทุกทีจะพกเงินไม่เกิน2พัน ^^'
2. รองเท้าคู่ใจ...มันคงตกหล่นระหว่างทางที่ 1669 ขนฉันขึ้นรถมาส่งรพ.
3. กระเป๋าใบโปรดที่ฉันชอบมว้าก จะว่าไป จริงๆมันไม่ได้หายนะ เพราะฉันได้มันคืนมาแล้ว .. อิโจรมันเอาไปทิ้งไว้ข้างทางแถวนราธิวาสนั่นล่ะ พลเมืองดีพบเห็นและนำมาส่งถึงที่บ้าน!! ยังอยู่ในสภาพดี แต่...ตอนนี้มันถูกเก็บไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจ ...และพ่อกะแม่ห้ามฉันนำกลับมาใช้อีกเป็นอันขาด!!! >_< … เออ จะว่าไปก็เป็นข้อดี เพราะฉันไม่ต้องทำบัตรสำคัญๆอะไรใหม่เลย ทุกอย่างอยู่ครบ ^^ หายแค่เงิน
4. ฉันหมดโอกาสที่จะได้วิ่ง ว่ายน้ำ ขับรถในช่วง6 เดือนนี้ ... หมอห้ามไว้จนกว่าสมองจะประสานกลับมาเป็นปกติ ...อ้วนสิคะจุดนี้ ^^' นั่งนับวันรอเมื่อไหร่จะครบ 6 เดือน จะกลับไปฟิตวิ่งเหมือนเดิม ^^
หมดแระมีแค่ 4 ข้อจริงๆ
เห็นมะว่าสิ่งที่ได้รับมากกว่าสิ่งที่เสียไปตั้งหลายเท่าตัวจะบอกว่าฉันเคราะห์ร้ายได้อย่างไร โคตรโชคดีต่างหาก จริงมั๊ย ^____^
ใครๆก็บอกว่าฉันเคราะห์ร้ายหนักมาก...แต่ฉันกลับพบว่าฉันโชคดีเหลือเกิน
เรื่องมีอยู่ว่า...ฉันเป็นผู้หญิงทำงานธรรมดาๆคนนึงแถวย่านสีลม เลิกงานดึกบ่อยๆ เพราะ 1. งานเยอะมากกกกก ทำไม่ทัน 2. ถ้าวันไหนงานไม่เร่งเท่าไหร่ก็จะเดินจากออฟฟิสไปวิ่งออกกำลังที่สวนลุมกับเพื่อนสัปดาห์ละ 2 วัน แล้วค่อยเดินกลับมาออฟฟิศเปลี่ยนชุด เก็บของกลับบ้าน 3. รถมันติดมากกกกก ฉันมาทำงานด้วยการขับรถมาจอดที่ BTS หมอชิตแล้วนั่งรถไฟฟ้ามาทำงาน ซึ่งถ้ากลับบ้านไว 1. คือ จะเอารถออกจากหมอชิตไม่ได้ เพราะรถมันจอดซ้อนๆกัน 2. ออกมารถก็ติดหนักมากกว่าจะถึงบ้าน สู้ทำงานต่อแล้วค่อยออกมาเอารถซัก 2 ทุ่มกำลังดี
วันนั้น 8 มิ.ย. 59 ฉันจำได้แม่น...ฉันทำงานจนถึงประมาณ 2ทุ่มครึ่ง พ่อโทรเข้ามาถามว่าอยู่ไหนแล้ว จะถึงบ้านกี่โมง ฉันดูนาฬิกาแล้วก็บอกไปว่า ถึงบ้านประมาณ 4 ทุ่มค่ะ เด๋วเก็บของแล้วจะกลับบ้านเลย ระหว่างกำลังเคลียร์งาน save file โน่นนี่ ก็พอดีพี่ในทีมกำลังจะกลับบ้านเลยบอกว่า ลงไปพร้อมกัน.. กว่าจะออกจากตึกก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว ซึ่งปกติเวลานี้ ถ้าลงมาคนเดียวฉันจะเลือกเดินไปรฟฟศาลาแดง เพราะคนเดินกันพลุกพล่านกว่า ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่พอดีวันนั้นลงมาพร้อมพี่เขา ซึ่งจอดรถที่ตึกด้านหลัง ฉันจึงเลือกเดินมาเป็นเพื่อนพี่เขาและจะเดินลัดซอยละลายทรัพย์ไปขึ้นรฟฟที่ช่องนนทรี
พอถึงจุดแยกย้าย ก็โบกมือร่ำลากัน พี่เขาเดินไปทางซ้าย ฉันเดินไปทางขวา ซึ่งยังอยู่ในเขตรั้วตึกที่ทำงาน ปกติมันก็มืดๆ และก็เงียบๆ แต่ก็มีป้อมยาม มียามนั่งอยู่ตลอด.... ความจำของฉันเกี่ยวกับเรื่องราวในวันนั้นสิ้นสุดลงตรงนี้ เรื่องที่เล่าต่อจากนี้คือฟังจากคนรอบข้างเล่ามาอีกที... ^^'
เหตุการณ์เคราะห์ร้ายหนักมาก (คำพูดที่ใครๆก็บอกฉัน) เริ่มขึ้นตรงนี้...
เมื่อฉันเดินแยกกับพี่เขาได้ไม่นาน ยังไม่พ้นป้อมยามของบริษัทเลย ฉันโดนรถมอไซค์กระชากกระเป๋า ด้วยความที่ฉันสะพายกระเป๋าหนังใบหนักพอควรแบบสะพานเฉียง (cross body) ด้วยแรงกระชาก ไม่รู้อิท่าไหนล่ะ แต่จากบาดแผลที่ได้รับคาดว่าคงหมุนติ้วแล้วเอาหัวฟาดพื้นปูนอย่างแรง แบบไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำมั้ง ผลคือมันคือทำให้ฉันเลือดคั่งในสมองด้านขวา แล้วก็มีเลือดออกจากหูและจมูกด้วย นอกนั้นก็มีฟกช้ำตรงสะโพกขวา กับแผลที่ศอกซ้าย เท่านี้.. ด้านหน้าไม่มีแผลแม้แต่นิดเดียว
จุดที่ฉันล้มอยู่ห่างป้อมยามแค่ 3 เมตร แต่ยามก็ช่วยไรไม่ทัน ไม่ทันด้วยเห็นว่าหน้าตาคนกระชากเป็นไง ทะเบียนรถก็จำไม่ได้ (นี่คือสิ่งที่ตำรวจเล่าให้ฟังหลังไปสอบปากคำยาม) ยามวิ่งไปเรียกคนที่มากด ATM อยู่ใกล้ๆแถวนั้นมาช่วยฉันที่สลบอยู่ รถ 1669 มาอย่างไว และรับฉันไปส่งรพ. ซึ่ง
สำหรับฉัน...เรื่องโชคดีเหลือเกินของฉันเกิดขึ้น ดังนี้
1. โชคดีเหลือเกิน...ที่ฉันยังห้อยป้ายบัตรพนักงาน+บัตร ATM Rabbit + พร้อมด้วยบัตรประชาชนที่ฉันพกไว้กับซองบัตรพนักงานเผื่อตอนกลางวันไม่เอากระเป๋าตังค์ลงไปแล้วต้องแวะไปธุระที่ธนาคารหรืออะไร จะได้ไม่ลืม มันทำให้คนที่มาช่วยรู้ว่าฉันเป็นใคร และดำเนินการช่วยเหลือฉันได้ทันที
1669 พาฉันไปส่งที่เลิดสิน ทางเลิดสินเช็คประวัติแล้วรู้ว่าฉันมีประกันสังคมอยู่ที่เกษมราษฎร์ประชาชื่น เขาจึงให้ 1669 พาฉันมาส่งที่เกษมราษฎร์ เดชะบุญที่ดึกแล้วทางด่วนรถไม่ติด ฉันจึงถึงมือหมอที่ประสานงานเตรียมรับฉันเข้าผ่าตัดสมองได้ทันท่วงที
2. โชคดีเหลือเกิน..ที่ฉันเอาโทรศัพท์หย่อนลงไปในกระเป๋าหิ้วขนม ไม่ได้ใส่ไว้ในกระเป๋าถือที่โจรมันกระชากไป iPhone ที่ยังผ่อนไม่หมดของอิฉัน ^^' มันทำให้ยามเอามือถือไปให้ไว้ที่เจ้านายของฉัน (เพราะบัตรพนักงานทำให้เขาหาข้อมูลได้ว่าฉันทำงานอยู่ส่วนงานไหน) โชคดีเหลือเกินที่นายยังรอประชุมผู้บริหารอยู่ที่ทำงาน โชคดีเหลือเกินที่มันทำให้พ่อที่รอฉันกลับบ้านอยู่จนเกือบเที่ยงคืน ว่าเอ๊ะ ทำไมฉันจึงไม่ถึงบ้าน ได้โทรมาตามและได้ทราบข่าวของฉันจากเจ้านายและรีบไปรพ.
3. โชคดีเหลือเกิน...ที่ฉันมีเจ้านายที่ดีมากกกกกกก เจ้านายรีบออกจากออฟฟิศบึ่งไปถึง รพ. ก่อนพ่อแม่ฉันจะไปถึงซะอีก ทั้งที่บ้านฉันไม่ได้ไกลจากรพ.สักเท่าไหร่ แถมเจ้านายยังอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ คอยเป็นกำลังใจและเผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือ รอฉันผ่าตัดจนเสร็จก็เกือบตี 3
4. โชคดีเหลือเกิน...ที่ช่วงนั้นพ่อแม่ขึ้นมาจากตจว. พอดี ซึ่งปกติฉันอยู่บ้านญาติ และด้วยความที่ฉันกลับดึกเป็นปกติจึงไม่เคยมีใครโทรตาม หากว่าฉันจะกลับถึงบ้านดึกดื่น ญาติๆคงไม่มีใครรู้เรื่องฉันในคืนวันนั้นก็อาจจะเป็นได้
5. โชคดีเหลือเกิน...ที่ได้คุณหมอสุดหล่อมือดีตัดสินใจลงมือผ่าตัดให้อย่างไวโดยไม่ต้องรอญาติ หมอบอกว่าชีวิตคนไข้สำคัญที่สุด แม่บอกว่าถ้าตามญาติไม่เจอแล้วมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกินจากที่ประกันสังคมรับผิดชอบ หมอจะต้องจ่ายเอง!! รักหมออ่ะ จุดนี้ คุณหมอเป็นคุณหมอประจำรพ.ภูมิพล แต่คืนนั้นน่าจะได้รับโทรศํพท์ติดต่อให้มาด้วยเคสด่วนของฉัน
6. โชคดีเหลือเกิน...ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีเพื่อนๆรักฉันเป็นห่วงฉันมากมายขนาดนี้ ทั้งเพื่อนสมัยเรียน เพื่อนร่วมงานทั้งที่ทำงานเก่าและปัจจุบัน เกิดมาโชคดีมีบุญโดยแท้ มีแต่เพื่อนดีๆมากๆๆๆๆ ไม่เพียงแต่แวะเวียนมาเยี่ยมฉันแต่ดูแลให้กำลังใจไปถึงพ่อแม่ฉันด้วย ^^ ซึ้งมากอ่ะ พ่อแม่บอกว่าคนมาเยี่ยมเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ตั้งแต่วันแรกๆที่ยังอยู่ใน ICU เรียกว่าต้องจัดคิวกันเลยทีเดียว เพราะ ICU เยี่ยมได้วันละแค่ 2 ช่วง ช่วงละ 2 ชม. และเข้าได้ทีละไม่เกิน 3 คน (แต่ของฉันคนเยอะเกิ้นจนได้รับการอนุโลมให้เข้าไปได้ทีละ 5 คน)
7. โชคดีเหลือเกิน...ได้กลับมาเป็นเด็กน้อย อยุ่ใกล้ชิดกับพ่อแม่อีกครั้ง รู้สึกอบอุ่นมาก คือพ่อแม่ดูแลทำให้ทุกอย่างเยย จริงๆตั้งแต่อายุ16มาเข้ามหาลัยในกทม. ก้อไม่เคยได้อยุ่ใกล้ชิดกับพ่อแม่นานๆแบบนี้เลย ต้องทำโน่นนี่ด้วยตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้ได้กลับไปเป็นเด็กดื้อของพ่อกะแม่อีก 555+ ดีใจ
8. โชคดีเหลือเกิน...ได้หยุดพักฟื้นอยู่บ้าน ไม่ต้องไปทำงานตั้ง3เดือนแน่ะ หูววววว เป็นโอกาสที่ดีงาม ยาวกว่าลาพักร้อนที่มี..อย่างกะลาคลอดโดยที่ไม่ต้องเลี้ยงดูลูกที่ไหน ^^' เป็นฝ่ายถูกเลี้ยงดูมากกว่า ดี๊ดี
9. โชคดีเหลือเกิน...ที่ตลอดช่วงพักฟื้น 3 เดือนไม่เหงาเลย มีของกินของเล่นจากเพื่อนๆที่น่าร้ากกผลัดกันส่งมาให้ถึงบ้าน ฝึกสมอง ฝึกมือ อิ่มอร่อย ช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างไว ทั้งตัวต่อเลโก้ ที่ต่อจนมีเป็น collection ทั้งวาดรูประบายสีน้ำบน Canvas เป็นต้น
10. โชคดีเหลือเกิน...ชีวิตนี้ไม่เคยมีโอกาสได้กินรังนก ซุปไก่สกัด น้ำผลไม้สารพัด ทุกวันมาก่อน555+ หน้าสวยใสไร้ริ้วรอย แถมฉลาดหลักแหลมก็คราวนี้ อะไรที่ได้ชื่อว่าของบำรุง ดีต่อสุขภาพ ฉันได้มาครบและเยอะมากกกก ผ่านมา 3 เดือนละ ของเยี่ยมยังกินได้หมดเลย นี่ขนาดกินทุกวัน ^^’
11.โชคดีเหลือเกิน...ได้มีเวลาเพิ่ม skill ให้ตัวเองทำในสิ่งที่ชอบนั่นคือการวาดรูปจากคอมพิวเตอร์จนเสร็จเป็น Sticker LINE ได้สำเร็จ จากที่เดิมชอบวาดรูปลงกระดาษ วาดตัวเองเป็นการ์ตูน เขียนคำคมเรื่อยเปื่อย โพสลง IG จนเคยมีเพื่อนเห็นแล้วบอกว่า เธอน่าจะทำ Sticker LINE ขายนะ ก่อนนั้นก็อยากทำอยู่นะแต่เพราะงานยุ่ง แถมไม่รู้ว่าจะวาดลงคอมได้ยังไงไม่มีเวลาไปศึกษา เรียกว่านอกจากจะได้ทำความฝันให้เป็นจริง แล้วยังเป็นการฟื้นฟูร่างกายเตรียมพร้อมไปกลับไปเริ่มทำงาน ^^ ตอนนี้ได้รับ approve จาก LINE ให้วางแผงแล้ว รู้สึกภูมิใจมั่กๆได้มี sticker เป็นของตัวเอง ปลื้มปริ่ม ขออวดหน่อยเถอะ อิอิ ติด hashtag #ขออนุญาตฝากร้าน 555+ ใครชอบก็โหลดกันได้นะครัชช เอิ๊กๆๆ [Little Niche] https://store.line.me/stickershop/product/1323204 ความรู้สึกเวลาเห็นคนใช้ sticker ที่เป็นของเรา มันฟินอ่ะ มีกำลังใจสู้ชีวิตขึ้นมาอีกมากเลย แม้ตอนนี้ชีวิตจริงหัวจะเกรียนเป็นตุ๊ดเด็กอยู่จากการผ่าตัดสมองมา ไม่ได้ผมยาวดัดลอนแบบเดิมที่เอามาใช้เป็นแบบวาด sticker ก็ตามที แหะๆๆ
12. โชคดีเหลือเกิน...ได้รับรู้ถึงความรัก ความห่วงใยจากครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง มันอิ่มเอมและเป็นสุขใจมาก จากที่ก่อนหน้านี้งานเยอะหนักมาก ไม่มีเวลาได้ทำอะไรที่ตัวเองรักหรือใช้เวลากับคนที่เรารักเท่าไหร่ จากนี้ไปก็ได้ทบทวนและบริหารจัดการใหม่ ..บางทีคนเราก็หลงลืมสิ่งที่สำคัญกับชีวิตของเราจริงๆไป ..ตอนนี้ก็ได้คิดใหม่ทำใหม่ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป
13. โชคดีที่สุดๆ คือได้ประสบกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จาก4เคสที่อาจเกิดได้แม้การผ่าตัดสมองจะเสร็จลุล่วง ตามที่หมอแจ้งพ่อแม่ไว้ว่า 1.อาจตาย 2.อาจเป็นเจ้าหญิงนิทรา 3.อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาท 4.ถ้าแข็งแรงอาจจะฟื้นฟูได้ ...ถึงตอนนี้อยากจะบอกหมอว่าไม่ใช่อาจจะค่ะ หนูฟื้นฟูได้แย้ว เย้ แสดงว่าหนูแข็งแรงมว้ากกก กำลังใจดีมว้ากกกก ^___^
14. โชคดีเหลือเกิน...ที่เคสของฉันได้ทำให้บริษัทออกมาตราการดูแลพนักงานที่ดีขึ้น จัดรถส่งพนักงานไปรฟฟหลังเลิกงาน เรียกว่าเป็นผลพวง ช่วยให้พนักงานทุกคนชีวิตดีขึ้น ปลอดภัยขึ้นด้วย แถมคนที่รู้จักและไม่เคยรู้จักฉันมาก่อน รู้ว่าฉันฟื้นตัวไวมาก คือถ้าหมอบอกคาดว่าจะอาการนี้จะหายภายใน 6 สัปดาห์คือ ฉันจะหายภายใน 3 สัปดาห์ ^^นั่นเพราะฉันวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ จึงส่งผลให้เพื่อนๆพี่ๆหลายคนหันมาสนใจการออกกำลังกายกันมากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีเนาะๆ ^^
15. โชคดีเหลือเกิน...ที่เจ็บรอบนี้ฉันไม่ทุกข์เลย เพราะว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานของฉันมีอายุในสมองฉันแค่ 1 วัน ข้ามวันไปฉันก้อจำอะไรไม่ได้ละ ลืมทุกอย่าง เริ่มวันใหม่ แม้จะเจ็บอีก แต่เด่ววันพรุ่งนี้ก็จำความเจ็บของวันนี้ไม่ได้แล้ว ^^' เพื่อนบางคนบอกว่าเหมือนนางเอก FanDay เลยเนาะ แต่ฉันว่าเหมือนหนังเรื่อง 50 first date มากกว่า เพราะช่วงที่อยู่รพ. ใครไปเยี่ยมฉันสามารถจำชื่อทุกคนได้หมด แต่วันรุ่งขึ้นความทรงจำของวันนั้นถูกกด shift delete ไปหมดเลย กว่าจะเริ่มจำย้อนหลังข้ามวันได้ ฉันก็ออกจากรพ.ได้แล้ว หายจากอาการเจ็บปวดแล้ว ช่วยเหลือตัวเองได้หมดแล้ว มันก็เลยรู้สึกว่าอุบัติเหตุคราวนี้ที่ต้องถึงกับผ่าตัด โคม่าอยู่ ICU และนอนอยู่รพ.เป็นสิบกว่าวัน มันชิลมาก ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ซึ่งจริงๆไม่ใช่เพราะว่าฉันไม่เจ็บปวด แต่เพราะฉันจำมันไม่ได้ต่างหาก ^^'
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....ไม่ว่ามีความทุกข์ เสียใจ เจ็บปวดในจิตใจจากสิ่งใด มันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ... ก็ขอให้ใช้เวลากับมันแค่วันเดียว..คือวันที่เกิดเหตุก็พอ เพราะวันรุ่งขึ้นมันก็จะเป็นแค่อดีตที่ไม่สามารถทำให้เราเจ็บปวดได้อีก เพียงเราไม่เก็บเอามันมาคิดวนไปวนมา ...
เห็นมะมีตั้ง 15 ข้อที่ฉันว่าฉันโชคดีแม้จะเกิดเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ฉันโลกสวยนะ แต่ว่าลอจิกของฉันง่ายมาก นั่นคือเมื่อลองเปรียบเทียบสิ่งที่ฉันได้รับกับสิ่งที่ฉันเสียไปแล้ว สิ่งที่ได้รับมันมากกว่ามากมาย
ฉันเสียอะไรไปบ้างอ่ะเหรอ ... มีแค่นิดเดียวเอง
1. เงินสดที่อยุ่ในกระเป๋าตังค์ที่วันนั้นดั๊นนนมีมากกว่าปกติ นั่นคือราวๆ5พันบาท ว่าจะเอาเงินไปฝากแต่ก้อยุ่งๆลืม ...ทุกทีจะพกเงินไม่เกิน2พัน ^^'
2. รองเท้าคู่ใจ...มันคงตกหล่นระหว่างทางที่ 1669 ขนฉันขึ้นรถมาส่งรพ.
3. กระเป๋าใบโปรดที่ฉันชอบมว้าก จะว่าไป จริงๆมันไม่ได้หายนะ เพราะฉันได้มันคืนมาแล้ว .. อิโจรมันเอาไปทิ้งไว้ข้างทางแถวนราธิวาสนั่นล่ะ พลเมืองดีพบเห็นและนำมาส่งถึงที่บ้าน!! ยังอยู่ในสภาพดี แต่...ตอนนี้มันถูกเก็บไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจ ...และพ่อกะแม่ห้ามฉันนำกลับมาใช้อีกเป็นอันขาด!!! >_< … เออ จะว่าไปก็เป็นข้อดี เพราะฉันไม่ต้องทำบัตรสำคัญๆอะไรใหม่เลย ทุกอย่างอยู่ครบ ^^ หายแค่เงิน
4. ฉันหมดโอกาสที่จะได้วิ่ง ว่ายน้ำ ขับรถในช่วง6 เดือนนี้ ... หมอห้ามไว้จนกว่าสมองจะประสานกลับมาเป็นปกติ ...อ้วนสิคะจุดนี้ ^^' นั่งนับวันรอเมื่อไหร่จะครบ 6 เดือน จะกลับไปฟิตวิ่งเหมือนเดิม ^^
หมดแระมีแค่ 4 ข้อจริงๆ
เห็นมะว่าสิ่งที่ได้รับมากกว่าสิ่งที่เสียไปตั้งหลายเท่าตัวจะบอกว่าฉันเคราะห์ร้ายได้อย่างไร โคตรโชคดีต่างหาก จริงมั๊ย ^____^