อดีตนายกฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินช้อปปิ้งตลาดเก่านางเลิ้ง ช่วงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจต่างประเทศ แฟนคลับรู้เฮโลให้กำลังใจ ขอถ่ายรูปแน่น เจ้าตัวโอดตอนนี้โดนคดีรุมถึง 15 คดี ร้องขอความเป็นธรรม บอกคดีสุดท้ายที่ป.ป.ช.ชี้มูลบริหารจัดการน้ำยังงง
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่ตลาดเก่านางเลิ้ง น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินช้อปปิ้งตลาดเก่านางเลิ้ง ช่วงพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจต่างประเทศ โดยเมื่อชาวบ้านที่รู้ข่าว ต่างมาให้กำลังใจและขอถ่ายรูปจำนวนมาก
น.ส
.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงคดีการบริหารจัดการน้ำว่า เป็นข้อกล่าวหาที่แจ้งโดยนาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามกันทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งสำนวนมา แต่ตนไม่เข้าใจ เพราะการบริหารจัดการน้ำตอนที่เข้ามา น้ำท่วมอยู่แล้ว ซึ่งมาตั้งแต่รัฐบาลอื่นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงโดนอยู่คนเดียว
จากกรณีนี้ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หวังว่าป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรม ทุกวันนี้คดีที่เจออยู่นั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้ตนส่งทนายคัดค้านต่อป.ป.ช.แต่ก็ได้รับการปฏิเสธร้องขอทุกครั้ง จึงร้องผ่านทางสื่อมวลชนและสาธารณชนด้วย อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เพราะจะเห็นได้ว่ามาตรฐานที่ทำกับคดีตนคดีมาเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลย ซึ่งตนพร้อมจะชี้แจงทุกคดีแต่ต้องอยู่ด้วยเหตุและผล ถ้าการที่ตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ใครอยากจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็เอามาใช้มันก็ไม่มีวันจบ ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัย จริงๆ แล้วหน่วยงานทุกขององค์กรที่ทำในเรื่องของกระบวนการเหล่านี้ควรจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เชื่อว่าทุกคนยอมรับ แต่อย่างที่เรียนข้างต้นตนได้ร้องมาหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ได้ความเป็นธรรมตั้งแต่ต้น ไม่รู้ว่าคดีที่เหลือจะเป็นเช่นเดียวกับคดีที่ตนได้รับมาหรือไม่ ก็หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น
น.ส.
ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนในเรื่องของมาตรา 44 ที่ให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์นั้น เท่าที่ตนทราบกรมบังคับคดีต้องได้รับคำสั่งจากศาลปกครอง ซึ่งการใช้มาตรา 44 สิ่งแรกที่มองคือผลของคดีไม่ว่าจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ ฉะนั้นการออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดี ก็เหมือนเป็นการชี้นำคดี ซึ่งต้องขอร้องเพราะมันมีผลกับคดีอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่ในชั้นศาล ถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับ
“ถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดมีความโปร่งใส และเป็นธรรมทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วย แต่กระบวนสอบสวนขั้นต้นในการปกป้องข้าราชการ ถ้ามั่นใจว่าข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้อง กลัวการถูกฟ้องร้อง แต่วันนี้ใช้มาตรา 44 กันถูกฟ้องร้องใครจะทำอะไรก็ได้ แล้วอย่างนี้ขนาดอดีตนายกฯ ยังปกป้องและหาความยุติธรรมให้กับตัวเองไม่ได้แล้ว ประชาชนธรรมดาปกติจะเรียกหาความยุติธรรมได้อย่างไร” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
อดีตนายกฯ กล่าวว่า ถึงวันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบว่าทำไมถึงไม่ใช้อำนาจตามปกติ ซึ่งเราก็ได้ท้วงไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าการพิจารณาในเรื่องของความเสียหายตามหลักสากล ก็ต้องไปร้องที่ศาลแพ่งและรัฐบาลก็ถือว่าเป็นคู่กรณีกับเรา ซึ่งก็ต้องร้องศาลให้เป็นผู้ตัดสินว่า ฝ่ายตนหรือรัฐบาลถูกหรือผิดกันแน่ ที่จะมาเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมเพียงเพราะไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมศาล และเพื่อที่การร่นเวลาให้ง่ายขึ้น ก็ใช้คำสั่งทางการปกครองกับตน อย่างนี้เท่ากับรัฐบาลเป็นคู่กรณีกับตนโดยตรง และบวกกับการใช้มาตรา 44 ในการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ไปตั้งแต่การสอบสวนจนถึงการไปมอบอำนาจให้กับกรมบังคับคดี ถือเป็นการชี้แจงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกลับ
“เวลานี้อยากให้รัฐบาลมองภาพรวมของประเทศ ความเดือดร้อนของประเทศเพราะวันนี้จริงๆ แล้วประชาชนรอในการที่จะให้เศรษฐกิจต่างๆ กลับคืนมา ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้มาใส่เรื่องของตนเป็นหลักจนลืมเรื่องอื่นๆ เพราะเรื่องจริงๆ แล้วมีกระบวนการขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่อยากให้เร่งรัดโดยใช้วิธีแบบนี้ สุดท้ายจะเป็นคำถามที่ประชาชนตั้งข้อสังเกต” อดีตนายกฯ กล่าว
JJNY : “ยิ่งลักษณ์” เดินช้อปตลาดนางเลิ้ง โอดโดนคนเดียว 15 คดีขอ “บิ๊กตู่” เลิกสนใจตัวเองทำเศรษฐกิจให้ดีก่อน
อดีตนายกฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินช้อปปิ้งตลาดเก่านางเลิ้ง ช่วงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจต่างประเทศ แฟนคลับรู้เฮโลให้กำลังใจ ขอถ่ายรูปแน่น เจ้าตัวโอดตอนนี้โดนคดีรุมถึง 15 คดี ร้องขอความเป็นธรรม บอกคดีสุดท้ายที่ป.ป.ช.ชี้มูลบริหารจัดการน้ำยังงง
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่ตลาดเก่านางเลิ้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินช้อปปิ้งตลาดเก่านางเลิ้ง ช่วงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดภารกิจต่างประเทศ โดยเมื่อชาวบ้านที่รู้ข่าว ต่างมาให้กำลังใจและขอถ่ายรูปจำนวนมาก
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงคดีการบริหารจัดการน้ำว่า เป็นข้อกล่าวหาที่แจ้งโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามกันทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งสำนวนมา แต่ตนไม่เข้าใจ เพราะการบริหารจัดการน้ำตอนที่เข้ามา น้ำท่วมอยู่แล้ว ซึ่งมาตั้งแต่รัฐบาลอื่นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงโดนอยู่คนเดียว
จากกรณีนี้ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หวังว่าป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรม ทุกวันนี้คดีที่เจออยู่นั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้ตนส่งทนายคัดค้านต่อป.ป.ช.แต่ก็ได้รับการปฏิเสธร้องขอทุกครั้ง จึงร้องผ่านทางสื่อมวลชนและสาธารณชนด้วย อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เพราะจะเห็นได้ว่ามาตรฐานที่ทำกับคดีตนคดีมาเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลย ซึ่งตนพร้อมจะชี้แจงทุกคดีแต่ต้องอยู่ด้วยเหตุและผล ถ้าการที่ตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ใครอยากจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็เอามาใช้มันก็ไม่มีวันจบ ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัย จริงๆ แล้วหน่วยงานทุกขององค์กรที่ทำในเรื่องของกระบวนการเหล่านี้ควรจะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน เชื่อว่าทุกคนยอมรับ แต่อย่างที่เรียนข้างต้นตนได้ร้องมาหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ได้ความเป็นธรรมตั้งแต่ต้น ไม่รู้ว่าคดีที่เหลือจะเป็นเช่นเดียวกับคดีที่ตนได้รับมาหรือไม่ ก็หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนในเรื่องของมาตรา 44 ที่ให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์นั้น เท่าที่ตนทราบกรมบังคับคดีต้องได้รับคำสั่งจากศาลปกครอง ซึ่งการใช้มาตรา 44 สิ่งแรกที่มองคือผลของคดีไม่ว่าจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ ฉะนั้นการออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดี ก็เหมือนเป็นการชี้นำคดี ซึ่งต้องขอร้องเพราะมันมีผลกับคดีอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่ในชั้นศาล ถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับ
“ถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดมีความโปร่งใส และเป็นธรรมทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วย แต่กระบวนสอบสวนขั้นต้นในการปกป้องข้าราชการ ถ้ามั่นใจว่าข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้อง กลัวการถูกฟ้องร้อง แต่วันนี้ใช้มาตรา 44 กันถูกฟ้องร้องใครจะทำอะไรก็ได้ แล้วอย่างนี้ขนาดอดีตนายกฯ ยังปกป้องและหาความยุติธรรมให้กับตัวเองไม่ได้แล้ว ประชาชนธรรมดาปกติจะเรียกหาความยุติธรรมได้อย่างไร” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
อดีตนายกฯ กล่าวว่า ถึงวันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบว่าทำไมถึงไม่ใช้อำนาจตามปกติ ซึ่งเราก็ได้ท้วงไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าการพิจารณาในเรื่องของความเสียหายตามหลักสากล ก็ต้องไปร้องที่ศาลแพ่งและรัฐบาลก็ถือว่าเป็นคู่กรณีกับเรา ซึ่งก็ต้องร้องศาลให้เป็นผู้ตัดสินว่า ฝ่ายตนหรือรัฐบาลถูกหรือผิดกันแน่ ที่จะมาเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมเพียงเพราะไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมศาล และเพื่อที่การร่นเวลาให้ง่ายขึ้น ก็ใช้คำสั่งทางการปกครองกับตน อย่างนี้เท่ากับรัฐบาลเป็นคู่กรณีกับตนโดยตรง และบวกกับการใช้มาตรา 44 ในการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ไปตั้งแต่การสอบสวนจนถึงการไปมอบอำนาจให้กับกรมบังคับคดี ถือเป็นการชี้แจงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกลับ
“เวลานี้อยากให้รัฐบาลมองภาพรวมของประเทศ ความเดือดร้อนของประเทศเพราะวันนี้จริงๆ แล้วประชาชนรอในการที่จะให้เศรษฐกิจต่างๆ กลับคืนมา ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้มาใส่เรื่องของตนเป็นหลักจนลืมเรื่องอื่นๆ เพราะเรื่องจริงๆ แล้วมีกระบวนการขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่อยากให้เร่งรัดโดยใช้วิธีแบบนี้ สุดท้ายจะเป็นคำถามที่ประชาชนตั้งข้อสังเกต” อดีตนายกฯ กล่าว