สมัยที่ผมเริ่มต้นฝึกกรรมฐานใหม่ๆ มักมีความคิดว่า การฝึกกรรมฐานนั้นต้องไปนั่งที่วัดเท่านั่น ต้องนั่งเงียบๆคนเดียว ต้องนั่งในป่าที่รกร้างเท่านั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกและไม่ผิดซะทีเดียว กล่าวคือ
1.)การจะฝึกกรรมฐานนั้น เริ่มต้นต้องใช้กำลังสมาธิ ให้ได้ถึงกำลังของฌาน4แล้วจึงเข้าวิปัสสนากรรมฐาน จิตต้องนิ่งจริงๆโดยเฉพาะท่านสุขวิปัสสโก ส่วนท่านเจโตจะฝึกแบบเห็นภาพ สถานที่ฝึกอาจไม่จำเป็นต้องสงบสงัดมากก็ได้ แต่ถึงอย่างไรสถานที่ฝึกก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักกรรมฐานใหม่อยู่ดี
2.)สภาพแวดล้อมโดยรอบผู้ปฏิบัติ จุดนี้เป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติใหม่ ถึงแม้ว่าตามหลักแล้ว นักปฏิบัติควรมุ่งเน้นพิจารณาเฉพาะจิตของตนเอง แต่เอาเข้าจริงนักกรรมฐานใหม่เองก็เป็นปุถุชนคนปกติ ก็ยังมุ่งเน้นพิจารณาผู้อื่นหรือคนรอบข้างเป็นหลัก และมีจริตว่าตนเองดีกว่าคนอื่นๆ
3.)เรื้องน่าเบื่อที่สุดอีกเรื้องคือ มีผู้ปฏิบัติใหม่บางคนไม่เคารพกฏ กติกาของสถานที่ มีการนำโทรศัพท์มาพูดคุยกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง บางคนไม่ได้มาฝึกแบบจริงจัง มาแบบสนุกๆ มาแบบเท่ๆ กลุ่มนี้มักถ่ายภาพตนเองขณะฝึก พูดคุยหัวเราะ คนที่ไม่ทราบก็อนุโมทนามั่วซั่วกับคนเหล่านี้ นักกรรมฐานใหม่ไม่ควรยึดถือปล่อยวาง อย่าไปมุ่งจับผิดคนกลุ่มนี่เลยเพราะจะทำให้ตัวเราเองเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื้อง จิตใจจะหม่นหมองปล่าวๆ
4.)ไม่ควรเสียเวลากับครูบาอาจารย์ที่สอนผิดๆถูกๆ เพราะปัจจุบันวัดบางวัด พระบางองค์ก็เปิดสำนักตามกระแส บางวัดเปิดสำนักเพราะคนใหญ่คนโตอนากให้เปิด บางที่อยากได้ลาภสักการะ บางสำนักสอนโดยฆราวาสรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยที่ไม่มีประสบการณ์จริง อาศัยพูดตามรุ่นพ่อรุ่นแม่ อันนี้ลำบากผู้ปฏิบัติเสี่ยงต่อความหลงมาก
5.).ถ้าเราหาสถานที่ไม่ได้ นั่นหมายถึงฝึกไม่ได้เลยเชียวหรือ คำตอบอาจไม่ถูกต้องเสมอไป จริงๆแล้วการที่เรานั่งหลับตามันก็มองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว ดังนั้นจะนั่งที่ไหนมันก็ได้ทั้งนั่น ที่สำคัญท่านอย่าได้พูดคุยหรือรับฟังถึงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกันเอง เชื่อว่าทุกคนที่ฝึกแบบจริงจัง เมื่อเข้าอุปจาระสมาธิ จิต มองเห็นภาพหรือนิมิต ซึ่งสมาธิระดับนี้ภาพที่ปรากฏจะเป็นของปลอมไม่ใช่ของแท้ แต่ก็ยังมีนักปฏิบัติใหม่หลายคนยึดติดและนำมาพูดคุยกันเอง ปัญหาคือคนรอบข้างอยากมีบ้าง เกิดกิเลส คราวนี้ไม่ก้าวหน้าและเบื่อหน่ายในแนวทางการปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ได้ก็ไม่ฝึกต่อในอุปจาระสมาธิเพื่อให้เกิดฌาณ4 ตลอดจนสมาบัติ 8 ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับนักปฏิบัติใหม่หลายๆคน
6.)บางสำนักให้แม่ชีหรือพี่เลี้ยงที่เป็นฆราวาสมาสอนกรรมฐานเองโดยที่ครูบาอาจารย์ไม่ได้กำกับ บ่อยครั้งที่พี่เลี้ยงไม่ได้รู้จริง อาจจะศึกษามาจากตำราหรือไม่ก็ฟังตามๆกันมา เวลาผู้ปฏิบัติเกิดคำถามขึ้น เมื่อไปสอบถามมักจะโดนดุกลับมาว่าสิ่งที่คุณคิดไม่ถูก บางสำนักสอนให้พี่เลี้ยงพูดคำเดียวว่า อนัตตา...อนัตตา เรื้องนี้เป็นเรื้องสำคัญ การที่แต่ละสำนักเอาคนไม่รู้เรื้องมาสอนจะส่งผลให้นักปฏิบัติใหม่ไม่ก้าวหน้าเปรียบได้กับการเอาคนตาบอดมาสอนคนตาบอด=บอดยกกำลังสอง
ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
7.)มีหลายสำนักที่ให้ความสำคัญกับสถานที่เพื่อให้นักปฏิบัติมีความสะดวกสบายมากที่สุด เช่น วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ที่มีห้องน้ำที่สะอาดและมีหลายห้องให้ผู้ฝึกปฏิบัติ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่นักปฏิบัติมือใหม่ที่ยังมีความเป็นตัวตน ยังไม่สามารถปล่อยวางได้ ยังคงต้องการพักส่วนตัว วัดบางวัดก็พยายามsupportตรงจุดนี้ เช่น วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นสำหรับนักปฏิบัติใหม่
สรุป...
- นักปฏิบัติใหม่ควรเอาเวลาไปใช้ในการปฏิบัติมากกว่ามาคอยจับผิดนักกรรมฐานคนอื่นๆ
- นักปฏิบัติควรให้ความสำคัญกับสภาวะธรรมมากกว่าแสวงหาสถานที่ฝึกกรรมฐาน
- นักปฏิบัติไม่ควรพูดคุยกันเอง หรือคุยกับผู้ไม่รู้จริงเพราะจะส่งผลให้ได้ข้อมูลที่ผิดๆ
- หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ฝึกให้ตรงจริต อย่าเอาแต่ถามท่าเดียว ควรฝึกและปฏิบัติควบคู่ด้วย
- ค้นหาตัวเองให้ได้ว่าตนเองเหมาะสมกับการฝึกในจริตแบบใด แล้วจึงฝึกในแนวทางนั้น ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นเร็ว
สุดท้าย...นักปฏิบัติไม่ควรเชื่อนักทฤษฏีหรือกูรู แม้กระทั่งพระสงฆ์ที่จบมหาเปรียญที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน เพราะสิ่งที่ท่านจะได้รับกลับมานั้น ก็ไม่ต่างจากกูรูพระไตรปิฏกเลย เผลอๆจะหาว่าฝึกกรรมฐานแล้วจะเป็นบ้า เห็นนิมิตหลอน พวกนี้มักชอบคนอวย ชอบสร้างสัตถุทาน เน้นสร้างอาคารสถานที่ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยเป็นหลัก ซึ่งทำให้เราเสียเวลาการปฏิบัติและความก้าวหน้าทางธรรมป่าวๆ
ขอให้นักปฏิบัติใหม่เจริญในธรรมทุกท่านสวัสดี
ข้อคิดดีๆสำหรับนักปฏิบัติกรรมฐาน เรื่อง สถานที่ในการปฏิบัติธรรม
1.)การจะฝึกกรรมฐานนั้น เริ่มต้นต้องใช้กำลังสมาธิ ให้ได้ถึงกำลังของฌาน4แล้วจึงเข้าวิปัสสนากรรมฐาน จิตต้องนิ่งจริงๆโดยเฉพาะท่านสุขวิปัสสโก ส่วนท่านเจโตจะฝึกแบบเห็นภาพ สถานที่ฝึกอาจไม่จำเป็นต้องสงบสงัดมากก็ได้ แต่ถึงอย่างไรสถานที่ฝึกก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักกรรมฐานใหม่อยู่ดี
2.)สภาพแวดล้อมโดยรอบผู้ปฏิบัติ จุดนี้เป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติใหม่ ถึงแม้ว่าตามหลักแล้ว นักปฏิบัติควรมุ่งเน้นพิจารณาเฉพาะจิตของตนเอง แต่เอาเข้าจริงนักกรรมฐานใหม่เองก็เป็นปุถุชนคนปกติ ก็ยังมุ่งเน้นพิจารณาผู้อื่นหรือคนรอบข้างเป็นหลัก และมีจริตว่าตนเองดีกว่าคนอื่นๆ
3.)เรื้องน่าเบื่อที่สุดอีกเรื้องคือ มีผู้ปฏิบัติใหม่บางคนไม่เคารพกฏ กติกาของสถานที่ มีการนำโทรศัพท์มาพูดคุยกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง บางคนไม่ได้มาฝึกแบบจริงจัง มาแบบสนุกๆ มาแบบเท่ๆ กลุ่มนี้มักถ่ายภาพตนเองขณะฝึก พูดคุยหัวเราะ คนที่ไม่ทราบก็อนุโมทนามั่วซั่วกับคนเหล่านี้ นักกรรมฐานใหม่ไม่ควรยึดถือปล่อยวาง อย่าไปมุ่งจับผิดคนกลุ่มนี่เลยเพราะจะทำให้ตัวเราเองเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื้อง จิตใจจะหม่นหมองปล่าวๆ
4.)ไม่ควรเสียเวลากับครูบาอาจารย์ที่สอนผิดๆถูกๆ เพราะปัจจุบันวัดบางวัด พระบางองค์ก็เปิดสำนักตามกระแส บางวัดเปิดสำนักเพราะคนใหญ่คนโตอนากให้เปิด บางที่อยากได้ลาภสักการะ บางสำนักสอนโดยฆราวาสรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยที่ไม่มีประสบการณ์จริง อาศัยพูดตามรุ่นพ่อรุ่นแม่ อันนี้ลำบากผู้ปฏิบัติเสี่ยงต่อความหลงมาก
5.).ถ้าเราหาสถานที่ไม่ได้ นั่นหมายถึงฝึกไม่ได้เลยเชียวหรือ คำตอบอาจไม่ถูกต้องเสมอไป จริงๆแล้วการที่เรานั่งหลับตามันก็มองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว ดังนั้นจะนั่งที่ไหนมันก็ได้ทั้งนั่น ที่สำคัญท่านอย่าได้พูดคุยหรือรับฟังถึงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกันเอง เชื่อว่าทุกคนที่ฝึกแบบจริงจัง เมื่อเข้าอุปจาระสมาธิ จิต มองเห็นภาพหรือนิมิต ซึ่งสมาธิระดับนี้ภาพที่ปรากฏจะเป็นของปลอมไม่ใช่ของแท้ แต่ก็ยังมีนักปฏิบัติใหม่หลายคนยึดติดและนำมาพูดคุยกันเอง ปัญหาคือคนรอบข้างอยากมีบ้าง เกิดกิเลส คราวนี้ไม่ก้าวหน้าและเบื่อหน่ายในแนวทางการปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ได้ก็ไม่ฝึกต่อในอุปจาระสมาธิเพื่อให้เกิดฌาณ4 ตลอดจนสมาบัติ 8 ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับนักปฏิบัติใหม่หลายๆคน
6.)บางสำนักให้แม่ชีหรือพี่เลี้ยงที่เป็นฆราวาสมาสอนกรรมฐานเองโดยที่ครูบาอาจารย์ไม่ได้กำกับ บ่อยครั้งที่พี่เลี้ยงไม่ได้รู้จริง อาจจะศึกษามาจากตำราหรือไม่ก็ฟังตามๆกันมา เวลาผู้ปฏิบัติเกิดคำถามขึ้น เมื่อไปสอบถามมักจะโดนดุกลับมาว่าสิ่งที่คุณคิดไม่ถูก บางสำนักสอนให้พี่เลี้ยงพูดคำเดียวว่า อนัตตา...อนัตตา เรื้องนี้เป็นเรื้องสำคัญ การที่แต่ละสำนักเอาคนไม่รู้เรื้องมาสอนจะส่งผลให้นักปฏิบัติใหม่ไม่ก้าวหน้าเปรียบได้กับการเอาคนตาบอดมาสอนคนตาบอด=บอดยกกำลังสอง
ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
7.)มีหลายสำนักที่ให้ความสำคัญกับสถานที่เพื่อให้นักปฏิบัติมีความสะดวกสบายมากที่สุด เช่น วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ที่มีห้องน้ำที่สะอาดและมีหลายห้องให้ผู้ฝึกปฏิบัติ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่นักปฏิบัติมือใหม่ที่ยังมีความเป็นตัวตน ยังไม่สามารถปล่อยวางได้ ยังคงต้องการพักส่วนตัว วัดบางวัดก็พยายามsupportตรงจุดนี้ เช่น วัดถ้ำเมืองนะ จ.เชียงใหม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้นสำหรับนักปฏิบัติใหม่
สรุป...
- นักปฏิบัติใหม่ควรเอาเวลาไปใช้ในการปฏิบัติมากกว่ามาคอยจับผิดนักกรรมฐานคนอื่นๆ
- นักปฏิบัติควรให้ความสำคัญกับสภาวะธรรมมากกว่าแสวงหาสถานที่ฝึกกรรมฐาน
- นักปฏิบัติไม่ควรพูดคุยกันเอง หรือคุยกับผู้ไม่รู้จริงเพราะจะส่งผลให้ได้ข้อมูลที่ผิดๆ
- หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ฝึกให้ตรงจริต อย่าเอาแต่ถามท่าเดียว ควรฝึกและปฏิบัติควบคู่ด้วย
- ค้นหาตัวเองให้ได้ว่าตนเองเหมาะสมกับการฝึกในจริตแบบใด แล้วจึงฝึกในแนวทางนั้น ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นเร็ว
สุดท้าย...นักปฏิบัติไม่ควรเชื่อนักทฤษฏีหรือกูรู แม้กระทั่งพระสงฆ์ที่จบมหาเปรียญที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน เพราะสิ่งที่ท่านจะได้รับกลับมานั้น ก็ไม่ต่างจากกูรูพระไตรปิฏกเลย เผลอๆจะหาว่าฝึกกรรมฐานแล้วจะเป็นบ้า เห็นนิมิตหลอน พวกนี้มักชอบคนอวย ชอบสร้างสัตถุทาน เน้นสร้างอาคารสถานที่ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยเป็นหลัก ซึ่งทำให้เราเสียเวลาการปฏิบัติและความก้าวหน้าทางธรรมป่าวๆ
ขอให้นักปฏิบัติใหม่เจริญในธรรมทุกท่านสวัสดี