After the Storm - เมื่อพายุฝนผ่านพ้นไป รอยยิ้มที่สดใสก็จะเริ่มเบ่งบาน (Spoil)

"เราไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เราไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เราไม่ชอบหนังเรื่องนี้" (เราพูด 3 ครั้ง ^^)

จนถึงวันนี้ เรายังประทับใจไม่หายเลยจากหนังเรื่อง Our Little Sister เมื่อปีที่แล้ว และวันนี้ผู้กำกับขวัญใจของผม Hirokazu Koreeda กลับมาอีกครั้งกับหนังเรื่องใหม่ After the Storm ซึ่งหนังเรื่องนี้ยังคงลายเซ็นของ Koreeda ไว้อย่างครบถ้วน และพาเราย้อนกลับไปดื่มด่ำกับแนวทางของหนังยุคก่อนๆของเค้า

ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ เราแทบจะไม่เชื่อว่า Koreeda จะกลับไปทำหนังแนวทางนี้ เพราะ After the Storm คือผลงานที่กลับไปคล้าย Nobody Knows มากๆ หนังมีความสมจริงและเรียลสุดๆ รวมไปถึงการเล่าเรื่องที่นิ่ง ช้า และไม่มีจุดพีคใดๆ ซึ่งมันไม่ใช่หนังที่ดูง่ายเหมือนผลงานยุคหลังๆของเค้า ไม่ว่าจะเป็น I Wish, Like Father, Like Son หรือแม้กระทั่งเรื่องล่าสุด Our Little Sister ซึ่งหนังเหล่านี้มันคือหนังที่ดี ดูง่ายและสนุกด้วย แต่มันเดินตามสูตรสำเร็จบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดใจเรานิดหน่อยมาตลอด แต่เราก็ยังชอบผลงานเหล่านี้อยู่นะ แต่พอมาถึง After the Storm เค้ากลับไปเล่าเรื่องที่เน้นความสมจริงแบบ Nobody Knows หนังราบเรียบ นิ่ง ดำเนินเรื่องช้า แต่สมจริงมากๆ การแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครโดยไม่รู้ตัว และหนังเรื่องนี้มันไม่เดินตามสูตรสำเร็จอะไรทั้งนั้น มันเลยทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ

หนังของ Koreeda มักจะเล่าเรื่องชีวิตของคนธรรมดาและเน้นเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เล่าเรื่องได้สมจริงสุดๆ มีบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติและคมคายเอามากๆ นอกจากนี้ยังถ่ายทอดบรรยากาศบ้านเมืองของญี่ปุ่นออกมาได้ดีมากๆ ดูหนังของเค้าจบทีไร เราอยากเก็บกระเป๋าไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกทีเลย

เพลงประกอบคืออีกหนึ่งจุดเด่นในหนังของเค้า หลังจากสร้างความประทับใจให้เราสุดๆจากเพลง Kiseki เพลงประกอบเรื่อง I Wish ซึ่งทุกวันนี้เรายังเปิดฟังอยู่เลย มาเรื่องนี้ก็ยังฝากผลงานเพลงสุดไพเราะและความหมายดีมากๆอย่าง เพลง Shinkokyu ผลงานของ Hanaregumi ในเรื่องมีการใช้เมโลดี้ของเพลงมาทำเป็น Score ด้วย ซึ่งทำได้เข้ากับหนังมาก เมโลดี้ของเพลงแม้จะไพเราะมากๆ แต่ก็มีความรู้สึกหม่นแฝงมาด้วย ประโยคตอนท้ายในเนื้อเพลงบอกว่า "อีกก้าวเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น"

การถ่ายภาพเรื่องนี้อาจจะไม่ได้หวือหวามากนัก เพราะหนังเน้นไปที่ความสมจริง แต่ผมชอบตรงที่ถ่ายฉากที่โคตรธรรมดาเหล่านี้ ให้ออกมาได้มีเสน่ห์สุดๆ บรรยากาศจริงในแฟลตที่แม่ของ Ryota อาศัยอยู่ คงไม่ได้สวยงามมากนัก แต่หนังกลับถ่ายทอดออกมาได้อบอุ่น เราไม่ได้รู้สึกว่าที่นีไม่น่าอยู่แต่อย่างใด

การแสดงของนักแสดงนำทำได้ดีมากๆ Hiroshi Abe รับบทเป็น Ryota ได้ยอดเยี่ยมมาก แม้ในเรื่องจะไม่มีได้มีซีนที่ต้องโชว์อารมณ์หนักๆ แต่เราคิดว่าบทเรื่องนี้เล่นยาก เพราะมันมีซีนที่ต้องสื่ออารมณ์ผ่านทางสีหน้าแววตาค่อนข้างเยอะ และเราคิดว่าเค้าทำได้ดีเลยทีเดียว

Kirin Kiki ในบทบาทแม่ของ Ryota เธอเล่นได้น่ารักมากๆ แสดงได้ธรรมชาติสุดๆ เธอมีบทพูดตลกค่อนข้างเยอะ และเธอก็ทำได้ดี จังหวะการแสดงของเธอดีมาก และซีนอารมณ์เธอก็เอาอยู่ทุกซีน เราชอบฉากที่เธอคุยกับ Shingo สองต่อสอง ถามถึงความเป็นไปได้ในการที่ Kyoko กับ Ryota จะกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่คำตอบของ Shingo ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว เธอน้ำตาไหลเลย

แต่ที่ผมประทับใจที่สุด คือการแสดงของ Yoko Maki ที่เล่นเป็น Kyoko นิยามสั้นๆสำหรับการแสดงของเธอ คือ "น้อยแต่มาก" บทของเธอ มองเผินๆแทบจะไม่มีซีนอารมณ์เลย แต่ด้วยบทสนทนาธรรมดาๆนี่แหละ ที่เรารู้สึกว่าเธอทำได้ดีมาก เราเชื่อว่าเธอเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ ไม่ได้พูดออกมา เธอแทบจะไม่ได้แสดงอะไรออกมาให้เราเห็นเลย แต่เรากลับรู้สึกได้ว่าเธอรู้สึกยังไง เรารับรู้ผ่านแววตาของเธอ เธอพยายามเก็บความรู้สึกจริงๆเอาไว้ เธอไม่ได้พูดสิ่งที่เธอรู้สึกจริงๆออกไป แต่แสดงออกผ่านภาษากายและแววตา ทำให้เราชอบการแสดงของเธอมากๆ

หนังเล่าเรื่องชีวิตของคนธรรมดาอย่าง Ryota อดีตนักเขียนที่ปัจจุบันต้องมาทำอาชีพนักสืบเพื่อหาเลี้ยงชีพ ผลงานด้านการเขียนหนังสือก็ไม่มีแล้ว ชีวิตครอบครัวก็มีปัญหา เค้าหย่าร้างกับอดีตภรรยา และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน ส่วนพ่อของเค้าก็เพิ่งเสียชีวิต แม่ต้องอาศัยอยู่ที่แฟลตคนเดียว โดยอาศัยเงินบำนาญในการเลี้ยงชีพ

เงินที่ Ryota หาได้จากอาชีพนักสืบ มันไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพหรอก ทำให้เค้าต้องยอมทิ้งจรรยาบรรณนักสืบ เพื่อหลอกเอาเงินลูกค้า และเงินที่ได้มา เค้าก็เอาไปเล่นการพนันซะหมด แทบจะไม่เหลือไว้สำหรับการใช้จ่ายเลย นี่ยังไม่รวมกับภาระสำคัญที่ต้องจ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูลูกอีก เค้าแทบจะไม่มีทางจะหาเงินได้เพียงพอเลย

ชีวิตของ Ryota ดั่งถูกพายุโหมกระหน่ำเข้าใส่ เค้ายังไม่สามารถจะทำใจรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เค้ายังคิดถึงภรรยาและลูกของเค้า ยังอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม เค้ายังก้าวออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นยังไม่ได้ หัวหน้าของเค้าถึงกับบอก Ryota ว่า "นายต้องใช้ความกล้าหน่อย ในการยอมรับว่านายไม่ได้อยู่ในชีวิตพวกเค้าแล้ว" มันฟังดูเจ็บปวดมากนะ แต่ก็เป็นความจริงที่ต้องทำให้ได้เช่นกัน

นอกจากจะยังไม่สามารถเดินออกจากอดีตมาได้แล้ว เค้าก็ยังเอาแต่เพ้อฝันถึงแต่อนาคต ไม่ว่าจะเป็นการหวังกับการพนัน หรือแม้แต่หวังกับลอตเตอรี่ก็เช่นกัน แม่ของ Ryota พูดกับเค้าว่า เค้ายังยึดติดอยู่กับอดีต และเอาแต่เพ้อฝันถึงแต่อนาคต แต่สิ่งที่สำคัญที่เค้าควรทำคือ "ทำปัจจุบันให้ดี" ซึ่งเป็นสิ่งที่ Ryota ยังทำไม่ได้เลย

แต่เราก็เข้าใจเค้านะว่าชีวิตมันไม่ง่ายหรอก อะไรต่างๆในชีวิตมันไม่ได้จะเป็นไปอย่างที่เราคาดหวังตั้งใจไปซะทั้งหมดหรอก เราคิดว่า ชีวิต คือ การเรียนรู้ ยอมรับ และทำความเข้าใจกับมัน แต่ไม่ได้ให้เรายอมแพ้กับสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน
"ตอนเด็กๆ พ่ออยากโตมาเป็นอะไร แล้วตอนนี้พ่อได้เป็นอย่างที่อยากเป็นไหม" Shingo ถาม Ryota
"พ่อยังไม่ได้เป็น แบบที่พ่ออยากเป็นหรอก" Ryota ตอบกลับ
"แต่พ่อยังไม่ได้หยุดที่จะพยายามเป็นแบบนั้นให้ได้หรอกนะ" Ryota พูดต่อ
ฟังแล้วเราชอบมากๆ สิ่งที่เราเห็นดูเหมือนกับว่า Ryota จะดูเป็นคนที่ไม่มีอนาคตอะไร แต่สิ่งที่เค้าพูดกับลูกตอนนี้ มันทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่า วันหนึ่งเค้าจะได้เป็นแบบที่เค้าอยากจะเป็นจริงๆ ชีวิตไม่ได้ให้เราเกิดมาเพื่อยอมแพ้ เหมือนกับประโยคที่เค้าตะโกนเชียร์ม้าแข่งในสนามม้า ราวกับว่าจะตะโกนบอกตัวเค้าเองเช่นกัน "สู้หน่อย"

ชีวิตของ Ryota ที่ดูไม่เอาไหน ดูไม่มีความรับผิดชอบ ดูแลครอบครัวไม่ได้ แต่จริงๆชีวิตของ Ryota ต้องมีความหมายอะไรบ้างแหละ อย่างน้อยๆที่เราเห็นคือ เราคิดว่า Shingo ลูกชายของเค้า ยังรู้สึกดีกับเค้าและยังอยากที่จะอยู่กับเค้า เราคิดว่า ตัวเค้ายังสำคัญต่อ Shingo อยู่ เหมือนต้นส้มที่ Ryota เคยปลูกไว้สมัยประถม "ไม่มีทั้งดอก ไม่ออกทั้งผล แต่ใบของมันก็ช่วยให้หนอนมากัดกิน แล้วเติบโตไปเป็นผีเสื้อที่สวยงามได้ มันต้องมีประโยชน์สักอย่างล่ะน่า" คนเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น อย่ามองแต่ด้านแย่ๆของตัวเอง แล้วนำไปเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ก้าวเดินต่อไป ด้านดีๆของเรายังรอให้เราหยิบไปใช้งานอยู่นะ

แม้ตลอดทั้งเรื่อง Kyoko จะไม่ได้พูดว่า ปัจจุบันตอนนี้เค้ารู้สึกยังไงกับ Ryota แต่ส่วนตัวเรายังรับรู้ความรู้สึกของเธอได้ผ่านการแสดงออกของเธอ เราเชื่อว่า ลึกๆแล้วเธอยังรู้สึกดีกับ Ryota อยู่ แต่ความรู้สึกกับการใช้ชีวิตในโลกแห่งความจริง มันอาจไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป Ryota ไม่สามารถที่จะดูแลเธอและลูกได้ มันเลยทำให้เธอจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจแบบนั้น

"เราต้องไปเบส 1 โดยการตีนะ ไม่ใช่วอล์ค เพราะฮีโร่เค้าไม่ทำแบบนั้นกัน" แฟนใหม่ของ Kyoko พูดกับ Shingo
"ผมไม่ได้อยากเป็นฮีโร่" Shingo ตอบ
เราคิดว่า Shingo เองก็คงจะไม่ได้เข้ากับแฟนใหม่ของแม่ได้ซักเท่าไหร่หรอก ต่างกับบทสนทนาระหว่าง Shingo กับ Ryota ในห้องน้ำของร้านอาหาร มันอบอุ่นน่ารักสุดๆ ประโยคสุดท้ายที่ Shingo ถามพ่อก่อนจากกันในฉากนี้ "พ่อมีเงินใช่ไหม" Ryota ตอบรับ แล้ว Shingo ก็จากไปด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

เราเชื่อว่าตอนที่ Kyoko ได้อ่านหนังสือ "โต๊ะที่ไม่มีคนนั่ง" ผลงานของ Ryota เธอคงจะเข้าใจได้ว่า หนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อสารเรื่องอะไร ซึ่งต่างจากแฟนใหม่ของเธอที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่เข้าใจ เราคิดว่าเธอกับแฟนใหม่ ก็คงไม่ได้จะมีอะไรเข้ากันซักเท่าไหร่หรอก แต่ก็อย่างว่าแหละ เธอเชื่อว่าแฟนใหม่ของเธอจะสามารถดูแลเธอและลูกได้ เราว่าบางครั้งโลกแห่งความจริงมันเจ็บปวดเหมือนกันนะ
"ในชีวิตจริง เราอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารู้สึกด้วยจริงๆหรอก แต่มันก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า ใครคือคนที่เรารู้สึกด้วยมากที่สุด"

Shingo ถามแม่ว่า "แล้วตอนนี้แม่รู้สึกยังไงกับพ่อ" แม่ตอบกลับมาว่า "เรื่องมันนานมาแล้ว แม่ลืมไปแล้ว" เป็นการหลีกเลี่ยงคำตอบในใจของเธอเอง

ในคืนนั้นที่ Ryota นั่งคุยกับแม่ของเค้า แม่พูดกับ Ryota ว่า "แกไม่มีทางมีความสุขได้หรอก ถ้าไม่หัดปล่อยวางอะไรไปบ้างน่ะ"

ซีนตอนท้ายเรื่องที่ Kyoko และ Ryota หลบฝนอยู่ในสนามเด็กเล่น
"ปล่อยพวกเราให้ก้าวต่อไปข้างหน้าเถอะ" Kyoko พูดขอกับ Ryota
"ผมเข้าใจ" Ryota พูดกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ในแววตากลับปวดร้าวสุดๆ
เป็นการตอบกลับที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็เป็นสิ่งที่เค้าก็รู้ตัวว่าควรต้องทำ เค้าต้องพยายามปล่อยวางให้ได้ การปล่อยให้ Kyoko และ Shingo ให้ก้าวเดินต่อไป น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ซีนนี้ทำเอาเรานั่งนิ่งในบรรยากาศที่เงียบสงัดในโรงหนังเลยทีเดียว

ช่วงเวลาที่ Shingo Ryota และ Kyoko ออกไปช่วยกันเก็บลอตเตอรี่ที่ปลิวหายไปท่ามกลางพายุฝน เป็นซีนที่น่ารักอบอุ่นมากๆ มันยังยืนยันความรู้สึกระหว่างพวกเค้าทั้ง 3 คนได้เป็นอย่างดี เราอยากเก็บช่วงเวลานี้เอาไว้ให้นานที่สุด แม้พายุฝนจะโหมกระหน่ำหนักแค่ไหน พวกเค้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เพราะช่วงเวลานี้ พวกเค้าอยู่ข้างๆกันและกัน "บางครั้งช่วงเวลาที่พายุฝนโหมกระหน่ำมา มันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปหรอกนะ" ภาพที่เราเห็นในตอนนี้ ราวกับว่าพวกเค้ายังอยู่กันเป็นครอบครัวเหมือนเดิมเลย

ความสุขเล็กๆของ Ryota ตอนท้ายเรื่อง ก็คือการที่ได้รู้ว่าพ่อของเค้าได้อ่านผลงานการเขียนของเค้าแล้ว "โต๊ะที่ไม่มีคนนั่ง" และพ่อของเค้ายังภูมิใจในผลงานของเค้ามากๆอีกด้วย เพราะพ่อช่วยซื้อหนังสือไปแจกคนอื่นๆมากมาย บางทีโต๊ะตัวนั้นของ Ryota อาจจะไม่ได้ว่างเปล่าแบบที่เค้าคิด แต่อาจจะมีคนมานั่งในช่วงเวลาที่เค้าไม่เห็นก็เป็นได้

หลังพายุฝนผ่านพ้นไป ท้องฟ้าสดใสก็จะเข้ามาแทนที่ นี่คือความจริงที่เป็นแบบนี้เสมอมา เราต้องพยายามผ่านค่ำคืนที่เลวร้ายไปให้ได้ อย่าไปยึดติดกับอดีตที่เราไปแก้ไขมันไม่ได้แล้ว และอย่าไปรอถึงสิ่งเพ้อฝันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เพื่อเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เราดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่พายุฝนโหมกระหน่ำได้

"เมื่อพายุฝนผ่านพ้นไป รอยยิ้มที่สดใสก็จะเริ่มเบ่งบาน”

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่