รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
นโยบายปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล ที่เริ่มดำเนินการมาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน กลุ่มธุรกิจทัวร์ในประเทศไทย กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และอาจลามปามถึงเศรษฐกิจในระดับมหภาคของไทยได้โดยที่รัฐบาลไม่ได้คาดคิด
สมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) ได้จัดการประชุมสมาชิกที่มีผู้เข้าร่วมการประชุมมากเป็นประวัติการณ์ ผมได้ข้อสรุปบางประการดังนี้คือ
1) บริษัทรับจองตั๋วเครื่องบินถูกยกเลิกแล้ว 70 - 80%
2) ยอดจองห้องพักที่กรุงเทพฯ และพัทยาลดลง 50%
3) สายการบินถูกยกเลิกแล้วราว 20 - 30%
4) จากการคาดการณ์ว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเข้าไทยในปีนี้ระหว่าง 8 - 10 ล้านคน แต่ผลกระทบจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญทำให้มีการคาดการณ์ใหม่ว่าระหว่างวันที่ 12 - 30 กันยายนนี้ นักท่องเที่ยวจากจีนจะหายไปราว 1.6 หมื่นคน และหากรัฐบาลยังไม่มีมาตรการที่เหมาะสม ในช่วงเดือนตุลาคมนักท่องเที่ยวจีนจะหายไปกว่า 200,000 คน สูญเสียรายได้ราว 4,000 ล้านบาท สอดคล้องกับนายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ที่กล่าวว่าภาพรวมอัตราการเข้าพักโรงแรมลดลงกว่า 50% จาดตลาดทัวร์จีน
จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวพบว่า
1) โรงแรมขนาด 2 - 3 ดาวที่กรุงเทพฯ และพัทยาซึ่งเป็นที่พักของทัวร์จีนประสบภาวะวิกฤตแล้ว เพราะลูกค้าชาวจีนหายไปเป็นจำนวนมาก
2) ธุรกิจทัวร์ขนาดเล็กๆ ต่างพากันปิดกิจการชั่วคราว เนื่องจากยังไม่แน่ใจกับนโยบายของรัฐบาลที่ถือว่าธุรกิจคนไทยที่ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคนจีนที่สวมบัตรคนไทยจะถูกกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ได้ เจ้าของโรงแรมแถวรัชดาภิเษกบอกกับผมว่า ถ้านโยบายของรัฐบาลเป็นแบบนี้ โรงแรมขนาด 2 - 3 ดาว เกือบทั่วทั้งกรุงเทพฯ สามารถจะถูกจับในข้อหาอั้งยี่ได้ เพราะโรงแรมส่วนใหญ่รับลูกค้าจากบริษัทคนไทยที่ถูกจับในข้อหาอั้งยี่ไปแล้ว หากรัฐบาลไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายในเรื่องนี้อย่างทันการณ์ คาดว่าโรงแรมขนาด 2 - 3 ดาวจะปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก
3) โรงแรมขนาด 2 - 3 ดาวที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทัวร์จีนต่างพากันหยุดโครงการลงทุนลงทั้งหมดแล้ว เนื่องจากไม่อาจคาดการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนได้
4) ในระหว่างวันที่ 1 - 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของประเทศจีน ในปีที่ผ่านมาโรงแรมของไทยจะมียอดผู้เข้าพักเต็มหมดจากนักท่องเที่ยวชาวจีน สำหรับในปีนี้นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่าในช่วงวันที่ 1 – 7 ตุลาคม ยอดจองล่วงหน้าหายเกลี้ยง แต่ผมคาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเข้ามาในเดือนตุลาคมอาจลดลงถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปีที่แล้ว เพราะบริษัททัวร์จีนได้ส่งลูกทัวร์จีนไปมาเลเซีย กัมพูชาและเวียดนามแทน ขณะนี้ยอดจองของโรงแรมทั้งสามประเทศเต็มหมดแล้ว
5) ข้อกล่าวหาของตำรวจท่องเที่ยวเรื่องบริษัทไทยเป็นอั้งยี่มีผลกระทบทั้งต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวไทยทั้งในภาพรวมและต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจีนด้วย นักท่องเที่ยวชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทยขณะนี้ไม่กล้าซื้อสินค้าไทย เพราะข่าวที่ตำรวจท่องเที่ยวประโคมว่าธุรกิจไทยตั้งราคาสินค้าสูงลิ่วและเอาเปรียบนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างรุนแรง ถึงแม้ในขณะนี้ร้านค้าไทยจะลดราคาสินค้าลง 20 - 30% ก็ยังไม่สามารถขายสินค้าได้
จากปัญหาข้างต้นผมเห็นว่า
1) รัฐบาลต้องลงมาจัดการกับปัญหาเรื่องที่ธุรกิจไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ ว่าขอบเขตและความหมายของอั้งยี่กินความแค่ไหน กฎหมายปราบอั้งยี่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า กฎหมายมาตรานี้อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคมไทยในปัจจุบัน รัฐบาลก่อนหน้านี้เคยใช้ข้อกล่าวหานี้เล่นงานคณะบุคคลที่ต่อต้านการทุจริตของรัฐบาล ผมคิดว่ารัฐบาลน่าจะทบทวนหรือยกเลิกมาตรานี้ไป
2) รัฐบาลต้องเข้ามาจัดการปัญหาทัวร์จีนร่วมกับแอตต้าและสมาคมโรงแรมไทย การจัดการกับทัวร์จีนที่สวมสัญชาติไทยไม่มีใครคัดค้าน แต่ถ้ายังไม่จัดการกับบริษัทของคนไทยอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามหลักนิติธรรม ปัญหาวิกฤติทัวร์จีนอาจยืดเยื้อไปอีกนานจนกลายเป็นวิกฤติการท่องเที่ยวไทยและเป็นวิกฤตของรัฐบาลในท้ายที่สุด
3) หากรัฐบาลปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อไป ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจนอกเหนือจากคนไทยจำนวนหลายหมื่นคนจะตกงานและส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวของเขาเป็นแสนคนแล้ว ราคาของพืชผัก ผลไม้และอาหารจะตกลง เศรษฐกิจไทยจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีนไปราว15,000 - 30,000 ล้านบาทต่อเดือน
รัฐบาลควรเข้ามาจัดระเบียบการท่องเที่ยวเสียใหม่โดยร่วมมือกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย รัฐบาลจีน และบริษัททัวร์ในประเทศจีนที่เป็นผู้จัดการส่งลูกทัวร์จีนมาให้ทัวร์ไทย ผมพบว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตั้งแต่ต้นน้ำคือบริษัททัวร์ในประเทศจีน จนถึงปลายน้ำคือ บริษัททัวร์ในประเทศไทย บริษัททัวร์จีนที่แปลงสัญชาติเป็นไทย และเจ้าหน้าที่ทางการไทยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ผมพบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นจำนวนมากได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งนำความเสื่อมเสียและภาพลักษณ์ที่ดีงามมาสู่ประเทศไทย และ
4) รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อทำการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามีใครอยู่เบื้องหลังนโยบายการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญหรือไม่ และนโยบายนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจแก่ใคร เพื่อรื้อระบบการท่องเที่ยวไทยให้เกิดความโปร่งใสและเป็นรูปธรรมแก่ผู้ประกอบการ บริษัททัวร์ ไกด์ และนักท่องเที่ยวชาวจีน
JJNY : เศรษฐกิจดี๊ดี...วิกฤตนักท่องเที่ยวจากจีนเริ่มต้นแล้ว
นโยบายปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล ที่เริ่มดำเนินการมาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน กลุ่มธุรกิจทัวร์ในประเทศไทย กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และอาจลามปามถึงเศรษฐกิจในระดับมหภาคของไทยได้โดยที่รัฐบาลไม่ได้คาดคิด
สมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (แอตต้า) ได้จัดการประชุมสมาชิกที่มีผู้เข้าร่วมการประชุมมากเป็นประวัติการณ์ ผมได้ข้อสรุปบางประการดังนี้คือ
1) บริษัทรับจองตั๋วเครื่องบินถูกยกเลิกแล้ว 70 - 80%
2) ยอดจองห้องพักที่กรุงเทพฯ และพัทยาลดลง 50%
3) สายการบินถูกยกเลิกแล้วราว 20 - 30%
4) จากการคาดการณ์ว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเข้าไทยในปีนี้ระหว่าง 8 - 10 ล้านคน แต่ผลกระทบจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญทำให้มีการคาดการณ์ใหม่ว่าระหว่างวันที่ 12 - 30 กันยายนนี้ นักท่องเที่ยวจากจีนจะหายไปราว 1.6 หมื่นคน และหากรัฐบาลยังไม่มีมาตรการที่เหมาะสม ในช่วงเดือนตุลาคมนักท่องเที่ยวจีนจะหายไปกว่า 200,000 คน สูญเสียรายได้ราว 4,000 ล้านบาท สอดคล้องกับนายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ที่กล่าวว่าภาพรวมอัตราการเข้าพักโรงแรมลดลงกว่า 50% จาดตลาดทัวร์จีน
จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวพบว่า
1) โรงแรมขนาด 2 - 3 ดาวที่กรุงเทพฯ และพัทยาซึ่งเป็นที่พักของทัวร์จีนประสบภาวะวิกฤตแล้ว เพราะลูกค้าชาวจีนหายไปเป็นจำนวนมาก
2) ธุรกิจทัวร์ขนาดเล็กๆ ต่างพากันปิดกิจการชั่วคราว เนื่องจากยังไม่แน่ใจกับนโยบายของรัฐบาลที่ถือว่าธุรกิจคนไทยที่ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคนจีนที่สวมบัตรคนไทยจะถูกกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ได้ เจ้าของโรงแรมแถวรัชดาภิเษกบอกกับผมว่า ถ้านโยบายของรัฐบาลเป็นแบบนี้ โรงแรมขนาด 2 - 3 ดาว เกือบทั่วทั้งกรุงเทพฯ สามารถจะถูกจับในข้อหาอั้งยี่ได้ เพราะโรงแรมส่วนใหญ่รับลูกค้าจากบริษัทคนไทยที่ถูกจับในข้อหาอั้งยี่ไปแล้ว หากรัฐบาลไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายในเรื่องนี้อย่างทันการณ์ คาดว่าโรงแรมขนาด 2 - 3 ดาวจะปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก
3) โรงแรมขนาด 2 - 3 ดาวที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทัวร์จีนต่างพากันหยุดโครงการลงทุนลงทั้งหมดแล้ว เนื่องจากไม่อาจคาดการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนได้
4) ในระหว่างวันที่ 1 - 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของประเทศจีน ในปีที่ผ่านมาโรงแรมของไทยจะมียอดผู้เข้าพักเต็มหมดจากนักท่องเที่ยวชาวจีน สำหรับในปีนี้นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่าในช่วงวันที่ 1 – 7 ตุลาคม ยอดจองล่วงหน้าหายเกลี้ยง แต่ผมคาดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเข้ามาในเดือนตุลาคมอาจลดลงถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปีที่แล้ว เพราะบริษัททัวร์จีนได้ส่งลูกทัวร์จีนไปมาเลเซีย กัมพูชาและเวียดนามแทน ขณะนี้ยอดจองของโรงแรมทั้งสามประเทศเต็มหมดแล้ว
5) ข้อกล่าวหาของตำรวจท่องเที่ยวเรื่องบริษัทไทยเป็นอั้งยี่มีผลกระทบทั้งต่อภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวไทยทั้งในภาพรวมและต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจีนด้วย นักท่องเที่ยวชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทยขณะนี้ไม่กล้าซื้อสินค้าไทย เพราะข่าวที่ตำรวจท่องเที่ยวประโคมว่าธุรกิจไทยตั้งราคาสินค้าสูงลิ่วและเอาเปรียบนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างรุนแรง ถึงแม้ในขณะนี้ร้านค้าไทยจะลดราคาสินค้าลง 20 - 30% ก็ยังไม่สามารถขายสินค้าได้
จากปัญหาข้างต้นผมเห็นว่า
1) รัฐบาลต้องลงมาจัดการกับปัญหาเรื่องที่ธุรกิจไทยถูกกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ ว่าขอบเขตและความหมายของอั้งยี่กินความแค่ไหน กฎหมายปราบอั้งยี่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า กฎหมายมาตรานี้อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคมไทยในปัจจุบัน รัฐบาลก่อนหน้านี้เคยใช้ข้อกล่าวหานี้เล่นงานคณะบุคคลที่ต่อต้านการทุจริตของรัฐบาล ผมคิดว่ารัฐบาลน่าจะทบทวนหรือยกเลิกมาตรานี้ไป
2) รัฐบาลต้องเข้ามาจัดการปัญหาทัวร์จีนร่วมกับแอตต้าและสมาคมโรงแรมไทย การจัดการกับทัวร์จีนที่สวมสัญชาติไทยไม่มีใครคัดค้าน แต่ถ้ายังไม่จัดการกับบริษัทของคนไทยอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามหลักนิติธรรม ปัญหาวิกฤติทัวร์จีนอาจยืดเยื้อไปอีกนานจนกลายเป็นวิกฤติการท่องเที่ยวไทยและเป็นวิกฤตของรัฐบาลในท้ายที่สุด
3) หากรัฐบาลปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อไป ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจนอกเหนือจากคนไทยจำนวนหลายหมื่นคนจะตกงานและส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวของเขาเป็นแสนคนแล้ว ราคาของพืชผัก ผลไม้และอาหารจะตกลง เศรษฐกิจไทยจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีนไปราว15,000 - 30,000 ล้านบาทต่อเดือน
รัฐบาลควรเข้ามาจัดระเบียบการท่องเที่ยวเสียใหม่โดยร่วมมือกับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย รัฐบาลจีน และบริษัททัวร์ในประเทศจีนที่เป็นผู้จัดการส่งลูกทัวร์จีนมาให้ทัวร์ไทย ผมพบว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตั้งแต่ต้นน้ำคือบริษัททัวร์ในประเทศจีน จนถึงปลายน้ำคือ บริษัททัวร์ในประเทศไทย บริษัททัวร์จีนที่แปลงสัญชาติเป็นไทย และเจ้าหน้าที่ทางการไทยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว ผมพบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นจำนวนมากได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งนำความเสื่อมเสียและภาพลักษณ์ที่ดีงามมาสู่ประเทศไทย และ
4) รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการอิสระ เพื่อทำการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามีใครอยู่เบื้องหลังนโยบายการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญหรือไม่ และนโยบายนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจแก่ใคร เพื่อรื้อระบบการท่องเที่ยวไทยให้เกิดความโปร่งใสและเป็นรูปธรรมแก่ผู้ประกอบการ บริษัททัวร์ ไกด์ และนักท่องเที่ยวชาวจีน