กลายเป็นกรณีสุด “ดราม่า” ที่ผู้คนในสังคมกำลังจับตากันอย่างไม่กระพริบ! กับปฏิบัติการกวาดล้าง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ของรัฐบาล คสช.ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดการขั้นเด็ดขาดกับเครือข่ายขบวนการ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” จากเมืองจีนที่เข้ามาฝังรกรากใช้ไทยเป็นฐานดำเนินธุรกิจ
มีการตั้งบริษัททัวร์และจิวเวอร์รี่ รวมทั้งธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องบังหน้าให้คนไทยถือหุ้นแต่หลังฉากกลับมีกลุ่มทุนจีนชักใยอยู่เองหลังในการนำเอากรุ๊ปทัวร์จากเมืองจีนข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยผ่านเครือข่ายบริษัททัวร์ร่วม 200 บริษัท ด้วยสนนราคาที่ทำเอาทุกฝ่าย “อึ้งกิมกี่” แค่ 299-1,000 หยวนหรือราว 1,495- 5,000 บาทเศษก็สามารถเหิรเวหามาท่องเที่ยวเมืองไทยได้แล้ว ก่อนจะส่งต่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่งต่อไปให้เอเย่นต์ทัวร์ในเมืองไทยรับไม้ต่อ โดยจะต้องแบกรับภาระในการส่งต่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้ที่คาดว่าจะอยู่ในราว 5,000-6,500 บาท แต่จะได้รับคืนจากการนำนักท่องเที่ยวเหล่านี้ไปจับจ่ายใช้สอยและซื้อสินค้า ของฝากจองที่ระลึกจากเครือข่ายธุรกิจ จิวเวอร์นี่ ร้านอาหาร ร้านของฝากของที่ระลึกต่าง ๆ ที่มีการฟันราคามหาโหดเอาจากนักท่องเที่ยวอีกที
ปฏิบัติการกวาดล้างทัวร์ศูนย์เหรียญ เริ่มจากการที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ดำเนินการกวาดจับเครือข่ายบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญรายใหญ่สุดของเมืองไทยคือบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัดและเครือข่ายอีก 4 แห่งคือบริษัทบางกอกแฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัทรอยัล พาราไดซ์ จำกัด บริษัทรอยัลเจมส์อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดและบริษัทรอยัลไทยเฮิร์บ จำกัด ก่อนจะตามมาด้วยการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.)ยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องที่ประกอบด้วยรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยว 2,ฅ086 คันเงินสดในบัญชีร่วม 90 บัญชีมูลค่ามากกว่า 13,000 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อหา “อั้งยี่” และร่วมกันทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ก่อนที่รัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยวจะร่วมกันบูรณาการในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ด้วยการกำหนดราคาทัวร์ขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน อันเป็นราคาพื้นฐานที่เอเย่นต์และบริษัททัวร์จะนำไปใช้เป็นฐานในการกำหนดราคาทัวร์จีนที่จะเข้ามาเมืองไทย เพื่อไม่ให้เกิดกรณีการนำเอานักท่องเที่ยวราคาถูกหรือบินฟรีมารีดค่าใช้จ่ายในเมืองไทยได้อีก แต่ต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างแท้จริง!
เครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญดิ้นพล่าน..
คล้อยหลังปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ทันขวบเดือน กระแสข่าวอีกฟากฝั่งได้ปะทุออกมาว่า ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหดหายไปแล้วถึง 65% และภายในระยะเพียงเดือนเศษตุลาคม-พฤศจิกายน 2559 ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเดินทางมายังประเทศไทยหดหายไปแล้วนับแสนคน และคาดว่าทั้งปีจะหดหายไปถึง 1 ล้านคนเลยเดียว
มีการโหมกระพือข่าว(โดยยืมมือสื่อในเครือข่าย)ด้วยว่า หลังปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของประเทศไทย ได้ทำให้บรรยากาศในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หรือหัวหินเงียบเหงาลงไปถนัดตา บรรดาโรงแรม ร้านอาหาร ร้านรวงทั้งหลายแหล่แทบจะร้างผู้คน และนักท่องเที่ยว เมื่อทัวร์จีนบ่ายหน้าหันไปท่องเที่ยวยังสิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรปแทน มีการระบุด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์นั้นถึงกับให้ผลตอบแทนแก่บริษัททัวร์หรือไกด์ทัวร์ที่นำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประเทศในอัตราหัวละ 60 เหรียญสิงคโปร์อีกด้วย
ทั้งยังระบุด้วยว่า มีการจัดโปรแกรมทัวร์ไปเกาหลี ญี่ปุ่นและยุโรป 5 วันในราคาถูกสุดเหลือเชื่อ 1,700 หยวนหรือราว 8,500 บาท ทัวร์ญี่ปุ่น 6 วัน 3,400 หยวนหรือ 17,495 บาท และทัวร์ยุโรปฝรั่งเศส –อิตาลี –เหยอรมัน 12 วันแค่ 3,160- 4,200 หยวนหรือราว 16,000- 20,000 บาทเท่านั้น
ก่อให้เกิดคำถามว่าผลพวงจากปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญนั้น ได้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนบอยคอต ขยาดที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย จนถึงกับเฮโลหันไปท่องเที่ยวยังสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและยุโรปแทน และจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องทบทวนปฏิบัติการดังกล่าวหรือไม่
ก.ท่องเที่ยว “ตีแสกหน้า”ข้อมูลลวงโลก..
อย่างไรก็ตามตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวในระยะ 9 เดือนแรกของปี 59 (มกราคม-กันยายน 2559) ที่ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.กระทรวงท่องเที่ยวรายงานล่าสุดนั้น ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.23 ล้านล้านบาท และคาดว่าตลอดปี 59 นี้จะมีรายได้รวม 1.63 ล้านล้านบาท จากปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งปี 32.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.37%ส่วนตลาดยุโรป มีจำนวน 1.2 ล้านคน ขยายตัว 12.11%สร้างรายได้ 8.6 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 15.6%และนักท่องเที่ยวอาเซียนมีจำนวน 2.2 ล้านคน เติบโต 14.63%ทำรายได้ 6.7 หมื่นล้านบาท ขยาย 18% และยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศอีก 8.36 แสนล้านบาท รวมทั้งปี 2.49 ล้านล้านบาท เติบโตมากกว่า 9.9%
ทั้งยังมีข้อมูลที่ยืนยันจากกระทรวงท่องเที่ยว ที่ระบุว่าจากการสำรวจสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3 หลังการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญพบว่า ยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาทั้งหมด 8.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.09% จากปีก่อน โดยในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนนั้นยังคงเดินทางเข้าประเทศราว 2.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 14.5%
สอดคล้องกับที่ นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวยืนยันว่า จากการเก็บสถิติล่าสุดของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวสมาชิกแอตต้าในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.59) พบว่า ตลาดจีนเดินทางเข้ามาราว 2.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18.5% ทำให้ตลอดปียังประเมินว่าการเดินทางผ่านทัวร์จะอยู่ที่ 3.5 ล้านคน หรือเติบโตราว 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนทำไว้ที่ราว 3 ล้านคน “แม้ว่าในเดือน ต.ค.จะมีผลกระทบจากการจัดระเบียบทัวร์ราคาต่ำกว่าทุนทำให้ตลาดผ่านทัวร์ลดลงไปกว่า 46.92% หรือคิดเป็นจำนวน 1.08 แสนคน ส่วนคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนในภาพรวมทุกกลุ่มรวมตลาดเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ประเมินว่าจะได้ 9.5 ล้านคน จากนั้นในปี 2560 เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติจะมีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 11 ล้านคน”
สวนทางกับกระแสข่าวปล่อย “สุดดราม่า” ที่ถั่งโถมกันออกมา...
เบื้องหลัง “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ฟื้นทัวร์ศูนย์เหรียญ..
ผลพวงจากปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจังของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมานั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่เพียงเขย่าขุมข่ายธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญรายใหญ่ในเมืองไทย ที่นัยว่ามีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 60% ของกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ ยังสะเทือนไปถึงเอเย่นต์ทัวร์ศูนย์เหรียญอีกหลายรายที่อยู่ในระดับรองๆ ลงไป
ไม่แต่เท่านั้นยังกระทบไปถึงธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จิวเวอร์รี่ สปา ฯลฯ และโดยเฉพาะร้านของฝากของที่ระลึกที่เป็นที่รับรู้กันดีว่า 1 ในเครือข่ายที่มีธุรกิจครอบคลุมธุรกิจเหล่านี้มากที่สุดในเมืองไทยนั้น มี “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ที่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลลีกอังกฤษรวมอยู่ด้วย
เมื่อทัวร์ศูนย์เหรียญถูกปราบ เอเย่นต์ทัวร์จากจีนจำเป็นต้องปรับตัวขนานใหญ่ยังผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยและโดยเฉพาะของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรี ที่เพิ่งเข้า “เทคโอเวอร์” สายการบินต้นทุนต่ำ”แอร์เอเชีย” เข้ามาอยู่ใต้ชายคาพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของกิจการดิวตี้ฟรีและของที่ระลึก ถึงขนาดมีการจัดตั้ง “ดิวตี้ฟรีคอมเพล็กซ์”ขึ้นที่ย่านลาดกระบังเพื่อรองรับลูกทัวร์จีนโดยเฉพาะ การที่รัฐบาลดำเนินมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง. จึงส่งผลให้กิจการดิวตี้ฟรีและร้านของที่ระลึกพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
นั่น จึงเป็นที่มาของมหกรรมล็อบบี้ครั้งใหญ่ที่เครือข่ายกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่า มีสื่อใหญ่อยู่ในมือ และได้อาศัยสื่อในเครือข่ายเหล่านี้โหมกระพือข่าวผลกระทบจากปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล จนถึงขนาดที่ว่ามีการสร้างข่าว “สุดดราม่า” ผลกระทบให้น่ากลัว ถึงขั้นที่ว่า ปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาลไทยนั้นกำลังเป็นรายการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ปล่อยลูกค้าไปให้คู่แข่งประเทศอื่น “ชุบมือเปิบ” ถึงขั้นที่ว่ามีการจัดโปรแกรมทัวร์เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรปในราคาที่ต่ำเหลือเชื่อเพื่อหวังดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้าไป
“มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการจัดโปรแกรมทัวร์ศูนย์เหรียญไปญี่ปุ่น เกาหลี หรือยุโรป 10-12 วันแค่ 3,000-4,000 หยวนแล้วจะไปหวังตีหัวเข้าบ้านจากการรีดลูกทัวร์แบบที่ประเทศไทยทำ เพราะในยุโรปนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำธุรกิจใต้ดินอย่างที่ประเทศไทยปล่อยให้ทำกันมา การจะไปตั้งนอมินีใช้เครือข่ายธุรกิจนอมินีอะไรต่างๆ เพื่อรีดลูกทัวร์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะประเทศเหล่านี้ไม่มีวันยอมให้เกิดธุรกิจใต้ดินหรือมีการใช้นอมินีบังหน้าได้ หรือหากเป็นจริงก็ปล่อยไปเถอะ เพราะเชื่อว่าที่สุดแล้ว การได้ลูกทัวร์ในลักษณะนี้มาก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้คนไทย ตรงกันข้ามรังแต่จะสร้างปัญหาให้แก่การท่องเที่ยวไทยเสียอีก”
ไม่ว่าเบื้องหลังความพยายามสกัดกั้นปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญดังกล่าวจะมี “ไอ้โม่ง-Invisible Hand กลุ่มใหม่ที่เป็นที่รับรู้กันดีว่ามีเครือข่ายและอิทธิพลที่ใหญ่กว่าเครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญกลุ่มเดิมที่ถูกรัฐบาลปราบปรามลงไปก่อนหน้า แต่วันนี้ถนนทุกสายต่างยังคงเชื่อมั่นว่ารัฐบาล คสช.ชุดนี้จะไม่ตก “หลุมพราง”ที่เครือข่ายกลุ่มใหม่นี้กำลังชักเรือใบให้เสียกันอยู่
โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยว ที่ดูจะเป๋ไปในทันทีที่กระแสข่าวปริมาณนักท่องเที่ยวจีนฟุบลงไป ทั้งที่ตัวเลขปริมาณนักท่องเที่ยวที่เครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ “แหกตารัฐ” ด้วยการปั้นตัวเลขปริมาณนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาในเมืองไทยนั้นหาได้มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างที่ทุกฝ่ายเข้าใจกัน
สิ่งที่ประเทศต้องการนั้นคือนักท่องเที่ยว “คุณภาพ” ที่ต้องการเข้ามาสัมผัสและซึมซับเอาความงดงามทางธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ความงดงามและหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ประเทศไทยมีอยู่ต่างหาก หาใช่นักท่องเที่ยวไร้คุณภาพที่เครือข่ายกลุ่มนี้พยายามยัดเยียดและปลุกผีกลับมา!
เพราะยอดบิลลิ่งที่เครือข่ายกลุ่มนี้ตีปี๊บออกไปทั่วโลก ปีละนับแสนล้านบาทนั้น สิ่งที่ประเทศได้รับแทบจะเป็นเพียงเศษเบี้ยไม่คุ้มกับหายนะที่ประเทศได้รับแต่อย่างใด!!!
“ดราม่า” ทัวร์ศูนย์เหรียญ....หลุมพรางชักเรือใบให้เสีย?
มีการตั้งบริษัททัวร์และจิวเวอร์รี่ รวมทั้งธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องบังหน้าให้คนไทยถือหุ้นแต่หลังฉากกลับมีกลุ่มทุนจีนชักใยอยู่เองหลังในการนำเอากรุ๊ปทัวร์จากเมืองจีนข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยผ่านเครือข่ายบริษัททัวร์ร่วม 200 บริษัท ด้วยสนนราคาที่ทำเอาทุกฝ่าย “อึ้งกิมกี่” แค่ 299-1,000 หยวนหรือราว 1,495- 5,000 บาทเศษก็สามารถเหิรเวหามาท่องเที่ยวเมืองไทยได้แล้ว ก่อนจะส่งต่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่งต่อไปให้เอเย่นต์ทัวร์ในเมืองไทยรับไม้ต่อ โดยจะต้องแบกรับภาระในการส่งต่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้ที่คาดว่าจะอยู่ในราว 5,000-6,500 บาท แต่จะได้รับคืนจากการนำนักท่องเที่ยวเหล่านี้ไปจับจ่ายใช้สอยและซื้อสินค้า ของฝากจองที่ระลึกจากเครือข่ายธุรกิจ จิวเวอร์นี่ ร้านอาหาร ร้านของฝากของที่ระลึกต่าง ๆ ที่มีการฟันราคามหาโหดเอาจากนักท่องเที่ยวอีกที
ปฏิบัติการกวาดล้างทัวร์ศูนย์เหรียญ เริ่มจากการที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ดำเนินการกวาดจับเครือข่ายบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญรายใหญ่สุดของเมืองไทยคือบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัดและเครือข่ายอีก 4 แห่งคือบริษัทบางกอกแฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัทรอยัล พาราไดซ์ จำกัด บริษัทรอยัลเจมส์อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดและบริษัทรอยัลไทยเฮิร์บ จำกัด ก่อนจะตามมาด้วยการให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.)ยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องที่ประกอบด้วยรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยว 2,ฅ086 คันเงินสดในบัญชีร่วม 90 บัญชีมูลค่ามากกว่า 13,000 ล้านบาท พร้อมตั้งข้อหา “อั้งยี่” และร่วมกันทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ก่อนที่รัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยวจะร่วมกันบูรณาการในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ด้วยการกำหนดราคาทัวร์ขั้นต่ำ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน อันเป็นราคาพื้นฐานที่เอเย่นต์และบริษัททัวร์จะนำไปใช้เป็นฐานในการกำหนดราคาทัวร์จีนที่จะเข้ามาเมืองไทย เพื่อไม่ให้เกิดกรณีการนำเอานักท่องเที่ยวราคาถูกหรือบินฟรีมารีดค่าใช้จ่ายในเมืองไทยได้อีก แต่ต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างแท้จริง!
เครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญดิ้นพล่าน..
คล้อยหลังปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ทันขวบเดือน กระแสข่าวอีกฟากฝั่งได้ปะทุออกมาว่า ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหดหายไปแล้วถึง 65% และภายในระยะเพียงเดือนเศษตุลาคม-พฤศจิกายน 2559 ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเดินทางมายังประเทศไทยหดหายไปแล้วนับแสนคน และคาดว่าทั้งปีจะหดหายไปถึง 1 ล้านคนเลยเดียว
มีการโหมกระพือข่าว(โดยยืมมือสื่อในเครือข่าย)ด้วยว่า หลังปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของประเทศไทย ได้ทำให้บรรยากาศในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หรือหัวหินเงียบเหงาลงไปถนัดตา บรรดาโรงแรม ร้านอาหาร ร้านรวงทั้งหลายแหล่แทบจะร้างผู้คน และนักท่องเที่ยว เมื่อทัวร์จีนบ่ายหน้าหันไปท่องเที่ยวยังสิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรปแทน มีการระบุด้วยว่ารัฐบาลสิงคโปร์นั้นถึงกับให้ผลตอบแทนแก่บริษัททัวร์หรือไกด์ทัวร์ที่นำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประเทศในอัตราหัวละ 60 เหรียญสิงคโปร์อีกด้วย
ทั้งยังระบุด้วยว่า มีการจัดโปรแกรมทัวร์ไปเกาหลี ญี่ปุ่นและยุโรป 5 วันในราคาถูกสุดเหลือเชื่อ 1,700 หยวนหรือราว 8,500 บาท ทัวร์ญี่ปุ่น 6 วัน 3,400 หยวนหรือ 17,495 บาท และทัวร์ยุโรปฝรั่งเศส –อิตาลี –เหยอรมัน 12 วันแค่ 3,160- 4,200 หยวนหรือราว 16,000- 20,000 บาทเท่านั้น
ก่อให้เกิดคำถามว่าผลพวงจากปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญนั้น ได้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนบอยคอต ขยาดที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย จนถึงกับเฮโลหันไปท่องเที่ยวยังสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและยุโรปแทน และจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องทบทวนปฏิบัติการดังกล่าวหรือไม่
ก.ท่องเที่ยว “ตีแสกหน้า”ข้อมูลลวงโลก..
อย่างไรก็ตามตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวในระยะ 9 เดือนแรกของปี 59 (มกราคม-กันยายน 2559) ที่ นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.กระทรวงท่องเที่ยวรายงานล่าสุดนั้น ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.23 ล้านล้านบาท และคาดว่าตลอดปี 59 นี้จะมีรายได้รวม 1.63 ล้านล้านบาท จากปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งปี 32.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.37%ส่วนตลาดยุโรป มีจำนวน 1.2 ล้านคน ขยายตัว 12.11%สร้างรายได้ 8.6 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 15.6%และนักท่องเที่ยวอาเซียนมีจำนวน 2.2 ล้านคน เติบโต 14.63%ทำรายได้ 6.7 หมื่นล้านบาท ขยาย 18% และยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศอีก 8.36 แสนล้านบาท รวมทั้งปี 2.49 ล้านล้านบาท เติบโตมากกว่า 9.9%
ทั้งยังมีข้อมูลที่ยืนยันจากกระทรวงท่องเที่ยว ที่ระบุว่าจากการสำรวจสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3 หลังการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญพบว่า ยังคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาทั้งหมด 8.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.09% จากปีก่อน โดยในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนนั้นยังคงเดินทางเข้าประเทศราว 2.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 14.5%
สอดคล้องกับที่ นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวยืนยันว่า จากการเก็บสถิติล่าสุดของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่านบริษัทนำเที่ยวสมาชิกแอตต้าในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.59) พบว่า ตลาดจีนเดินทางเข้ามาราว 2.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 18.5% ทำให้ตลอดปียังประเมินว่าการเดินทางผ่านทัวร์จะอยู่ที่ 3.5 ล้านคน หรือเติบโตราว 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนทำไว้ที่ราว 3 ล้านคน “แม้ว่าในเดือน ต.ค.จะมีผลกระทบจากการจัดระเบียบทัวร์ราคาต่ำกว่าทุนทำให้ตลาดผ่านทัวร์ลดลงไปกว่า 46.92% หรือคิดเป็นจำนวน 1.08 แสนคน ส่วนคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนในภาพรวมทุกกลุ่มรวมตลาดเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ประเมินว่าจะได้ 9.5 ล้านคน จากนั้นในปี 2560 เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติจะมีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 11 ล้านคน”
สวนทางกับกระแสข่าวปล่อย “สุดดราม่า” ที่ถั่งโถมกันออกมา...
เบื้องหลัง “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ฟื้นทัวร์ศูนย์เหรียญ..
ผลพวงจากปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจังของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมานั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่เพียงเขย่าขุมข่ายธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญรายใหญ่ในเมืองไทย ที่นัยว่ามีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 60% ของกลุ่มทัวร์ศูนย์เหรียญ ยังสะเทือนไปถึงเอเย่นต์ทัวร์ศูนย์เหรียญอีกหลายรายที่อยู่ในระดับรองๆ ลงไป
ไม่แต่เท่านั้นยังกระทบไปถึงธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จิวเวอร์รี่ สปา ฯลฯ และโดยเฉพาะร้านของฝากของที่ระลึกที่เป็นที่รับรู้กันดีว่า 1 ในเครือข่ายที่มีธุรกิจครอบคลุมธุรกิจเหล่านี้มากที่สุดในเมืองไทยนั้น มี “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ที่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลลีกอังกฤษรวมอยู่ด้วย
เมื่อทัวร์ศูนย์เหรียญถูกปราบ เอเย่นต์ทัวร์จากจีนจำเป็นต้องปรับตัวขนานใหญ่ยังผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยและโดยเฉพาะของเจ้าพ่อดิวตี้ฟรี ที่เพิ่งเข้า “เทคโอเวอร์” สายการบินต้นทุนต่ำ”แอร์เอเชีย” เข้ามาอยู่ใต้ชายคาพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของกิจการดิวตี้ฟรีและของที่ระลึก ถึงขนาดมีการจัดตั้ง “ดิวตี้ฟรีคอมเพล็กซ์”ขึ้นที่ย่านลาดกระบังเพื่อรองรับลูกทัวร์จีนโดยเฉพาะ การที่รัฐบาลดำเนินมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง. จึงส่งผลให้กิจการดิวตี้ฟรีและร้านของที่ระลึกพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
นั่น จึงเป็นที่มาของมหกรรมล็อบบี้ครั้งใหญ่ที่เครือข่ายกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่า มีสื่อใหญ่อยู่ในมือ และได้อาศัยสื่อในเครือข่ายเหล่านี้โหมกระพือข่าวผลกระทบจากปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาล จนถึงขนาดที่ว่ามีการสร้างข่าว “สุดดราม่า” ผลกระทบให้น่ากลัว ถึงขั้นที่ว่า ปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญของรัฐบาลไทยนั้นกำลังเป็นรายการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ปล่อยลูกค้าไปให้คู่แข่งประเทศอื่น “ชุบมือเปิบ” ถึงขั้นที่ว่ามีการจัดโปรแกรมทัวร์เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรปในราคาที่ต่ำเหลือเชื่อเพื่อหวังดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้าไป
“มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการจัดโปรแกรมทัวร์ศูนย์เหรียญไปญี่ปุ่น เกาหลี หรือยุโรป 10-12 วันแค่ 3,000-4,000 หยวนแล้วจะไปหวังตีหัวเข้าบ้านจากการรีดลูกทัวร์แบบที่ประเทศไทยทำ เพราะในยุโรปนั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำธุรกิจใต้ดินอย่างที่ประเทศไทยปล่อยให้ทำกันมา การจะไปตั้งนอมินีใช้เครือข่ายธุรกิจนอมินีอะไรต่างๆ เพื่อรีดลูกทัวร์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะประเทศเหล่านี้ไม่มีวันยอมให้เกิดธุรกิจใต้ดินหรือมีการใช้นอมินีบังหน้าได้ หรือหากเป็นจริงก็ปล่อยไปเถอะ เพราะเชื่อว่าที่สุดแล้ว การได้ลูกทัวร์ในลักษณะนี้มาก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้คนไทย ตรงกันข้ามรังแต่จะสร้างปัญหาให้แก่การท่องเที่ยวไทยเสียอีก”
ไม่ว่าเบื้องหลังความพยายามสกัดกั้นปฏิบัติการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญดังกล่าวจะมี “ไอ้โม่ง-Invisible Hand กลุ่มใหม่ที่เป็นที่รับรู้กันดีว่ามีเครือข่ายและอิทธิพลที่ใหญ่กว่าเครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญกลุ่มเดิมที่ถูกรัฐบาลปราบปรามลงไปก่อนหน้า แต่วันนี้ถนนทุกสายต่างยังคงเชื่อมั่นว่ารัฐบาล คสช.ชุดนี้จะไม่ตก “หลุมพราง”ที่เครือข่ายกลุ่มใหม่นี้กำลังชักเรือใบให้เสียกันอยู่
โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยว ที่ดูจะเป๋ไปในทันทีที่กระแสข่าวปริมาณนักท่องเที่ยวจีนฟุบลงไป ทั้งที่ตัวเลขปริมาณนักท่องเที่ยวที่เครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ “แหกตารัฐ” ด้วยการปั้นตัวเลขปริมาณนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาในเมืองไทยนั้นหาได้มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างที่ทุกฝ่ายเข้าใจกัน
สิ่งที่ประเทศต้องการนั้นคือนักท่องเที่ยว “คุณภาพ” ที่ต้องการเข้ามาสัมผัสและซึมซับเอาความงดงามทางธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยว ความงดงามและหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ประเทศไทยมีอยู่ต่างหาก หาใช่นักท่องเที่ยวไร้คุณภาพที่เครือข่ายกลุ่มนี้พยายามยัดเยียดและปลุกผีกลับมา!
เพราะยอดบิลลิ่งที่เครือข่ายกลุ่มนี้ตีปี๊บออกไปทั่วโลก ปีละนับแสนล้านบาทนั้น สิ่งที่ประเทศได้รับแทบจะเป็นเพียงเศษเบี้ยไม่คุ้มกับหายนะที่ประเทศได้รับแต่อย่างใด!!!