ความรักเป็นสิ่งสวยงามนะถ้าคิดจะเข้าใจมันด้วยหัวใจ ไม่จำเป็นต้องอกหักก็อ่านได้

ทำไมที่ใด มีรัก ที่นั่นถึง มีทุกข์?

มันเป็นคำถามที่ใครหลายคนต่างสงสัย ตัวดิฉันเองก็ทุกข์เพราะรักเช่นกัน แต่สำหรับดิฉันคือทุกข์ที่เกิดจากการกระทำ เกิดจากความคิดของตัวดิฉันเอง...
ในขณะที่คนอื่นๆ อาจจะทุกข์เพราะคนรัก หรือทุกข์เพราะคนอื่น ทุกข์เพราะมือที่สาม ทุกข์เพราะปัจจัยต่างๆ

ตัวดิฉันเอง หลังจากที่เกิดเรื่อง ดิฉันทำใจไม่ได้ ซึ่งน่าแปลก ที่ดิฉันเข้าใจทุกอย่างถ่องแท้ เข้าใจคู่ของตนเองมากแค่ไหนว่าทำไมเขาถึงเป็นเช่นนั้น แต่กลับควบคุมสติและอารมณ์ไม่ได้อยู่ร่ำไป เนื่องจากว่าดิฉันคุมสติไม่ได้ คุมจิตใจไม่ได้ จึงอยากจะแบ่งปันเรื่องราวให้กับผู้อื่น

ดิฉันพบปัญหาของดิฉันค่ะ นั่นคือ การที่ดิฉันใช้เพียงสมองที่จะเข้าใจถึงเหตุผล แต่กลับไม่ได้ใช้ “ใจ” เพื่อที่จะเข้าใจนั่นเอง
สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาในเรื่องของความรัก อยากจะให้กระทู้นี้มีไว้เพื่อเป็นธรรมทาน วิทยาทาน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ตัวดิฉันได้เข้าใจและดีขึ้นได้

หากจะอ่าน ขอแนะนำว่า ควรที่จะอ่านโดยใช้ใจอ่าน ไม่ใช่ใช้เพียงแค่สมอง หากเปิดใจรับ ใช้จิตใจเข้าใจแล้ว ดิฉันเห็นว่ามันมักจะได้ผลเสมอ


๑. คู่กันแล้วมิแคล้วกัน

ดิฉันมีความเชื่อว่าการที่เราได้เกิดมา และได้พบกับคนรอบตัว ได้รู้จัก พูดคุย เกิดสายสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกดี ความรู้สึกไม่ดี รู้สึกรัก หรือเกลียด มักจะมาจากกรรมที่ร่วมกันทำมาแต่ชาติปางก่อน ทุกคนมาเจอกันเพื่อชดใช้กรรม ถ้าหากว่าเจอคนที่เข้ากันได้ ศีลเสมอกัน อยู่แล้วสุขก็คือคู่ที่ร่วมทำดีด้วยกันมา หากอยู่แล้วมันทุกข์นั่นคือการสร้างทุกข์แก่กันมาก่อน

คือในระดับของเนื้อคู่นั้น เห็นเขาว่ากันว่าถ้าเป็นเนื้อคู่ในลำดับที่ ๑-๕ มาพบเจอกันอีก มันจะทำให้เป็นคู่ที่มีความสุขมากกว่าทุกข์ เป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ในบางคู่ รักกันจนแต่งงานมีลูกแล้ว แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็หย่าหรือเลิกกัน ก็อาจจะเรียกว่า “กรรมตัดรอน” ซึ่งถึงแม้จะเป็นเนื้อคู่กันจริง แต่เพราะมีกรรมนี้เป็นเหตุให้ต้องแยกจากกันนั่นเอง หรือกรณีที่ดันมาเจอ ดันมารักคนที่เขามีเจ้าของแล้ว นั่นคือกรรมตัดรอนที่ทำให้เราเจอเขาช้าไป ซึ่งพูดถึงตรงนี้ก็ขอให้คนที่อยู่ในสถานะนี้เดินออกมาซะ อย่าได้สร้างกรรมไม่ดีเพิ่มอีกเลย

บางคนที่เจอกันในระยะสั้น ระยะยาว มีทั้งคู่เวร คู่กรรม คู่ดอกไม้ (ยายของดิฉันได้จำกัดความว่าคือคู่แท้ คู่ที่ทำบุญหนุนนำกันมา) ระยะเวลาที่ได้เจอกันก็เหมือนการใช้กรรมที่กระทำร่วมกันมานั่นเอง พอชดใช้กรรมหมดก็ถึงเวลาแยกย้ายเพื่อเดินทางตามกรรมของตน อาจจะไปเจอเนื้อคู่อันดับอื่นๆ ต่อไป
เพราะฉะนั้นดิฉันเชื่อว่าเมื่อเจอ หรือได้รักใครก็หมั่นพากันสร้างบุญเอาไว้ เพื่อให้หนุนนำกรรมดีที่ทำให้ได้มาเจอกัน แต่หากเจอคนรักที่ไม่ดีก็ถือเสียว่าชดใช้กรรมที่เคยทำร่วมกันมา หากเป็นคู่แท้กันแล้วเขาว่าไม่แคล้วกัน มันก็กล่าวได้ดั่งนี้


๒. กรรมกับความรัก

อย่างที่กล่าวไปในข้อหนึ่งคือกรรมที่เราทำไว้ในอดีต ส่งผลมายังปัจจุบัน เราไม่รู้หรอกว่าในอดีตเราทำอะไรกับใครไว้ แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนั้นเรารู้ บางทีกรรมที่วิ่งย้อนเข้าสู่เราอาจจะไม่ได้มาจากคนเดิมที่เรากระทำเขาก็ได้ ตอนเด็กๆ เคยได้ยินคุณแม่หรือคุณพ่อเวลาบ่นไหม เขาชอบพูดว่า “ถ้ามีลูกๆ ก็จะทำแบบที่ลูกทำกับแม่นั่นแหละ” แล้วพอเรามีลูก นั่นแหละ คนๆ นั้นจึงจะเข้าใจ

กรรมไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดิมกระทำกับเรา อาจจะมาในรู้แบบของเพื่อน คนรู้จัก หรือแฟนก็ได้ ซึ่งคนๆ นั้นอาจจะต้องไปใช้กรรมที่เกิดจากเราอีกต่อๆ กันไปเป็นทอดๆ เราจึงต้องยุติเสีย

เขากล่าวกันไว้ว่าเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นสร้างกรรม ให้ผู้อื่นรู้สึกทุกข์ เมื่อได้รับกรรมนั้นแล้ว รู้สึกผิดออกมาจากใจจริงแล้ว ให้ยอมรับผลของกรรม รู้สึกถึงความผิดที่กระทำลงไปและตั้งใจแน่วแน่ว่าตนเองจะไม่ทำอีก ต้องปล่อยวางมันจากจิตของเราจริงๆ กรรมมันจะทุเลาเนื่องจากเรายอมรับมันไง ก็ไปขออโหสิเสีย คือการตัดกรรม เป็นว่าไม่สร้างกรรมเพิ่ม ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นซะ แล้วอะไรในชีวิตมันก็จะดีขึ้นเอง ต้องรักตัวเองก่อนถึงจะสามารถมอบความรักให้ผู้อื่นได้
อ่ะ ถ้าไม่เห็นภาพยกตัวอย่างดิฉันเอง

ดิฉันนะ เป็นคนที่ไปไหนมาไหนไม่เคยบอกกล่าวกับแม่ ชอบปล่อยให้เป็นห่วง เพราะดิฉันไม่ชอบคำล่ำลาแบบว่า “ไปแล้วนะ” มันเหมือนกับว่าจะไปแล้วจริงๆ จะแก้ตัวอะไรก็คงฟังไม่ขึ้นแล้วไง แม่ก็เกิดความห่วง เกิดทุกข์ไปแล้วไง พอมีแฟน ตอนแรกเขาก็ปฏิบัติกับฉันดีนั่นแหละ แต่ด้วยการกระทำของฉันมันทำให้เกิดกรรมจากการกระทำ พอมีแฟนดิฉันก็ทำแบบนี้แหละ อยู่ๆ ก็โผล่ไปอยู่เกาะ หรือโผล่ไปกินเหล้าต่างจังหวัด ซ้ำร้ายกรรมที่เคยทำกับแม่วกย้อนกลับมา กลายเป็นว่า เวลาแฟนไปไหนมาไหน ดิฉันต้องเป็นห่วงและกังวลเสมอ หลังๆ มาก็ไม่สนใจดิฉันเลย

พอดิฉันเข้าใจว่าการเป็นห่วงมันแย่แค่ไหน ดิฉันยอมรับผิดจากสิ่งที่เคยกระทำมา ฉันก็ได้เข้าใจ...ตอนนี้ฉันก็พยายาม ซึ่งถ้าฉันยังมีกรรมดีกับคนรักคนนี้ก็จะพยายามแก้ไขตัวเองให้ดีที่สุด หมดบุญกับคนรักคนนี้ แล้วถ้าเจอคนรักคนใหม่ ฉันก็มีแนวทางว่าจะไม่สร้างกรรมกับคนใหม่อีก


๓. พรหมวิหารธรรม

แปลว่า ธรรมเครื่องอยู่ของพระพรหมคือผู้ประเสริฐ ซึ่งประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
โดยปกติแล้ว ความรักจะมีความเข้มข้น ขอเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก มักจะไม่ถาวร คล้ายความหลงนั่นแหละค่ะ เพราะเวลาใด หากคนรักทำตัวน่ารัก อารมณ์รักก็จะพุ่งสูง หากยามใดที่คนรักทำตัวไม่น่ารัก อารมณ์รักมันก็จะจางไป นั่นจึงเป็นเหตุให้เรารักด้วยเมตตาควบคู่กันไปด้วย พอมีเมตตา ก็จะมี กรุณา มุทิตา และอุเบกขาตามมา

เมตตา (ความรัก) : เมื่อเห็นความดีงามของคนรัก เรารู้จักการรักโดยเป็นผู้ให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน อธิบายง่ายๆ ก็คือ การที่เห็นคนรักมีความสุข

กรุณา (ความสงสาร) : เมื่อคนรักของเรามีปัญหาหรือไม่สบาย ก็คือการอยู่เคียงข้างเขา การมีทุกข์ร่วมทุกข์ การมีสุขร่วมเสพ

มุทิตา (ความยินดี) : คือการเป็นคนที่คอยเคียงข้าง ทั้งให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน ให้คนรักได้ดี หรือยินดีด้วยความจริงใจเมื่อคนรักประสบความสำเร็จ

อุเบกขา (ความวางเฉย) : คือการมองข้ามข้อบกพร่อง มองข้ามสิ่งที่ไม่ชอบใจของกันและกันได้ หรือมองในความดีที่เขากระทำมากกว่าความเลวที่ปรากฏ ซึ่งความอุเบกขาสามารถใช้กับบุคคลอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย จะเป็นญาติ พ่อสามี แม่สามี หรือคนร่วมโลก แต่มีความที่จะเผือก พูดจาหรือกระทำให้คนรักเกิดความร้าวราน อุเบกขานี่แหละที่สามารถทำให้คู่รักสามารถผ่านมันไปได้ เพราะเราวางเฉยไง ช่างหัวมันสิอะไรแบบนั้น




//ยังมีต่อ//
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่