สิ่งที่ต้องย้ำให้ชัดเจนก็คือ ชุมชนป้อมมหากาฬนั้น ไม่ใช่ชุมชนโบราณที่ต้องอนุรักษ์ไว้คู่โบราณสถาน การต่อสู้ของพวกเขา ไม่ใช่ "ไพร่" (แดง) ต่อสู้กับอำมาตย์ พวกเขาก็ไม่ใช่ "มวลมหาประชาชน" ที่ต่อสู้กับทรราชใด ๆ แต่ต่อสู้เพื่อจะยึดเอาสถานที่ซึ่งเป็นสมบัติของประชาชนโดยรวมไปใช้ส่วนตัวหรือไม่ ต้องลองพิจารณาดู
ป้อมมหากาฬนั้นสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 และในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อได้สร้างวัดราชนัดดา ก็พระราชทานที่ดินบริเวณใกล้เคียงให้ข้าราชบริพารที่ดูแลวัดได้อยู่อาศัย พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการรื้อป้อมและกำแพงเมืองบางส่วนเพื่อสร้างถนน จึงเพิ่งได้พระราชทานที่ดินบริเวณชุมชนในปัจจุบันให้ผู้ทำคุณแก่แผ่นดินซึ่งเป็นบุคคลสำคัญได้อยู่อาศัยและได้ออกโฉนดไว้ด้วย และในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็เริ่มมีการขายที่ดินให้บุคคลอื่น มีการย้ายเข้า-ออก ทั้งเช่าที่ดินและบุกรุก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันมาและไม่ได้เกี่ยวข้องกับป้อมนี้แต่อย่างไร
ในปัจจุบัน จากผลการสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2559 (
http://bit.ly/2aYm8Eh) พบว่า โซนที่มีการต่อต้านมีจำนวน 30 หลังคาเรือน เป็นบ้านร้าง 14 หลังคาเรือน มีผู้อยู่อาศัยเพียง 16 ครัวเรือน ส่วนโซนที่ไม่มีการต่อต้านและได้รื้อย้ายไปแล้ว ณ เดือนกันยายน 2559 มีประมาณ 19 หลังคาเรือน เป็นบ้านร้าง 12 หลังคาเรือน จากการสำรวจข้อมูลทรัพย์สินของชาวบ้านจำนวน 19 ครัวเรือนพบว่า ส่วนใหญ่จะมีการใช้จักรยานยนต์สูงสุดอยู่ที่ 16 คัน มีการใช้เรื่องปรับอากาศ 6 เครื่อง และมีการใช้รถยนต์ 4 คัน
ในจำนวนชาวบ้าน 19 หลังคาเรือนที่อยู่ ณ เดือนกรกฎาคม 2559 พบว่ามีชาวบ้าน 6 หลังคาเรือนที่ได้ซื้อที่อยู่อาศัยไว้เก็งกำไร ชาวบ้านมีความคิดจะซื้อบ้านหรือห้องชุดร้อยละ 47 ในแต่ละครอบครัวมีสมาชิก 4.8 คน มีคนทำงาน 2.5 คน รายได้ของหัวหน้าครอบครัวโดยเฉลี่ย 19,421 บาทต่อเดือน รายได้ของครอบครัวเฉลี่ยอยู่ที่ 25,895 บาท หรือคนละ 5,3395 บาทต่อเดือน อาจกล่าวได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่คงไม่ได้ยากจนจนไม่สามารถที่จะหาซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยที่อื่นได้ หรือมีที่อยู่อาศัยอื่นอยู่แล้ว
ชุมชนป้อมมหากาฬจึงเป็นชุมชนใหม่ที่เกิดขึ้นในระยะ 50-60 ปีมานี้เอง ไม่ใช่เกิดมาพร้อมกับการสร้างป้อมเมื่อ 234 ปีที่แล้ว การอ้างถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของชุมชนโบราณ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ที่เป็นความเท็จ มีความพยายามอ้างอิง (ส่งเดช) เช่น บ้านตำรวจวัง ก็ไม่พบความเกี่ยวข้อง หรือวิกลิเกพระยาเพชปาณี ก็ไม่สามารถชี้ชัดว่ามีอยู่จริงตรงบริเวณไหน ชุมชนนี้จึงไม่ได้มีลักษณะเด่นเหมือนชุมชนโบราณ เช่น ชุมชนบ้านปูน ชุมชนบ้านบาตร ชุมชนบ้างช่างหล่อ ฯลฯ ที่มีมาแต่โบราณแล้ว
ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นผู้เช่าที่ดิน หรือผู้บุกรุก พวกเขาไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่สืบทอดกันมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาหลายชั่วอายุคน เจ้าของที่ดินเดิม ได้โอนที่ดินให้กับกรุงเทพมหานครแล้ว แต่ผู้เช่าและผู้บุกรุกเหล่านี้กลับไม่ยอมไป กรุงเทพมหานครได้จัดหาที่อยู่อาศัยให้ใหม่ ก็ไม่ยอมรับ บางรายย้ายออกแล้วก็ย้ายกลับเข้ามาใหม่ เจ้าของบ้านต้องการรื้อบ้านหลังได้รับค่าทดแทนแล้ว บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ยอมให้รื้อ
ดังนั้นจึงมีคำถามว่าพวกเขามีความชอบธรรมที่จะอยู่อาศัยอยู่ต่อไปหรือไม่ การรื้อชุมชนนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมมิใช่หรือ พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในลักษณะของ "ไพร่" (แดง) ที่ถูกพวก "อำมาตย์" รังแก และพวกเขาก็ไม่ใช่ "มวลมหาประชาชน" ที่ต่อสู้กับ "ทรราช" แต่เขากำลังต่อสู้กับอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรมของกรุงเทพมหานครในบริบทนี้
อย่าให้ใครอ้างเรื่องเท็จเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยไม่ละอาย
ที่มา:
http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1561.htm
ป้อมมหากาฬ: ไม่ใช่ชุมชนโบราณ ไม่ใช่ไพร่ (แดง) ไม่ใช่มวลมหาประชาชน (กปปส)
ป้อมมหากาฬนั้นสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 และในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อได้สร้างวัดราชนัดดา ก็พระราชทานที่ดินบริเวณใกล้เคียงให้ข้าราชบริพารที่ดูแลวัดได้อยู่อาศัย พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 มีการรื้อป้อมและกำแพงเมืองบางส่วนเพื่อสร้างถนน จึงเพิ่งได้พระราชทานที่ดินบริเวณชุมชนในปัจจุบันให้ผู้ทำคุณแก่แผ่นดินซึ่งเป็นบุคคลสำคัญได้อยู่อาศัยและได้ออกโฉนดไว้ด้วย และในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็เริ่มมีการขายที่ดินให้บุคคลอื่น มีการย้ายเข้า-ออก ทั้งเช่าที่ดินและบุกรุก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันมาและไม่ได้เกี่ยวข้องกับป้อมนี้แต่อย่างไร
ในปัจจุบัน จากผลการสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2559 (http://bit.ly/2aYm8Eh) พบว่า โซนที่มีการต่อต้านมีจำนวน 30 หลังคาเรือน เป็นบ้านร้าง 14 หลังคาเรือน มีผู้อยู่อาศัยเพียง 16 ครัวเรือน ส่วนโซนที่ไม่มีการต่อต้านและได้รื้อย้ายไปแล้ว ณ เดือนกันยายน 2559 มีประมาณ 19 หลังคาเรือน เป็นบ้านร้าง 12 หลังคาเรือน จากการสำรวจข้อมูลทรัพย์สินของชาวบ้านจำนวน 19 ครัวเรือนพบว่า ส่วนใหญ่จะมีการใช้จักรยานยนต์สูงสุดอยู่ที่ 16 คัน มีการใช้เรื่องปรับอากาศ 6 เครื่อง และมีการใช้รถยนต์ 4 คัน
ในจำนวนชาวบ้าน 19 หลังคาเรือนที่อยู่ ณ เดือนกรกฎาคม 2559 พบว่ามีชาวบ้าน 6 หลังคาเรือนที่ได้ซื้อที่อยู่อาศัยไว้เก็งกำไร ชาวบ้านมีความคิดจะซื้อบ้านหรือห้องชุดร้อยละ 47 ในแต่ละครอบครัวมีสมาชิก 4.8 คน มีคนทำงาน 2.5 คน รายได้ของหัวหน้าครอบครัวโดยเฉลี่ย 19,421 บาทต่อเดือน รายได้ของครอบครัวเฉลี่ยอยู่ที่ 25,895 บาท หรือคนละ 5,3395 บาทต่อเดือน อาจกล่าวได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่คงไม่ได้ยากจนจนไม่สามารถที่จะหาซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยที่อื่นได้ หรือมีที่อยู่อาศัยอื่นอยู่แล้ว
ชุมชนป้อมมหากาฬจึงเป็นชุมชนใหม่ที่เกิดขึ้นในระยะ 50-60 ปีมานี้เอง ไม่ใช่เกิดมาพร้อมกับการสร้างป้อมเมื่อ 234 ปีที่แล้ว การอ้างถึงภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของชุมชนโบราณ จึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ที่เป็นความเท็จ มีความพยายามอ้างอิง (ส่งเดช) เช่น บ้านตำรวจวัง ก็ไม่พบความเกี่ยวข้อง หรือวิกลิเกพระยาเพชปาณี ก็ไม่สามารถชี้ชัดว่ามีอยู่จริงตรงบริเวณไหน ชุมชนนี้จึงไม่ได้มีลักษณะเด่นเหมือนชุมชนโบราณ เช่น ชุมชนบ้านปูน ชุมชนบ้านบาตร ชุมชนบ้างช่างหล่อ ฯลฯ ที่มีมาแต่โบราณแล้ว
ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นผู้เช่าที่ดิน หรือผู้บุกรุก พวกเขาไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่สืบทอดกันมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาหลายชั่วอายุคน เจ้าของที่ดินเดิม ได้โอนที่ดินให้กับกรุงเทพมหานครแล้ว แต่ผู้เช่าและผู้บุกรุกเหล่านี้กลับไม่ยอมไป กรุงเทพมหานครได้จัดหาที่อยู่อาศัยให้ใหม่ ก็ไม่ยอมรับ บางรายย้ายออกแล้วก็ย้ายกลับเข้ามาใหม่ เจ้าของบ้านต้องการรื้อบ้านหลังได้รับค่าทดแทนแล้ว บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ยอมให้รื้อ
ดังนั้นจึงมีคำถามว่าพวกเขามีความชอบธรรมที่จะอยู่อาศัยอยู่ต่อไปหรือไม่ การรื้อชุมชนนี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรมมิใช่หรือ พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในลักษณะของ "ไพร่" (แดง) ที่ถูกพวก "อำมาตย์" รังแก และพวกเขาก็ไม่ใช่ "มวลมหาประชาชน" ที่ต่อสู้กับ "ทรราช" แต่เขากำลังต่อสู้กับอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรมของกรุงเทพมหานครในบริบทนี้
อย่าให้ใครอ้างเรื่องเท็จเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยไม่ละอาย
ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1561.htm