ออกตัวก่อนนะครับ กระทู้นี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์ ไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่ได้รับชมเป็นอย่างยิ่งครับ แต่สำหรับผู้ที่เคยรับชมมาแล้ว ผมเองขอเรียนว่าด้วยตัวภาพยนตร์ที่เลือกที่จะจบลงด้วยปลายเปิด ทำให้ผู้รับชมอย่างผมเอง และทุกๆท่านสามารถจินตนาการตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อได้เอง และหลังจากนี้ผมอยากจะขอนำเสนอ บทสรุปของเด่นชัยและนุ้ยในแบบฉบับของผมเองครับ ต้องขออภัยสำหรับทุกท่านที่อาจจะไม่ชอบตอนจบในแบบของผมนะครับ
ปล.
ตัวผมเองชอบและเคารพตอนจบที่พี่โต้งและทีมงานเลือกใช้มากๆนะครับ
ปล.2
ผมจินตนาการเอาเองทั้งจากที่อ่านรีวิวของเพื่อนๆ ทั้งบทความ และทั้งกระทู้เพลงประกอบ กลายมาเป็นตอนจบในแบบของผมนะครับ
ปล.3
ออกจะยาวไปสักหน่อยถ้ายังไงก็รบกวนมาแชร์ความรู้สึก หรือตอนจบในแบบที่ทุกท่านอยากให้เป็นได้นะครับ ถ้าพร้อมแล้ว เชิญทุกท่านได้เลยครับ
Edit :
ปล.4
ล่าสุดตัวผมเองพึ่งได้มีโอกาสไปดูแฟนเดย์ฯมาเป็นรอบที่สอง ต้องขอเรียนตรงนี้เลยว่าทำให้อินและเข้าใจไปกับการกระทำหลายๆอย่างของตัวละครหลายๆตัวมากขึ้นจริงๆครับ ที่สำคัญได้มีโอกาสโฟกัสไปที่ตัวละครของมิวมากขึ้นอีก กลายเป็นยิ่งรู้จักก็ยิ่งรักเธอมากขึ้นจริงๆครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Mid credit :
...ว่ากันว่า...ความสัมพันธ์ระหว่างหมาข้างถนน กับ เครื่องบิน มันไม่มีทางเป็นไปได้...
หลังจากที่นุ้ยกับจอยได้ชมคลิปวีดิโอที่นุ้ยได้ไปเที่ยวชมเทศกาล Snow festival นุ้ยได้เห็นภาพตัวเองยิ้มกว้างอย่างมีความสุขยิ่งกว่ายิ้มใดๆที่เธอเคยแย้มยิ้มตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มันเป็นยิ้มที่ยิ้มออกมาจากความรู้สึกข้างในของเธอจริงๆ และเมื่อประกอบกับเสียงของชายหนุ่มผู้ถ่ายวีดิโอนี้กลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ตัวนุ้ยเองมั่นใจว่าเคยสัมผัสมาแล้วแต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจตอบได้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไร...
น้ำใสๆเอ่อล้นออกจากดวงตาคู่สวยโดยที่นุ้ยเองไม่รู้ตัว ทำให้จอยเพื่อนสนิทของเธอต้องเอ่ยปากขึ้น "เฮ้ย! นุ้ย แกร้องไห้ทำไม!?" ใบหน้างามหันไปสบตากับเพื่อนรักของเธอ "ฉันก็ไม่รู้ว่ะแก"
"นุ้ยร้องไห้ทำไม แล้วทำไมถึงไม่รับสายพี่ละครับ?" เสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของชายวัยกลางคนหน้าตาดีเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวทั้งสอง
“เอ่อ...ฉันไปก่อนนะแก” น้ำเสียงกระอักกระอ่วนดังขึ้นจากปากของเพื่อนสาวคนสนิทของนุ้ย พร้อมกับดันร่างของตนเองออกจากเก้าอี้ที่ทำงาน และเคลื่อนผ่านชายวัยกลางคนและหญิงสาวออกไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่นุ้ยจะทันได้ทักท้วงใดๆ
“นุ้ย...พี่สัญญา พี่จะเอาแหวนวงนี้ออกจากนิ้วนางของพี่ให้ได้” ท็อปกล่าวพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้างนุ้ยพลางขยับแหวนที่นิ้วนางมือซ้ายของเขา นุ้ยมองตามแหวนวงนั้นพร้อมกับความรู้สึกที่จุกแน่นขึ้นมาที่กลางอกอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาของเธออีกครั้ง “นุ้ย...นี่นุ้ยร้องไห้ทำไมครับ? นุ้ยยังโกรธพี่อยู่เหรอ? งั้นไว้คราวหน้าเราไปเที่ยวกันแค่สองคนนะ นุ้ยยังไม่ได้ไปงาน Snow festival เลยใช่ไหม?" ท็อปถามพร้อมกับที่เขาช้อนมือซ้ายของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ด้วยมือขวาของเขา
ด้วยสัมผัสจากมือขวาของท็อปผู้น่าจะเป็นชายในฝันผู้สมบูรณ์แบบของเธอ แต่ในตอนนี้นุ้ยกลับรู้สึกร้อนรนและยิ่งไปกว่านั้น รังเกียจมือขวาของชายเบื้องหน้าเธอตรงนี้ขึ้นมาในบัดดล “นุ้ยไปมาแล้วค่ะ...ขอตัวนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นในที่สุดพร้อมกับดึงมือซ้ายของเธอออกจากมือขวาของท็อป ก่อนที่จะแทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างโต๊ะทำงานของเธอกับท็อปออกมา พร้อมกับรีบเดินโดยไม่มีจุดหมาย ขอเพียงแค่ออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุดโดยทิ้งเจ้าของเสียงเรียกชื่อเธอไว้เบื้องหลัง
...กับหมาข้างถนนอย่างผมแล้ว เทียบกับเธอยังไงก็ไม่คู่ควร เพราะฉะนั้นที่ผมจะทำให้เธอได้ คือหายไปจากชีวิตของเธอ...
นุ้ยเดินหนีท็อปออกมาไกลพอสมควรพร้อมความรู้สึกอัดอั้นตันใจ อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก นอกจากที่ตอนนี้เธอจะรู้สึกสมเพชตัวเองที่ยอมทนเป็นเมียน้อยของหัวหน้าตัวเองมาตลอดสามปีเต็มแล้ว บัดนี้เธอยังต้องรับความจริงที่ว่าเธอได้สูญเสียความทรงจำที่เธอมีความสุขมากที่สุดที่เธอเคยได้สัมผัสตลอดเวลา 3 ปีหลังสุดไป ด้วยเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ประดังเข้ามาในช่วงเวลาไม่กี่วันจนมันเกินที่เธอจะรับได้ นุ้ยจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ล็อคประตู และพร้อมกับนั่งลงบนฝาชักโครกพร้อมกับปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่อัดดั้นตันใจทั้งมวลที่เธอไม่อาจทนอดกลั้นได้อีกต่อไป น้ำตาที่เอ่อล้นพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย น่าเสียดายที่ห้องน้ำห้องนี้ไม่มีเสียงเพลงที่จะกลบเสียงร้องจากความเศร้าเสียใจอย่างที่สุดของเธอได้เลย
เวลาผ่านไปเท่าไรนุ้ยเองก็ไม่อาจบอกได้ จนกระทั่ง...
“นุ้ยอยู่ไหน พี่เป็นห่วงนะครับ” เสียงข้อความเข้าดังขึ้นพร้อมกับข้อความที่แสดงขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของนุ้ย ก่อนที่หญิงสาวจะปาดน้ำตาหยดสุดท้ายของตัวเองบนโทรศัพท์ออก เธอสะอื้นไห้พร้อมกับสงบใจตนเองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเช็ดน้ำตาพร้อมกับเดินออกจากห้องน้ำโดยที่เธอเองตัดสินใจแน่วแน่ว่าเธอจะจบเรื่องทั้งหมดลงในวันนี้...
“พี่ท็อปคะ...นุ้ยไม่อยากจะทำลายครอบครัวของใครมากไปกว่านี้อีกแล้ว ที่ผ่านมาเรื่องทั้งหมดนุ้ยเป็นคนผิดเอง เพราะฉะนั้นนุ้ยจะขอรับผิดชอบทุกอย่างด้วยการลาออกจากบริษัทเองค่ะ เรา...อย่าพบกันอีกเลยนะคะ ขอให้พี่ท็อปมีความสุขกับพี่ชุ น้องไทปัน กับน้องเบนเทนมากๆนะคะ” เธอกดส่งข้อความออกไปหาผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตหัวหน้าของเธอพร้อมกับเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองและเริ่มเก็บข้าวของๆเธอลงในกล่อง เธอเก็บตุ๊กตาของสะสมของเธอเป็นอย่างสุดท้าย และขณะที่เธอหยิบตุ๊กตาตัวพิเศษที่เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอได้มันมาอย่างไรขึ้นมา เธอจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้น...
ช่วงเวลาที่เธอจ้องมองตุ๊กตาหิมะสวมแว่นตาในอ้อมกอดของเด็กสาวโค้ทสีน้ำตาลกลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย มันทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ความคิดและความทรงจำ มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เธอได้ยินเสียงของชายหนุ่มในคลิปวีดิโอที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เธอจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สุดท้ายเธอจะหย่อนตุ๊กตาตัวนั้นลงในกระเป๋า ทันใดนั้นสายตาเธอก็เหลือบไปเห็นสายซิงค์ข้อมูลที่ยังต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ของเธอ นุ้ยดึงสายข้อมูลนั้นออกมาและคิดว่าก่อนจะออกไปจากที่แห่งนี้เธอจำต้องนำสายข้อมูลนี้ไปคืนเสียก่อน
“เอ่อ...พี่คะ หนูเอาสายข้อมูลมาคืนค่ะ” นุ้ยพูดขึ้นเมื่อเดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องหน่วยไอทีอันคับแคบและเต็มไปด้วยอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคส์ที่วางอยู่อย่างระเกะระกะ มีเพียงโต๊ะทำงานทางขวามือของเธอเท่านั้นที่ว่างเปล่าและดูมีระเบียบอย่างไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมในห้องเอาเสียเลย “อ๋อ...ผมรบกวนคุณนุ้ยวางไว้ในตะกร้าใต้โต๊ะไอ้เด่นได้เลยครับ พอดีต้องรีบเคลียร์ของก่อนจะรับเด็กใหม่เข้ามาแทนน่ะฮะ” ตี้ชายร่างท้วมสวมแว่นตาหันมาคุยกับเธอโดยที่ยังถือโทรศัพท์มือถือแนบที่หูอยู่
นุ้ยเดินเข้ามาในห้องพร้อมก้มลงมองหาตะกร้าอันเป็นที่เก็บสายข้อมูลสารพัดรูปแบบ
เสียงชายร่างท้วมพูดขึ้นอีกครั้ง “อ้าวเฮ้ย!! ไอ้เด่นกลับมาทำอะไรเนี่ย? เปลี่ยนใจเหรอ” อดีตเพื่อนร่วมงานของเด่นชัยพูดขึ้นอย่างมีความหวัง “ผมแค่ลืมของนิดหน่อ...” เสียงของเด่นชัยขาดหายไปเมื่อได้เห็นว่ามีใครอีกคนหนึ่งอยู่ในอดีตห้องทำงานของเขา
“เสียงนี้? พี่เด่นชัย?” นุ้ยพูดกับตัวเองพร้อมกับหันมาทางประตูทางเข้าห้องไอทีและสบตากับชายร่างสูงโย่งผมหยิกสวมแว่นตาที่นัยน์ตาของเขาแฝงความประหลาดใจและประหม่าอยู่อย่างชัดเจน
“คะ คุณ..นุ้ย?” สำเนียงติดอ่างอันเป็นสำเนียงที่เด่นชัยใช้เสมออย่างไม่รู้ตัวเมื่อต้องพูดคุยกับนางในฝันของเขาอย่างคุณนุ้ย
“พี่เด่...”
“นุ้ย! นุ้ยเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมถึงส่งข้อความมาหาพี่แบบนั้น!” ก่อนที่นุ้ยจะทันเรียกชื่อของชายสวมแว่นตรงหน้าเธอจบ ท็อป ชายเจ้าของบริษัทก็พุ่งผ่านหน้าประตูเบียดไหล่ของเด่นชัยไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจจะขอโทษ ก่อนที่เขาจะจับมือทั้งสองข้างของนุ้ยไว้พร้อมบีบเบาๆอย่างร้อนรน “นุ้ยพี่ขอโทษ นุ้ยให้โอกาสพี่นะ พี่สัญญา แล้วเราค่อยไปเที่ยวทุกที่ที่นุ้ยอยากไปด้วยกันแค่สองคนนะครับ”
หากแต่นุ้ยได้สนใจฟังเสียงของชายตรงหน้าไม่ เธอกำลังมองตรงไปยังประตูทางเข้าห้อง มองไปยังดวงตาของชายหนุ่มอีกคนหนี่งที่ยืนมองเธอกับท็อปอยู่เช่นกัน นุ้ยสัมผัสได้ถึงความความห่วงใยอย่างมากมายในดวงตาคู่นั้น แต่เอ๊ะ! นั่นใช่ประกายน้ำตาหรือเปล่านะ? นุ้ยตอบไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกโหยหาแววตาคู่นี้นัก และเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมในตอนนี้เธอถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้ ผู้ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาใครๆในบริษัทรวมทั้งตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
เพียงชั่วขณะก่อนที่นุ้ยจะทันได้พูดอะไรออกไป “ผมไปก่อนนะ” เด่นชัยหันไปพูดกับตี้หนุ่มไอทีร่างอ้วนและเบือนหน้าหนีจากคู่ชายหญิงตรงหน้า พร้อมกับเดินหนีออกไปจากห้องนั้น ฉับพลันที่เด่นชัยหมุนตัวออกไปจากประตู นุ้ยทันสังเกตเห็นรอยยิ้มจางๆที่ริมฝีปากของเด่นชัยที่นุ้ยมั่นใจว่าเด่นชัยส่งมาให้เธอ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูขัดแย้งกับน้ำใสๆรอบดวงตาของเขาเหลือเกิน ราวกับมันเป็นยิ้มที่ใช้แทนคำบอกลาทั้งหมดของคนๆหนึ่งที่จะส่งให้กับคนอีกคนหนึ่งได้...
“พี่เด่นชัย!!” นุ้ยร้องเรียกแผ่นหลังงองุ้มของชายหนุ่มที่เดินจากไป...
[เพลงมา]
...เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน เพราะคนไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้ ก็ฉันนั้นเข้าใจดีว่าเธอไม่ต้องการ ยอมจากไปพร้อมน้ำตาเป็นคนที่ไร้ค่า เพราะเป็นความจำเป็นของคนไม่จำเป็น...
[Spoil] เมื่อแฟนเดย์เลือกที่จะจบในแบบปลายเปิด ผมก็ขออนุญาตแชร์ตอนจบในแบบของผมครับ
ปล.
ตัวผมเองชอบและเคารพตอนจบที่พี่โต้งและทีมงานเลือกใช้มากๆนะครับ
ปล.2
ผมจินตนาการเอาเองทั้งจากที่อ่านรีวิวของเพื่อนๆ ทั้งบทความ และทั้งกระทู้เพลงประกอบ กลายมาเป็นตอนจบในแบบของผมนะครับ
ปล.3
ออกจะยาวไปสักหน่อยถ้ายังไงก็รบกวนมาแชร์ความรู้สึก หรือตอนจบในแบบที่ทุกท่านอยากให้เป็นได้นะครับ ถ้าพร้อมแล้ว เชิญทุกท่านได้เลยครับ
Edit :
ปล.4
ล่าสุดตัวผมเองพึ่งได้มีโอกาสไปดูแฟนเดย์ฯมาเป็นรอบที่สอง ต้องขอเรียนตรงนี้เลยว่าทำให้อินและเข้าใจไปกับการกระทำหลายๆอย่างของตัวละครหลายๆตัวมากขึ้นจริงๆครับ ที่สำคัญได้มีโอกาสโฟกัสไปที่ตัวละครของมิวมากขึ้นอีก กลายเป็นยิ่งรู้จักก็ยิ่งรักเธอมากขึ้นจริงๆครับ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Mid credit :
หลังจากที่นุ้ยกับจอยได้ชมคลิปวีดิโอที่นุ้ยได้ไปเที่ยวชมเทศกาล Snow festival นุ้ยได้เห็นภาพตัวเองยิ้มกว้างอย่างมีความสุขยิ่งกว่ายิ้มใดๆที่เธอเคยแย้มยิ้มตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มันเป็นยิ้มที่ยิ้มออกมาจากความรู้สึกข้างในของเธอจริงๆ และเมื่อประกอบกับเสียงของชายหนุ่มผู้ถ่ายวีดิโอนี้กลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ตัวนุ้ยเองมั่นใจว่าเคยสัมผัสมาแล้วแต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจตอบได้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไร...
น้ำใสๆเอ่อล้นออกจากดวงตาคู่สวยโดยที่นุ้ยเองไม่รู้ตัว ทำให้จอยเพื่อนสนิทของเธอต้องเอ่ยปากขึ้น "เฮ้ย! นุ้ย แกร้องไห้ทำไม!?" ใบหน้างามหันไปสบตากับเพื่อนรักของเธอ "ฉันก็ไม่รู้ว่ะแก"
"นุ้ยร้องไห้ทำไม แล้วทำไมถึงไม่รับสายพี่ละครับ?" เสียงทุ้มนุ่มของผู้ชายดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างของชายวัยกลางคนหน้าตาดีเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของหญิงสาวทั้งสอง
“เอ่อ...ฉันไปก่อนนะแก” น้ำเสียงกระอักกระอ่วนดังขึ้นจากปากของเพื่อนสาวคนสนิทของนุ้ย พร้อมกับดันร่างของตนเองออกจากเก้าอี้ที่ทำงาน และเคลื่อนผ่านชายวัยกลางคนและหญิงสาวออกไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่นุ้ยจะทันได้ทักท้วงใดๆ
“นุ้ย...พี่สัญญา พี่จะเอาแหวนวงนี้ออกจากนิ้วนางของพี่ให้ได้” ท็อปกล่าวพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งข้างนุ้ยพลางขยับแหวนที่นิ้วนางมือซ้ายของเขา นุ้ยมองตามแหวนวงนั้นพร้อมกับความรู้สึกที่จุกแน่นขึ้นมาที่กลางอกอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาของเธออีกครั้ง “นุ้ย...นี่นุ้ยร้องไห้ทำไมครับ? นุ้ยยังโกรธพี่อยู่เหรอ? งั้นไว้คราวหน้าเราไปเที่ยวกันแค่สองคนนะ นุ้ยยังไม่ได้ไปงาน Snow festival เลยใช่ไหม?" ท็อปถามพร้อมกับที่เขาช้อนมือซ้ายของหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ด้วยมือขวาของเขา
ด้วยสัมผัสจากมือขวาของท็อปผู้น่าจะเป็นชายในฝันผู้สมบูรณ์แบบของเธอ แต่ในตอนนี้นุ้ยกลับรู้สึกร้อนรนและยิ่งไปกว่านั้น รังเกียจมือขวาของชายเบื้องหน้าเธอตรงนี้ขึ้นมาในบัดดล “นุ้ยไปมาแล้วค่ะ...ขอตัวนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นในที่สุดพร้อมกับดึงมือซ้ายของเธอออกจากมือขวาของท็อป ก่อนที่จะแทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างโต๊ะทำงานของเธอกับท็อปออกมา พร้อมกับรีบเดินโดยไม่มีจุดหมาย ขอเพียงแค่ออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุดโดยทิ้งเจ้าของเสียงเรียกชื่อเธอไว้เบื้องหลัง
นุ้ยเดินหนีท็อปออกมาไกลพอสมควรพร้อมความรู้สึกอัดอั้นตันใจ อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก นอกจากที่ตอนนี้เธอจะรู้สึกสมเพชตัวเองที่ยอมทนเป็นเมียน้อยของหัวหน้าตัวเองมาตลอดสามปีเต็มแล้ว บัดนี้เธอยังต้องรับความจริงที่ว่าเธอได้สูญเสียความทรงจำที่เธอมีความสุขมากที่สุดที่เธอเคยได้สัมผัสตลอดเวลา 3 ปีหลังสุดไป ด้วยเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ประดังเข้ามาในช่วงเวลาไม่กี่วันจนมันเกินที่เธอจะรับได้ นุ้ยจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ล็อคประตู และพร้อมกับนั่งลงบนฝาชักโครกพร้อมกับปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกที่อัดดั้นตันใจทั้งมวลที่เธอไม่อาจทนอดกลั้นได้อีกต่อไป น้ำตาที่เอ่อล้นพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย น่าเสียดายที่ห้องน้ำห้องนี้ไม่มีเสียงเพลงที่จะกลบเสียงร้องจากความเศร้าเสียใจอย่างที่สุดของเธอได้เลย
เวลาผ่านไปเท่าไรนุ้ยเองก็ไม่อาจบอกได้ จนกระทั่ง...
“นุ้ยอยู่ไหน พี่เป็นห่วงนะครับ” เสียงข้อความเข้าดังขึ้นพร้อมกับข้อความที่แสดงขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของนุ้ย ก่อนที่หญิงสาวจะปาดน้ำตาหยดสุดท้ายของตัวเองบนโทรศัพท์ออก เธอสะอื้นไห้พร้อมกับสงบใจตนเองอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเช็ดน้ำตาพร้อมกับเดินออกจากห้องน้ำโดยที่เธอเองตัดสินใจแน่วแน่ว่าเธอจะจบเรื่องทั้งหมดลงในวันนี้...
“พี่ท็อปคะ...นุ้ยไม่อยากจะทำลายครอบครัวของใครมากไปกว่านี้อีกแล้ว ที่ผ่านมาเรื่องทั้งหมดนุ้ยเป็นคนผิดเอง เพราะฉะนั้นนุ้ยจะขอรับผิดชอบทุกอย่างด้วยการลาออกจากบริษัทเองค่ะ เรา...อย่าพบกันอีกเลยนะคะ ขอให้พี่ท็อปมีความสุขกับพี่ชุ น้องไทปัน กับน้องเบนเทนมากๆนะคะ” เธอกดส่งข้อความออกไปหาผู้ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตหัวหน้าของเธอพร้อมกับเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองและเริ่มเก็บข้าวของๆเธอลงในกล่อง เธอเก็บตุ๊กตาของสะสมของเธอเป็นอย่างสุดท้าย และขณะที่เธอหยิบตุ๊กตาตัวพิเศษที่เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอได้มันมาอย่างไรขึ้นมา เธอจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้น...
ช่วงเวลาที่เธอจ้องมองตุ๊กตาหิมะสวมแว่นตาในอ้อมกอดของเด็กสาวโค้ทสีน้ำตาลกลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคย มันทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ความคิดและความทรงจำ มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เธอได้ยินเสียงของชายหนุ่มในคลิปวีดิโอที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เธอจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่สุดท้ายเธอจะหย่อนตุ๊กตาตัวนั้นลงในกระเป๋า ทันใดนั้นสายตาเธอก็เหลือบไปเห็นสายซิงค์ข้อมูลที่ยังต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ของเธอ นุ้ยดึงสายข้อมูลนั้นออกมาและคิดว่าก่อนจะออกไปจากที่แห่งนี้เธอจำต้องนำสายข้อมูลนี้ไปคืนเสียก่อน
“เอ่อ...พี่คะ หนูเอาสายข้อมูลมาคืนค่ะ” นุ้ยพูดขึ้นเมื่อเดินผ่านประตูเข้าสู่ห้องหน่วยไอทีอันคับแคบและเต็มไปด้วยอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคส์ที่วางอยู่อย่างระเกะระกะ มีเพียงโต๊ะทำงานทางขวามือของเธอเท่านั้นที่ว่างเปล่าและดูมีระเบียบอย่างไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมในห้องเอาเสียเลย “อ๋อ...ผมรบกวนคุณนุ้ยวางไว้ในตะกร้าใต้โต๊ะไอ้เด่นได้เลยครับ พอดีต้องรีบเคลียร์ของก่อนจะรับเด็กใหม่เข้ามาแทนน่ะฮะ” ตี้ชายร่างท้วมสวมแว่นตาหันมาคุยกับเธอโดยที่ยังถือโทรศัพท์มือถือแนบที่หูอยู่
นุ้ยเดินเข้ามาในห้องพร้อมก้มลงมองหาตะกร้าอันเป็นที่เก็บสายข้อมูลสารพัดรูปแบบ
เสียงชายร่างท้วมพูดขึ้นอีกครั้ง “อ้าวเฮ้ย!! ไอ้เด่นกลับมาทำอะไรเนี่ย? เปลี่ยนใจเหรอ” อดีตเพื่อนร่วมงานของเด่นชัยพูดขึ้นอย่างมีความหวัง “ผมแค่ลืมของนิดหน่อ...” เสียงของเด่นชัยขาดหายไปเมื่อได้เห็นว่ามีใครอีกคนหนึ่งอยู่ในอดีตห้องทำงานของเขา
“เสียงนี้? พี่เด่นชัย?” นุ้ยพูดกับตัวเองพร้อมกับหันมาทางประตูทางเข้าห้องไอทีและสบตากับชายร่างสูงโย่งผมหยิกสวมแว่นตาที่นัยน์ตาของเขาแฝงความประหลาดใจและประหม่าอยู่อย่างชัดเจน
“คะ คุณ..นุ้ย?” สำเนียงติดอ่างอันเป็นสำเนียงที่เด่นชัยใช้เสมออย่างไม่รู้ตัวเมื่อต้องพูดคุยกับนางในฝันของเขาอย่างคุณนุ้ย
“พี่เด่...”
“นุ้ย! นุ้ยเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมถึงส่งข้อความมาหาพี่แบบนั้น!” ก่อนที่นุ้ยจะทันเรียกชื่อของชายสวมแว่นตรงหน้าเธอจบ ท็อป ชายเจ้าของบริษัทก็พุ่งผ่านหน้าประตูเบียดไหล่ของเด่นชัยไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจจะขอโทษ ก่อนที่เขาจะจับมือทั้งสองข้างของนุ้ยไว้พร้อมบีบเบาๆอย่างร้อนรน “นุ้ยพี่ขอโทษ นุ้ยให้โอกาสพี่นะ พี่สัญญา แล้วเราค่อยไปเที่ยวทุกที่ที่นุ้ยอยากไปด้วยกันแค่สองคนนะครับ”
หากแต่นุ้ยได้สนใจฟังเสียงของชายตรงหน้าไม่ เธอกำลังมองตรงไปยังประตูทางเข้าห้อง มองไปยังดวงตาของชายหนุ่มอีกคนหนี่งที่ยืนมองเธอกับท็อปอยู่เช่นกัน นุ้ยสัมผัสได้ถึงความความห่วงใยอย่างมากมายในดวงตาคู่นั้น แต่เอ๊ะ! นั่นใช่ประกายน้ำตาหรือเปล่านะ? นุ้ยตอบไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกโหยหาแววตาคู่นี้นัก และเธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมในตอนนี้เธอถึงรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้ ผู้ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาใครๆในบริษัทรวมทั้งตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
เพียงชั่วขณะก่อนที่นุ้ยจะทันได้พูดอะไรออกไป “ผมไปก่อนนะ” เด่นชัยหันไปพูดกับตี้หนุ่มไอทีร่างอ้วนและเบือนหน้าหนีจากคู่ชายหญิงตรงหน้า พร้อมกับเดินหนีออกไปจากห้องนั้น ฉับพลันที่เด่นชัยหมุนตัวออกไปจากประตู นุ้ยทันสังเกตเห็นรอยยิ้มจางๆที่ริมฝีปากของเด่นชัยที่นุ้ยมั่นใจว่าเด่นชัยส่งมาให้เธอ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นดูขัดแย้งกับน้ำใสๆรอบดวงตาของเขาเหลือเกิน ราวกับมันเป็นยิ้มที่ใช้แทนคำบอกลาทั้งหมดของคนๆหนึ่งที่จะส่งให้กับคนอีกคนหนึ่งได้...
“พี่เด่นชัย!!” นุ้ยร้องเรียกแผ่นหลังงองุ้มของชายหนุ่มที่เดินจากไป...
[เพลงมา]
...เพราะคนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน เพราะคนไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้ ก็ฉันนั้นเข้าใจดีว่าเธอไม่ต้องการ ยอมจากไปพร้อมน้ำตาเป็นคนที่ไร้ค่า เพราะเป็นความจำเป็นของคนไม่จำเป็น...