แฟนเดย์ - ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นที่ตรงนั้น จะไม่มีทางละลายหายไปอย่างแน่นอน (Spoil)

หลังจากที่เราได้ดูตัวอย่างเรื่องแฟนเดย์ครั้งแรก มันทำให้เราอยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ และยิ่งมีโอกาสได้ดูสกู๊ปหนังเรื่องนี้ ที่คุณโต้ง บรรจง พูดถึงการแสดงของ มิว นิษฐาแล้ว ยิ่งทำให้เราอยากเข้าไปชมหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก

และพอดูหนังเรื่องนี้จบ เราบอกได้เลยว่า เราชอบหนังเรื่องนี้มาก เรามีส่วนที่ไม่ค่อยชอบอยู่นิดหน่อย แต่มันเป็นเรื่องที่เราคิดว่า เราสามารถมองข้ามจุดเหล่านั้นได้ เพราะจุดที่เราชอบมาก มันมีพลังรุนแรงมากพอที่จะสะกดเราเอาไว้ได้

สิ่งที่เรากังวัลมากก่อนที่จะดูหนังเรื่องนี้คือ กลัวมันจะน้ำเน่า ซึ่งพอมันน้ำเน่ามากๆ เรามักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนั้น ซึ่งช่วงท้ายเรื่อง หนังก็เดินอยู่บนเส้นแบ่งระหว่าง ความน้ำเน่า กับ ไม่น้ำเน่า แต่หนังกลับเดินอยู่บนเส้นแบ่งนั้นจนสุดทาง ไม่ได้ข้ามไปในเขตของความน้ำเน่าเลย มันเลยกลายเป็นดีมากๆ และเรากลัวจะได้เห็นมุขตลกสไตล์ กวนมึนโฮ ซึ่งผมไม่ชอบแนวนั้นซักเท่าไหร่ และตอนระหว่างดู ตอนช่วงใกล้หนังจะจบ เกิดความกลัวอย่างรุนแรงในเรื่องตอนจบของหนัง เรากลัวว่ามันจะไม่สมจริง แต่ทั้งหมดที่เรากังวล มันดันไม่เกิดขึ้นเลย เราเลยออกมาบอกได้เลยว่า ชอบหนังเรื่องนี้

เราไม่ได้เป็นแฟนหนังของคุณโต้ง บรรจง แต่เรานับถือว่าเค้าเป็นผู้กำกับหนังที่เก่งมากนะ สิ่งที่เรามักจะพูดชมคุณโต้งอยู่เสมอๆ ก็คือ เค้าเก่งในการกำกับจังหวะหนังมากๆ ตั้งแต่ คนกลาง คนกอง กวนมึนโฮ จนมาถึง พี่มากพระโขนง เค้าเล่นกับจังหวะอารมณ์ของคนดูได้ดีมากๆ ส่วนตัวเราชอบเรื่อง คนกอง มากที่สุดนะ และอีกส่วนที่ต้องชมคือ พาร์ทด้านการแสดงในหนังของเค้า ทำได้ยอดเยี่ยมทุกเรื่องจริงๆ

บทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สื่อสารประเด็นหลักได้ยอดเยี่ยมมาก และคุมโทนอยู่ทุกอย่าง เพื่อที่จะพูดเรื่องนี้ เป็นหนังที่เล่าความสัมพันธ์ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ตัวละครออกแบบมาได้สมจริงสุดๆ รวมไปถึงการตัดสินใจของตัวละคร ก็สมจริงตามแบ็คกราวน์และคาเรคเตอร์ตัวละครนั้นๆ

จะมีจุดที่เรารู้สึกขัดอยู่จุดหนึ่ง คือดนตรีประกอบ ซึ่งโดยปกติหนังเรื่องก่อนๆของ GTH มักจะทำตรงนี้ได้ดีมากๆ แต่เรื่องนี้เรารู้สึกขัดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีประกอบช่วงดราม่าหนักๆท้ายเรื่อง เรารู้สึกดนตรีมันเศร้าแบบหม่นมากๆ แต่เราไม่รู้สึกเศร้าแบบนั้น เรารู้สึกเศร้าแบบอบอุ่น ซึ่งเราว่าดนตรีมันไม่พาเราไปตามอารมณ์ที่เราเป็นซักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ถึงขั้นเลวร้ายนะ แต่ถ้าดนตรีมันส่งมากกว่านี้ เราจะยิ่งรู้สึกอินกับหนังเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นไปอีก (อันนี้ส่วนตัวสุดๆนะ)

พูดถึงพาร์ทการแสดง เรายอมรับว่าช่วงแรกๆ เรารู้สึกขัดๆกับการแสดงของเต๋อ ฉันทวิชช์ ในบทบาทของเด่นชัย อยู่พอสมควร จนถึงขั้นเกือบจะไม่เชื่อละ แต่พอถึงช่วงที่เริ่มอยู่เที่ยวต่อกับนุ้ย หลังจากนุ้ยสูญเสียความจำ มันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และพอมาถึงช่วงท้ายเรื่อง เรามารู้สึกตัวอีกทีก็ตกใจเหมือนกันว่า เฮ้ย หมอนี่มันคือเด่นชัยนี่นา มันไม่ใช่เต๋อที่เรารู้จักละ ตอนนั้นใครมาบอกเราว่า นี่มันเต๋อ ฉันทวิชช์ ผมจะเถียงเค้าขาดใจเลย ผมยอมรับเลยว่า เต๋อแสดงเก่งว่ะ

มาถึงพาร์ทการแสดงของมิว นิษฐา ที่ก่อนจะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ผมคาดหวังไว้สูงมากๆ แต่พอดูจบ เรากลับรู้สึกว่ามันดีเกินกว่าที่ผมคาดไว้อีก มิวโชว์ผลงานการแสดงระดับมาสเตอร์พีซสำหรับผม เธอทำให้เราเชื่อได้หมดใจเลยว่า เธอคือนุ้ย ตั้งแต่ซีนแรกยันซีนสุดท้าย เธอเล่นละเอียดมากๆ ผมชอบรอยยิ้มของเธอ จังหวะการพูดว่า เธอโอเค เธอไม่เป็นไร แต่ขณะที่ในใจเธอรู้สึกอีกแบบ มันสุดยอดมากๆ เล่นได้ไงเนี่ย และที่ผมชอบมากที่สุดสำหรับการแสดงของเธอ คือการสื่อสารผ่านสายตา

เราชอบซีนการแสดงของเธอหลายซีนมากๆ โดยเฉพาะช่วงที่เข้าซีนกับเต๋อ ซีนแรกที่ทั้งคู่คุยกัน ตอนเรียกเด่นชัยมาช่วยดูปริ้นเตอร์ ซึ่งเป็นซีนธรรมดาๆ แต่เธอก็เล่นได้สุดยอดมาก ซีนที่ทั้งคู่มองตากันที่หุบเขานรก แล้วเธอเริ่มที่จะหลบตาเด่นชัย มันเจ๋งมาก เธอออกอาการเขินอายบางอย่าง ซึ่งมันเจ๋ง มันเกิดความรู้สึกนั้นจากการมองตาเด่นชัย เรารู้สึกว่าเธอเขินจริงๆจังหวะนั้น

ซีนที่เธอคุยโทรศัพท์กับพี่ท็อป หลังจากรู้ว่าภรรยาและลูกของพี่ท็อปเดินทางมาหาที่ญี่ปุ่นและจะอยู่เที่ยวต่อกับพี่ท็อป เธอเล่นได้ปวดร้าวสุดๆ เธอต้องคอยเว้นจังหวะการพูด ขณะที่พูดเธอพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่เธอปิดไม่มิด มันมีน้ำเสียงบางอย่างที่เจ็บปวดมากๆแฝงอยู่ในน้ำเสียงธรรมดาของเธอ ซึ่งผมว่าเจ๋งมากๆ ขณะที่บางจังหวะ เธอก็ดึงโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อร้องไห้ แต่เธอไม่อยากให้พี่ท็อปรับรู้ว่าเธอปวดร้าวแค่ไหน เราโคตรปวดร้าวไปกับเธอจริงๆฉากนี้ เด่นชัยที่แอบมองนุ้ยอยู่ ก็คงปวดร้าวไม่แพ้กัน

และสุดยอดซีนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ ตอนท้ายเรื่อง ที่เธอดูคลิปวิดีโอที่เธอไปเที่ยว Snow Festival กับเด่นชัย แล้วเธอเริ่มน้ำตาไหล มันหลากหลายอารมณ์มากๆฉากนี้ เธอร้องไห้ แต่เรากลับรู้สึกอบอุ่นนะ มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้า เรารู้สึกได้ถึงความสุขในตอนนั้นของเธอ เธอคิดถึงตอนนั้นที่เธอมีความสุขเหลือเกิน รวมไปถึงตอนที่พี่ท็อปเดินเข้ามาถามเธอ ว่าเป็นอะไร เธอดึงมือของเธอออกจากมือของพี่ท็อป เธอแสดงได้ดีมากๆ จนไปถึงตอนที่เธอขอตัวจากพี่ท็อป เอาขาดันเก้าอี้พี่ท็อป แล้วเดินออกประตูไป เรานั่งนิ่งจนแทบจะลืมหายใจเลยทีเดียว

พร็อตเรื่องของแฟนเดย์ มันมีความน่าสนใจอยู่เยอะมากๆ ถ้าคนที่เราแอบชอบสูญเสียความทรงจำแค่ 1 วัน และเรามีโอกาสได้เป็นแฟนเธอแค่ 1 วันนั้น เราจะทำอย่างไรกับช่วงเวลานั้น มันจะทำให้เรามีความสุขได้แค่ไหน ในเมื่อหากผ่านวันนี้ไป ทุกอย่างมันก็เหมือนจะไม่เคยได้เกิดขึ้นจริง

เราชอบการเล่าความสัมพันธ์ของเด่นชัยกับนุ้ยมากๆ เรามีความเหมือนเด่นชัยในหลายๆอย่าง เราเลยรู้สึกเข้าใจตัวละครนี้สุดๆ มันเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เป็นคนพูดตรงๆ ไม่ค่อยรู้กาลเทศะเท่าไหร่ คิดยังไงก็พูดแบบนั้น แล้วมันไม่เก่งในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นซักเท่าไหร่ บางคนอาจะขำในซีนที่มองตานุ้ย แต่เราเข้าใจเค้าเลย เราไม่กล้ามองตาคนที่เราชอบจริงๆแหละ

แต่เราชอบตรงที่ไอ้คนแบบเนี้ย พอมันเริ่มเป็นตัวของตัวเอง เริ่มไม่เกร็ง มันกลับมีมุมน่ารักๆอยู่เยอะ เพียงแค่มันเริ่มความสัมพันธ์ไม่ค่อยเก่ง หลังจากพอมีโอกาสได้อยู่กับนุ้ย 1 วัน เราเห็นเลยว่า จากที่นุ้ยไม่ได้คิดที่จะชอบมันเลย กลับกลายเป็นว่า เออ มันเริ่มมีมุมน่ารักๆออกมาเรื่อยๆแฮะ มันเป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และมันเป็นคนจริงใจสุดๆ เมื่อได้ลองชอบใครแล้ว มันพร้อมที่จะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้คนที่เค้าชอบมีความสุข และสิ่งที่มันทำ มันก็ทำให้นุ้ยประทับใจได้จริงๆ

เราชอบความสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นระหว่างเด่นชัยกับนุ้ย เพราะเด่นชัย มันทำทุกอย่างจากใจจริงๆ นุ้ยค่อยๆสังเกตและรับรู้ได้เรื่อยๆ มันจำได้หมดว่านุ้ยชอบทานอะไร ไอ้ตอนที่จะหาตุ๊กตาตัวที่นุ้ยยังไม่มี มันก็แสดงความพยายามอย่างสุดๆ

ช่วงเวลาที่ติดอยู่ในมินิมาร์ทและไฟดับ นุ้ยเอาขนมมาแฮปปี้เบิร์ทเดย์เด่นชัย มันน่ารักมากๆเลย เราชอบที่มันอธิฐานขอให้พายุหยุด เพื่อที่จะได้ไป Snow Festival ให้ได้ และนุ้ยเริ่มให้เด่นชัยลองจีบนุ้ยใหม่ดู ซึ่งซีนช่วงนี้น่ารักมากๆ และพอมาถึงช่วงที่เด่นชัยเริ่มจีบในสไตล์ของตัวเอง เค้าพูดตรงๆตามสไตล์ของเค้า แต่บทพูดช่วงนี้มันจริงใจมาก และแววตาของเค้าดูจริงจังสุดๆ เราเชื่อว่านุ้ยรับรู้ความรู้สึกนี้ได้แน่นอน

ตอนที่เด่นชัยพานุ้ยไปแต่งงานในโบสถ์นั้น มันไม่ได้หวังที่จะแต่งงานกับนุ้ยจริงๆ ที่มันทำไป มันหวังแค่อยากให้นุ้ยมีความสุข เพราะนุ้ยบอกว่า อยากแต่งงานก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งเด่นชัยมันรู้ดีว่า ถ้ากลับเข้าสู่ชีวิตจริงเมื่อไหร่ เธอคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานในเร็วๆนี้แน่ๆ เพราะอย่างไรพี่ท็อปก็คงไม่มีทางจะเลิกกับภรรยา และมาแต่งงานกับนุ้ยแน่นอน

เราชอบที่หนังแสดงให้เห็นถึงประเด็นที่ว่า เราไม่มีทางเข้าใจคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆหรอก ถ้าเราไม่เจอสิ่งนั้นกับตัวเองจริงๆ นุ้ยตอนที่สูญเสียความทรงจำ หลังรู้ว่าตัวเองไปคบกับคนที่มีภรรยาและลูกแล้ว เธอด่าตัวเองอย่างรุนแรง เธอรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ เธอไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าคนอย่างเธอจะทำแบบนี้ได้ ก็เพราะตอนนี้เธอเป็นคนที่อยู่นอกเหตุการณ์ไง เธอกำลังมองนุ้ยอีกคนอยู่ เราไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้หรอก ในชีวิตจริงเรายังเคยเป็นเลย วันที่เราเป็นคนนอก เราพูดว่า แบบนี้ดี ทำแบบนี้ซิ แบบนั้นไม่ดี อย่าทำเลย แต่พอเราไปเจอเหตุการณ์นั้นกับตัวเอง เรายังเคยเลือกทำสิ่งที่เราเคยพูดว่ามันไม่ดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเหตุการณ์นั้นมีเรื่องหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ

ช่วง 1 วันที่เกิดขึ้นนั้น เราดูแล้วเชื่อในความสัมพันธ์ที่มันก่อตัวขึ้นจริงๆ มันไม่ใช่แค่นุ้ยที่ค่อยๆเริ่มประทับใจเด่นชัยนะ แม้แต่ตัวของเด่นชัยเอง ก็เกิดความรู้สึกจริงๆกับนุ้ยเช่นกัน มันไม่ใช่แค่การแอบชอบเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว วันนี้มันเกิดความรู้สึกที่ส่งผ่านถึงกันได้จริงๆ

"จะว่าไปวันนี้มันก็ดีเหมือนกันน่ะ เผลอๆอาจจะดีกว่าชีวิตจริงชั้นด้วยซ้ำไป" นุ้ยพูดกับเด่นชัยในช่วงท้าย หลังจากรับรู้ความจริงทั้งหมด และวันนี้เราเองก็มีความสุขไปกับเค้าทั้งคู่เหมือนกัน

เราชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มากๆ ตัวละครเด่นชัยมันต้องตัดสินใจแบบนั้น ซีนที่เด่นชัยเล่าให้นุ้ยฟังถึงวันที่มันตัดสินใจบอกชอบนุ้ย มันเจ็บปวดมากๆ ตอนที่เด่นชัยเจอนุ้ย แล้วนุ้ยไม่ลงลิฟท์ด้วย มันปวดร้าวสุดๆ มันไม่มีทางเชื่อเลยว่า ถ้านุ้ยกลับไปมีความทรงจำแบบเดิม นุ้ยจะชอบตัวเค้า แม้จะมีคลิปวิดีโอที่นุ้ยเป็นคนพูดเองก็ตาม เราเข้าใจเด่นชัยว่ะ เราเข้าใจที่มันไม่เชื่อว่า การเป็นแฟนกับนุ้ย มันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้ เราเข้าใจที่มันเลือกลบคลิปนั้นทิ้งไป ถ้าเราเป็นเด่นชัย เราก็คงทำแบบเดียวกัน และเราก็ชอบมากที่มันไม่ได้ลบคลิปตอนไปเที่ยว Snow Festival เพราะอยากให้นุ้ยได้เห็นช่วงเวลาที่นุ้ยยิ้มอย่างมีความสุข

ตอนจบของหนังเรื่องนี้ดีมากๆ ถ้าจบแบบอื่น ผมคงจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลย

ซีนช่วงที่ไปเที่ยว Snow Festival มันอบอุ่นมากๆ ทั้งที่บรรยากาศในหนังมันเต็มไปด้วยหิมะ มันหนาวสุดๆ แต่มันคือช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆของเด่นชัยและนุ้ย รอยยิ้มที่เกิดขึ้นมันจริงใจและเป็นตัวเองสุดๆ

"ปั้นแทบตาย แล้วไงอ่ะ พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้มันละลายไปแบบนี้เหรอ คนปั้นจะรู้สึกยังไงเนาะ" ประโยคนี้ ถูกตอบกลับด้วยน้ำตาของเด่นชัยตอนนั่งมองมันจากบนรถบัส มันอาจจะดูเหมือนเศร้านะ แต่เราเชื่อว่าเค้ามีความสุข ไอ้ที่ละลายไปน่ะ มันคือหิมะ แต่ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นที่ตรงนั้น มันไม่ได้ละลายไปด้วยซักหน่อย

ซีนท้ายเรื่องที่นุ้ยเปิดดูคลิปตอนที่เค้าไปเที่ยว Snow Festival เราไม่รู้ว่านุ้ยจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้หรือไม่ เราไม่รู้ว่านุ้ยจะจำเด่นชัยได้ไหม แต่เราเชื่อเหลือเกินว่า นุ้ยจำความรู้สึกตอนนั้นได้ มันเคยเกิดขึ้นจริงอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มแห่งความสุขมันยังเบ่งบานอยู่ตรงนั้น มันอบอุ่นเหลือเกิน

"ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นที่ตรงนั้น จะไม่มีทางละลายหายไปอย่างแน่นอน"

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่