บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒๗)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณนัน turtle_cheesecake, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณออม ออมอำพัน, คุณ สายป่านสีชมพู
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


บทที่ ๒๗



    ผ้าสี่เหลี่ยมจตุรัสในห่อกระดาษเป็นผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลอ่อน ลวดลายประณีตอ่อนช้อย เป็นเถากุหลาบอังกฤษดอกเล็กๆ ประอยู่ทั่วไป มีก้านยาวขดเป็นเกลียวล้อมรอบดอกใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง เป็นกุหลาบแย้มกลีบบานเต็มที่แล้ว

พอเห็นชัดๆ ว่าเป็นอะไร คนรับถึงกับอุทาน

    “สวยเหลือเกินค่ะ พี่ประพันธ์”

    นิ้วเรียวไล้ไปตามผืนผ้าไหมทอละเอียด บางเบาราวแพรเนื้อดี ลวดลายนั้นมิใช่ลายพิมพ์ แต่เป็นลายปักด้วยด้ายเส้นบางเฉียบ ทุกฝีเข็มประณีตไร้ที่ติ แม้ผ้าจะบางเพียงไร หากก็มิได้ก่อให้เกิดรอยย่นแม้แต่น้อย ดูราวกับว่าลายปักนั้นถูกทอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อผ้าเลยทีเดียว ส่วนชายทั้งสี่ด้านก็ปล่อยด้ายทิ้งไว้รุ่ยร่ายตามสีสันของไหมที่ใช้ทอทั้งหมด

    ในขณะที่หญิงสาวชื่นชมกับของฝาก ชายหนุ่มฉวยโอกาสพิจารณาใบหน้างามละมุนซึ่งกำลังก้มต่ำ เธอไม่ใช่สาวน้อยอีกต่อไปแล้ว เวลาเพียงปีกับอีกไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เห็นกัน ดูราวเธอเติบโตขึ้นมากทีเดียว จะเป็นเพราะในเวลานี้มีหน้าที่รับผิดชอบ มีครอบครัว ...มี...สามี...ซึ่งกำลังสร้างความร้าวรานให้ หรือเป็นเพราะความเจ็บช้ำนั้นที่ทำเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้

    ผมตัดสั้นสีน้ำตาลเส้นละเอียดซึ่งในเวลานี้เหยียดตรง ดูเลื่อมระยับราวจะแข่งกับแสงตะวันยามบ่ายที่กำลังสะท้อนผืนน้ำเบื้องหน้า แผงขนตาเรียงเส้นหนาทอดเงาลงบนผิวเนียนบริเวณโหนกแก้ม จมูกโด่ง ปลายรั้งน้อยๆ แก้มบางใสเรื่อชมพูดูซูบลงกว่าครั้งหลังสุดที่เห็น หากก็ยังคงความเปล่งปลั่งด้วยเลือดสาวไว้ได้ไม่มีแปรเปลี่ยน ริมฝีปากอวบอิ่มกำลังยิ้มน้อยๆ นั้นเล่าก็ดูนุ่มละมุนราวกลีบกุหลาบแรกแย้ม

    สะท้อนใจยิ่งได้กลับมาเห็นความเปราะบางของสาวน้อยซึ่งตัวหมายปองอีกครั้ง เธอควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ควรเลยที่ต้องมาผจญกับปัญหาเมียน้อยเมียหลวงเช่นผู้หญิงอีกเป็นจำนวนมาก จะคิดได้บ้างไหมว่าถ้าตกลงปลงใจกับเขาเสียแต่ครั้งนั้น ก็คงไม่ต้องมาชอกช้ำอย่างนี้ ประพันธ์รู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะทำอะไรให้ผู้ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรักแรกเจ็บปวดเยี่ยงนี้

    ว่าไปตามจริงแล้วนายร้อยหนุ่มมิได้สะใจกับชะตากรรมที่ไอรีนกำลังประสบเลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้รู้จากเพื่อนรักเพียงคร่าวๆ ว่าหญิงสาวกำลังมีปัญหาอย่างไร ก็ยิ่งเห็นใจ ออกจะเจ็บใจแทนเสียด้วยซ้ำ แม้ผู้สร้างปัญหาจะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตัวเองก็ตาม ก็ดูเอาเถอะ...ได้ไปเป็นของตัวแล้วแทนที่จะทะนุถนอมน้ำใจกัน กลับไปมีลูกกับคนอื่นเสียได้

    สะดุ้งเมื่อคนซึ่งกำลังถูกจ้องมองละสายตาจากผ้าคลุมไหล่

    "คงแพงมากเลยนะคะพี่ประพันธ์ สวยอย่างนี้"

    นายร้อยหนุ่มยิ้มเจื่อน แน่ใจว่าเมื่อครู่หญิงสาวทันได้เห็นสายตาส่อชัดถึงความเสียดายของเขา

    “เรื่องของใช้ผู้หญิงพี่เลือกไม่เป็นหรอก ก็เลยลองถามเพื่อนๆ ที่นั่นดู เขาแนะนำว่าไหนๆ พี่จะไปอังกฤษก่อนกลับกรุงสยาม ก็ให้แวะซื้อผ้าคลุมไหล่จากเมืองนอวิช เขาว่าที่นั่นทำผ้าคลุมไหล่ได้สวยมาก ขึ้นชื่อเลยทีเดียว พี่ก็เลยไปได้มาจากที่นั่น เธอจะชอบสีของมันหรือเปล่าก็ไม่รู้"

    "ชอบค่ะ พี่ประพันธ์ ชอบมาก" สาวน้อยยืนยันหนักแน่น ประนมมือไหว้เพื่อบอกขอบคุณอีกครั้ง

    "เห็นว่าอีกไม่นานก็เข้าหนาวแล้ว ก็เลยคิดว่าเธอคงได้ใช้บ้าง ตอนพี่อยู่ที่โน่น ก็อาศัยเสื้อกันหนาวสองตัวที่เธอถักให้นั่นแหละ พี่ใส่อยู่ทุกวันจนเพื่อนๆ ล้อ”

ชายหนุ่มเล่าต่อ ยิ้มที่มุมปากเปลี่ยนเป็นขัดเขิน หารู้ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นสะท้อนความรู้สึกที่ยังคงซ่อนอยู่ลึกล้ำออกมามากมายเพียงไร

ไอรีนหาใช่เด็กสาวไม่ประสีประสาในเรื่องของหญิงชายอีกต่อไปแล้ว ในเวลานี้เธอมีครอบครัว มีสามี และแต่งงานมากว่าปีแล้ว ทำไมจะไม่สำเหนียกถึงความหมายแฝงเร้นในคำพูดเหล่านั้น จึงได้เปลี่ยนเรื่องเสีย

"พี่ประพันธ์กลับมานานแล้วหรือคะ"

ประพันธ์เองก็คิดได้ รีบกลบเกลื่อนความอาลัยอาวรณ์ซึ่งเพิ่งสะท้อนออกมาทางคำพูดเหล่านั้นเสีย

    "เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน ตั้งใจจะไปหาเธอที่บ้าน แต่ก็ไม่กล้า" ประโยคหลังเบาลง รู้กันดีว่าทำไม จึงละเอาไว้เพียงเท่านั้น

    "พอดีกับโชคบอกว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว วันนี้ตั้งใจจะมาหา พี่ก็เลยขอตามมาด้วย"

    ไอรีนปรายตาไปทางพี่ชายแวบหนึ่ง เห็นว่ากำลังมองตามเรือแจวลำเล็กล่องเชื่องช้าผ่านหน้า ศาลาท่าน้ำหลังนี้สร้างไว้ง่ายๆ มีเพียงหลังคากันแดดกันฝน และม้านั่งสองฝั่งเท่านั้น คุณกรานเป็นนายอำเภอ รู้จักชาวบ้านแถบนี้ดีแทบจะทุกคน รู้ว่าบางคนต้องแจวเรือไปไหนมาไหนไกลๆ จึงสร้างศาลาไว้เพื่อให้ได้มีที่หยุดพักร้อนพักเหนื่อยระหว่างทาง หรือถ้าฝนตกก็มีที่หลบฝนชั่วคราว

    "พี่จะกลับไปอยู่กรมตามเดิมหรือคะ เห็นคุณราม..." หญิงสาวหันกลับมาคุยกับเพื่อนพี่ชายอีกครั้งเมื่อเห็นว่าพี่ให้ความสนใจสิ่งอื่นมากกว่า สะดุดไปนิดหนึ่งเมื่อเอ่ยชื่อนั้น เพียงอึดใจเดียวก็ตั้งสติได้

    "…คุณรามเคยบอกว่าพี่ประพันธ์จะไปสอนที่โรงเรียนนายร้อย"

    ไอรีนหันมองพี่ชายอีกครั้ง เห็นอากัปกิริยาเหมือนอึดอัดใจเต็มที ก็แน่ใจว่าคงมีเรื่องอยากเจรจาด้วย แต่คงคิดว่ายังไม่เหมาะสมที่จะพูดต่อหน้าคนอื่น

    "ท่านสนับสนุนให้พี่ไปสอนที่โรงเรียนนายร้อย ท่านว่าที่นั่นก้าวหน้าได้เร็วกว่าประจำอยู่ที่กรม แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องไปรายงานตัวเพราะมาถึงก่อนกำหนด พี่จะอยู่ที่กรมไปอีกสักพักก่อน"

    นั่งฟังเพื่อนรักและน้องสาวคุยกันอยู่นานสองนาน สบโชคเอ่ยถามขึ้นบ้าง

    "นี่คุณกนกไปไหน"

    "น้ากนกไปวัดกับน้าลำไยค่ะ"

    วันนี้มีงานทำบุญที่วัดคลองชัน คุณกนกจึงไปช่วยทำอาหารตั้งแต่เช้า เมื่อครั้งอยู่บ้านริมคลองสาทรกับคุณหญิงละออนั้น หล่อนไม่ใคร่ได้ไปวัดบ่อยนัก หาใช่เพราะไม่มีโอกาส หากเป็นเพราะบ้านอยู่ห่างวัด และการเดินทางในพระนครสำหรับหล่อนแล้วเห็นว่าไม่สะดวกนัก จึงไม่เคยคิดอยากออกจากบ้านไปไหน พอมาอยู่กับน้องชายในชนบทเช่นนี้ และวัดก็อยู่ใกล้เพียงแค่นี้ หล่อนจึงไปวัดแทบจะทุกวัน ราวกับชดเชยที่ห่างเหินเสียหลายสิบปี

    "วัดไหน"

    "วัดคลองชันค่ะพี่โชค อยู่ใกล้ๆ นี่เอง ขามาพี่ก็คงผ่าน"

    บ้านเก่าแก่ประจำตระกูลซึ่งตกทอดมาถึงน้องชายคุณกนกหลังนี้อยู่ฝั่งใต้ของคลองหกวา เป็นเรือนไทยหลังคามุงกระเบื้องสองหลัง มีชานแล่นผ่านกลางเป็นตัวเชื่อม แบ่งกั้นไว้จากกันด้วยรั้วลูกกรงไม้เสี้ยมปลายแหลม คุณกรานกับคุณลำไยอยู่หลังซ้าย หลังทางขวาปิดไว้เพราะไม่มีคนอยู่อาศัยมานานปี จนคุณกนกและไอรีนมาถึง จึงเปิดขึ้นปัดฝุ่นทำความสะอาดกันอีกครั้งเพื่อให้คุณกนกได้อยู่อาศัยอย่างเป็นส่วนตัวต่อไป

    คุณกรานและคุณลำไยผู้ภรรยาไม่มีลูกด้วยกัน จึงรับเอาหลานชายวัยเด็กมาเลี้ยงไว้คนหนึ่ง แต่บ้านก็ยังเงียบเหงาในเวลากลางวันเมื่อพ่อบ้านไปทำงาน

    คุณกรานนั้นเช้าขึ้นก็ออกจากบ้านไปอำเภอ บางครั้งต้องเดินทางไปตรวจราชการไกลๆ คุณลำไยต้องอยู่บ้านตามลำพังกับหลาน หล่อนจึงดีใจเสียนักเมื่อพี่สะใภ้มาอยู่ด้วยอย่างนี้ และนับแต่คุณกนกมาถึง ทั้งคู่ก็ไปวัดกันแทบจะเรียกได้ว่าวันเว้นวันเลยทีเดียว

    "ที่นี่เงียบดีนะ" สบโชคมองไกลออกไปทางคุ้งน้ำ "นั่นบ้านใคร" พยักพเยิดไปทางบ้านอีกหลังซึ่งเห็นอยู่ไกลๆ

    "บ้านน้าอุดมค่ะ น้าอุดมเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นญาติน้ากนกเหมือนกันค่ะ"

    ชายหนุ่มผงกศีรษะรับรู้ ตัดสินใจเข้าเรื่องซึ่งได้รับมอบหมายมาหลังจากที่อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน

    "อยู่ที่นี่ขาดเหลืออะไรไหม"

    คนเป็นน้องพอเดาได้ว่าพี่ถามทำไม

    "คุณรามให้พี่โชคมาที่นี่เรื่องนี้หรอกหรือคะ"

    "ก็ใช่ ท่านให้ถามด้วยว่าเธอจะกลับบ้านวันนี้เลยไหม ถ้าจะกลับก็กลับพร้อมพี่เสียเลย"

    สบโชคตั้งใจแสดงให้เพื่อนได้เห็นด้วยว่า 'น้องเขย' ของตัวนั้นไม่ได้ทอดทิ้งภรรยาแต่อย่างใด แม้เธอจะจากบ้านมาอยู่ที่นี่เพียงสิบวัน ก็ยังไม่วายเป็นห่วง เขาเองก็รู้ จึงออกปากขอลางานเพื่อมาเยี่ยมน้อง รามไม่เพียงอนุญาตเท่านั้น ยังบอกให้เอาเรือเร็วที่บ้านมาด้วยเพื่อให้ไปกลับได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    "ยังไม่อยากกลับวันนี้เลยค่ะพี่โชค ขออยู่ต่ออีกสักสามสี่วันเถอะนะคะ" เสียงใสๆ เบาลง ยิ้มเจือจางที่มุมปาก "อ้อ! น้ากนกจะไม่กลับแล้วนะคะ ตกลงว่าน้าแกจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฝากพี่โชคบอกคุณรามด้วยนะคะ"

    "เห็นท่านก็บ่นๆ ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ท่านคงรู้ล่วงหน้าแล้ว"

    เงียบกันไปเป็นครู่ สาวน้อยตัดสินใจถามถึง

    "คุณรามเป็นอย่างไรบ้างคะ" สุ้มเสียงนั้นลังเล จะไม่ถามถึงเลยก็ใช่ที่ "ที่บ้านคงเรียบร้อยดีนะคะ"

    บางครั้งไอรีนก็อดเป็นห่วงมิได้ ว่าเมื่อคุณกนกและเธอไม่อยู่เสียแล้วใครจะดูแลความเป็นไปภายในบ้าน คุณวิไลไม่เคยสนใจอะไรนอกจากตัวเองอยู่แล้ว คุณรามเล่า จะเป็นเช่นไร จะมีใครดูแลเรื่องการกินการอยู่ของเขาไหม เรื่องเสื้อผ้าของเขานั้นเธอวางใจว่าสมบุญคงจัดการไปพลางๆ ก่อนได้ ไหนๆ เด็กหนุ่มก็เคยทำมาก่อน แม้จะไม่ค่อยเรียบร้อยนัก มีขาดมีเกิน ไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง ก็ยังดีกว่าไม่มีใครรับผิดชอบเสียเลย แต่เรื่องอาหารการกินเล่า คุณกนกก็ไม่อยู่แล้ว พยายามปลอบใจตัวเองอยู่เสมอว่านางนาบคงเข้าจัดการแทนได้

    ยังความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่อีกล่ะ หลายวันมานี่จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ว่าไปแล้วก็ช่างเป็นภาระที่หนักหน่วงเสียจริง เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่เคยแปลกใจเลยว่าเหตุใดคุณหญิงละออและคุณกนกจึงไปไหนไกลๆ หรือไปไหนหลายๆ วันพร้อมกันไม่ได้ ก็ในเมื่อบ้านหลังนั้นมีผู้คนให้รับผิดชอบมากมายออกอย่างนั้น

    "ท่านสบายดี บ่นกับพี่ทุกวันว่าเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเธออยู่ทางนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง"

    สาวน้อยหลบสายตาพี่ชาย เลี่ยงมองไปทางผืนน้ำแทน จริงๆ แล้วก็คิดถึง 'เขา' อยู่ทุกวัน อยู่กับใครก็ไม่อบอุ่นใจเท่าเมื่ออยู่กับเขา แม้ในเวลานี้ความสุขสงบแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว แต่หกเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ ใจสงบลงได้บ้างก็จริงอยู่ แต่ความสุขจริงๆ นั้นหาไม่ได้เอาเสียเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่