เหยื่อ

กระทู้สนทนา
=============
เหยื่อ
=============




              “บ้านหลังนั้นมีเด็กอยู่สามคน คืนวันศุกร์พ่อแม่ไปมักไปงานเลี้ยงบ่อยๆ และกลับดึก เงินทองของมีค่าอยู่ลิ้นชักตู้เสื้อผ้าในห้องนอนชั้นบน”


             เพราะคำพูดของป้าแช่มตอนเมา    ทำให้นพหัวโจกและโอมคนสนิท วัยรุ่นจอมขี้ยาตัวแสบของหมู่บ้านต้องมาด้อมๆมองๆ อยู่ในเงามืดข้างบ้านหลังใหญ่ราวกับเสือผอมแห้งหิวกระหายรอโอกาสเข้าขย้ำเหยื่อตัวน้อย เพราะมองเห็นช่องทางในการหาเงินทองเข้ากระเป๋าโดยไม่น่าจะยากเย็นอะไรนัก  ข้อมูลจากปากแช่มซึ่งมาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในบ้านหลังนี้คงไม่มีทางผิดพลาดคลาดเคลื่อนโดยเฉพาะเวลาเหล้าเข้าปาก

             บ่ายของวันนี้เอง ขณะที่วัยรุ่นกวนเมืองทั้งสองคนกำลังนั่งดื่มเหล้าขาวอยู่ในร้านเล็กๆปากซอย ป้าแช่มซึ่งพอคุ้นหน้าคุ้นตากันก็ถือวิสาสะหิ้วขวดเหล้ามีราคามานั่งคุยด้วยโดยบอกว่าฉลองกับการถูกหวย  มีหรือว่าคู่แสบจะปิดปัดขัดข้องเพราะจู่ๆก็ได้ดื่มเหล้าดีฟรีแบบขวดเหล้าหล่นทับ หลังจากนั้นความลับน่าสนใจบางอย่างก็เริ่มไหลหลั่งออกมาจากปากของป้าแช่มตามอัตราการเมา พร้อมกับการกำชับหนักหนาสาหัสว่าอย่าบอกใครเป็นอันขาด

             “ถ้าป้ารู้ที่เก็บเงินทำไมป้าไม่หยิบมาเสียเลย..”

             เจ้านพเอ่ยปากถามอย่างสงสัย เพราะถ้าเป็นเขาแล้วรับรองไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด ขนาดเงินทองอยู่ในกระเป๋าคนอื่นแท้ๆ เขากับเพื่อนยังแย่งชิงเอามาได้ต่อหน้าต่อตา แบบไม่เกรงใจ

             “พูดน่ะมันง่าย แต่ทำแบบนั้นข้าก็เหมือนทุบหม้อข้าวตัวเองสิวะ เพราะต้องเกาะบ้านหลังนี้ทำมาหากินไปอีกนาน ข้าก็แก่แล้วคงไปไหนไม่รอด ข้ามีทางออกที่เจ๋งๆ นะ แต่ต้องหารสาม”

             “หารสามอะไรป้า”

             “แกกับไอ้โอมเป็นคนแอบเข้าไปเอาเงินทองของมีค่ามาให้หมด แล้วมาแบ่งกันคนละส่วน พวกเอ็งว่าดีไหม”

             ฟังแล้วจอมแสบทั้งคู่พอจะเข้าใจว่าทำไมป้าแช่มไม่ขโมยทรัพย์สินแล้วหนีหายไปเสวยสุขอยู่ไกลแสนไกล ป้าแช่มอยู่ในหมู่บ้านนี้มานานจนกลายเป็นรากแก้วหยั่งลงไปมนมาตุภูมิ ลึกเกินกว่าจะขุดรากถอนโคนโอนย้ายที่ฝังรกรากใหม่ ในวัยค่อนคนการย้ายหนีไปอยู่บ้านอื่นเมืองไกลไม่คุ้นเคยต่อให้มีเงินทองมากมายก็ใช่ว่าจะมีความสุขได้  แต่แกก็คงต้องการอยู่ในถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างดีมีฐานะมากกว่าปัจจุบัน

             นั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการเงียบในยามค่ำคืน ไม่มีอะไรยากเย็นเลยเพราะสายลับแช่มได้รายงานความเป็นไปของผู้คนในบ้านและทางหนีทีไล่อย่างละเอียด  เด็กสามคนในบ้านประกอบด้วยน้องน้ำ เด็กหญิงวัยสิบขวบ น้องเนยผู้เป็นน้องสาววัยแปดขวบ และน้องน้อยวัยห้าขวบเด็กผู้ชายคนเดียวในบ้าน  พ่อแม่จะไปงานเลี้ยงทุกคืนวันศุกร์ ลูกกุญแจเปิดบ้านซ่อนอยู่ในกระถางต้นไม้ข้างประตู ที่เหลือก็รอเวลาให้ผู้คนตามตรอกซอกซอยเบาบางการสัญจรลงเท่านั้น

             แผนการทุกอย่างเป็นไปด้วยดี รถเก๋งคันงามไม่ได้จอดอยู่ในลานจอดรถหน้าตึกใหญ่ แสดงว่าข่าวกรองจากป้าแช่มเป็นจริง เพราะคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ สองสามีภรรยาพากันไปงานเลี้ยงประจำสัปดาห์กับผองเพื่อน ทิ้งลูกๆ อยู่กันในบ้านดูแลกันเอง

             และในกระถางต้นไม้ทั้งสองจอมแสบพบลูกกุญแจที่จะไขเข้าไปสู่ขุมทรัพย์ในบ้านวางซ่อนอยู่จริงๆ ที่เหลือก็รอโอกาสและเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น

             “พี่น้ำคะ ได้ยินเสียงอะไรไหม”

             เด็กหญิงผู้กำลังง่วนอยู่กับงานสมุดระบายสีเล่มสวยบนโต๊ะญี่ปุ่นในห้องห้องนั่งเล่นหันหน้าไปมองทางประตูบ้านอย่างสงสัยก่อนหันมาถามพี่สาวผู้กำลังนั่งดูทีวีบนโซฟา เนยส่ายหน้าตอบโดยไม่ละสายตาจากจอทีวี

             “ไม่มีอะไรหรอก หนังกำลังสนุกอย่ากวนใจพี่ได้ไหม”

             คำตอบแบบไม่ใส่ใจของพี่สาวทำให้ผู้เป็นน้องทำจมูกย่นใส่อย่างขัดใจ คุณพ่อกับคุณแม่ก็กำชับหนักหนาว่าให้ดูแลน้องให้ดี แต่ท่าทางพี่น้ำจะดูแลจอทีวีมากกว่าอย่างอื่น ส่วนน้องชายตัวเล็กสุดไม่ต้องพูดถึง นอนหลับพับคาเบาะตัวนุ่มเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้วแบบไม่สนใจใคร

             “ถ้าเป็นขโมยล่ะทำไงดีคะพี่”  หนูน้อยยังไม่ละความพยายามในการทำให้พี่สาวหันมาให้ความสนใจ แต่คำตอบก็เหมือนไม่มีอะไรจะคืบหน้าไปในทิศทางที่ดีเอาเสียเลย

             “มันเข้ามาไม่ได้หรอกพี่ล็อคประตูแล้ว เลิกกวนใจได้ไหม”

             คำตอบแบบแสดงอารมณ์ไม่ค่อยพอใจทำให้เด็กหญิงเลิกล้มความตั้งใจในการเรียกร้องหาคำตอบปลอบใจ เพราะพี่สาวดูเหมือนจะปีนเข้าไปในจอทีวีอย่างไม่สนใจโลกภายนอกเสียแล้ว  หนูน้อยวางดินสอสีลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นยืน มองซ้ายมองขวาเพื่อความแน่ใจในความสงบสุขภายในบ้านก่อนค่อยเดินตรงไปยังประตูอย่างแผ่วเบา เอาหูแนบบานประตูอย่างตั้งใจ

             จะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ข้างนอก เพราะเมื่อครู่ได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังพยายามไขกุญแจหน้าบ้านที่บังเอิญได้ยินโดยไม่ตั้งใจ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโจรใจร้ายกำลังแอบรอจังหวะอยู่หน้าประตูก็เป็นได้ และถ้าเป็นจริงอย่างนั้นจะเอาอะไรไปสู้กับโจรใจร้าย  จะโทรศัพท์บอกคุณพ่อคุณแม่เดี๋ยวท่านก็อารมณ์เสียกับบรรยากาศของงานเลี้ยง

             หลังจากเอียงหูฟังสักครู่หนึ่ง เด็กหญิงก็เปลี่ยนใจเดินกลับไปนั่งระบายสีในสมุดเล่มสวยตามเดิม คงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นในคืนนี้เพราะว่าเวลาที่ผ่านมาหลายปี ยังไม่เคยมีเรื่องราวน่ากลัวอะไรเกิดขึ้นในบ้านเลย

             “เอาไงดีพี่นพ”   โอมกระซิบถามลูกพี่ เพราะรอเวลามานานโขแล้ว หลังจากการลองไขกุญแจหน้าบ้านด้วยลูกกุญแจที่เก็บมาจากใต้กระถางดอกไม้พบว่าสามารถเปิดประตูได้จริงๆ ปัญหาเหลือแค่ว่าเด็กทั้งสามยังไม่พากันหลับนอนเท่านั้น

             “เปิดประตูเข้าไปเลย เอ็งค่อยๆเปิดนะ”

             คู่หูรุ่นพี่บอกเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก การทำความเลวบางคนก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก

             “ถ้าเด็กยังไม่นอนล่ะ”

             “เราก็ค่อยๆย่องขึ้นไปสิวะ พวกนั้นยังเด็ก คงไม่สนใจอะไรหรอก”

             “ถ้าเด็กๆ เห็นเราเข้าล่ะ”

             “ไม่เห็นยากอะไร ก็จับมัดมือมัดปาก ร้องมาก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมดเรื่อง เอ็งอย่าถามมากได้ไหม รำคาญ เตรียมตัวกันเถอะ แกเปิดประตู ข้าจะสังเกตการณ์”

             ฟังดูช่างเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน แต่เจ้าโอมเชื่อว่าเพื่อนรุ่นพี่ทำได้จริงๆกับความเป็นคนใจร้ายที่ไม่อายใครในโลก  เรื่องเดินหน้ามาถึงขนาดนี้แล้ว ความชั่วร้ายจะต้องดำเนินต่อไปตามหลักการที่ว่า “เดอะ ชั่ว มัส โก ออน”

             ดังนั้นในที่สุดหน้าบ้านก็ค่อยเปิดออกอย่างแช่มช้า

             ราวกับปีศาจร้ายกำลังแอบให้ความช่วยเหลือ เพราะท่ามกลางแสงไฟในห้องนั่งเล่น ทั้งสองจอมแสบพบว่าเด็กๆ ในห้องนั่งเล่นไม่มีใครสนใจผู้บุกรุกเลย พี่สาวคนโตตั้งใจดูทีวีอย่างไม่สนใจโลกภายนอก ส่วนอีกสองคนมองไม่เห็นเพราะโซฟาตัวใหญ่บังเอาไว้ แต่คาดว่าอาจนอนหลับไปแล้วก็ได้เพราะเวลานี้ก็ค่อนข้างดึกพอสมควร

             ทั้งสองย่อตัวลงเท่าที่จะทำได้เพื่อความปลอดภัยจากการถูกตรวจพบโดยบังเอิญ  เป้าหมายแท้จริงอยู่ชั้นบนซึ่งดูแล้วเส้นทางปลอดโปร่งโล่งสะดวก สำคัญว่าอย่าเผลอทำเสียงดังจนผิดสังเกตก็แล้วกัน

             นพเป็นคนนำทางด้วยอาการของทหารกล้ากำลังก้มตัวหลบวิถีการยิงของข้าศึก ค่อยพากันผ่านหลังโซฟาไปอย่างไร้สุ้มเสียง และพากันย่องขึ้นชั้นสองของตัวบ้านจนได้ เมื่อพ้นบันไดขึ้นมาก็พากันถอนใจโล่งอกเพราะพ้นมุมมองของเด็กๆได้แล้ว   ตามคำบอกเล่าของป้าแช่มทำให้การหาห้องนอนของสองสามีภรรยาผู้ร่ำรวยเป็นไปอย่างง่ายดาย กุญแจห้องก็ไม่ได้ล็อค เป็นไปตามที่ป้าแช่มพูดทุกประการ คงชะล่าใจคิดว่าไม่มีใครกล้าบุกรุกเข้ามาในบ้านเป็นแน่แท้

             พอเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนหรูหราได้ ทั้งสองก็ปราดไปยังตู้เสื้อผ้าและพบว่ามีลิ้นชักอยู่ด้านหลังของตู้อย่างที่ป้าแช่มบอกไว้ไม่มีผิด เจ้านพหัวโจกเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักที่ไม่ได้ล็อคกุญแจด้วยใจเต้นระทึก ความร่ำรวยรออยู่ข้างหน้านี่เอง

             และเป็นไปตามคำพูดของป้าแช่มทุกประการ ในลิ้นชักดังกล่าวมี แหวนเพชร สร้อยข้อมือ สร้อยคอน้ำหนักดีมีราคาอยู่หลายเส้นรวมทั้งเงินสดอยู่ปึกใหญ่ประเมินคร่าวๆแล้วมูลค่าคงหลายแสนบาท อะไรมันจะง่ายดายขนาดนี้

            “เรารวยแล้วล่ะ” นพกระซิบบอกคู่หูด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ เริ่มมองเห็นยาบ้าสารเสพติดทั้งหลายกำลังไหลร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวสายฝน เพราะภารกิจครั้งนี้ง่ายดายเหลือเกิน ต้องขอบคุณป้ามหาภัยผู้เป็นต้นคิด

             “หารสามแล้วคงได้หลายเงินเลยนะนี่”  เสียงของโอมหนุ่มรุ่นน้องแสดงอาการตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะในชีวิตการฉกชิงวิ่งราวจี้ปล้นก็ไม่เคยเห็นเงินทองมากอย่างนี้มาก่อน

             “หารสามอะไรกัน” หัวโจกว่าขณะเริ่มเก็บกวาดทรัพย์สินเข้ากระเป๋าหิ้วที่เตรียมมาด้วย”  ข้าต้องได้มากที่สุด เอ็งได้รองลงไป ส่วนป้าแช่มให้แกนิดหน่อยก็พอแล้ว”

             “อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะพี่”

             “ก็ข้าเป็นหัวหน้าทีมนี่หว่า ส่วนป้าแช่มยังไงแกก็ไม่กล้าโวยเพราะถ้าโวยแกก็จะโดนไปด้วย คนอย่างแกไม่มีทางทุบหม้อข้าวตัวเองหรอก เพราะยังไงแกก็อยู่ที่นี่ และถึงจะโวยวายจริงๆ เราก็เผ่นหนีไปกบดานที่อื่น สบายๆ มีเงินซะอย่าง”

             หัวโจกของงานจัดการวางแผนสรรพเสร็จเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีถ้าไม่พอขณะจะพากันย่องลงบันไดก็ได้ยินเสียงเด็กๆ พูดคุยกันเสียงดังอยู่ชั้นล่าง ทำให้กลายเป็นอุปสรรคในเส้นทางความร่ำรวยของตัวแสบทั้งสองทันที ลองชะโงกหน้ามองลงไปก็เห็นว่าเด็กหญิงสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่บริเวณหลังโซฟาซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการออกสู่โลกภายนอกพอดี

             “พากันตื่นมาหาหอกอะไร พวกเด็กเปรต”  เสียงลูกน้องคู่ใจสบถอย่างขุ่นเคือง แต่เจ้านพรีบยกนิ้วนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกว่าให้อยู่เงียบๆดูท่าทีไปก่อน  ทั้งสองตั้งใจจับใจความจากเสียงเด็กเหล่านั้นและเริ่มแน่ใจว่าพวกเด็กๆเริ่มสงสัยว่าอาจจะมีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านแล้ว เพราะท่าทางน้ำเสียงมีแววตื่นตัวอย่างสังเกตได้ชัด

             “ทำไงดีคะพี่น้ำ” เสียงของเด็กหญิงคนน้องปรึกษาผู้เป็นพี่ “หนูว่าต้องมีคนอยู่ในบ้านแน่เลย”

             ไม่มีเสียงตอบจากเด็กหญิงผู้พี่  สองจอมแสบมองหน้ากันเหมือนจะถามกันว่าไปทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ให้พวกเด็กรู้ตัว บางทีอาจจะเป็นประตูบ้านก็ได้  เพราะนพเองก็ไม่แน่ใจว่าได้ล็อดประตูไว้ให้เหมือนเดิมหรือเปล่า ถึงจะลืมกดล็อด พวกเด็กๆ ก็ไม่น่าจะรู้ นอกจากจะเดินไปตรวจดูเท่านั้น ว่าแต่เด็กๆจะมีความคิดความอ่านละเอียดรอบคอบขนาดนี้เชียวหรือ  ไม่น่าจะเป็นไปได้

             “เอ็งทำอะไรหล่นไว้หรือเปล่า”     นพหันไปถามคู่หูรุ่นน้องให้แน่ใจ

             “รับรองเลย ไม่มีอะไรหล่นแน่เพราะผมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย ว่าแต่พี่นพเถอะ”

             “เดี๋ยวมีเตะ คนอย่างข้าไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว”

             แน่นอนว่าผู้มีความเลวร้ายฉายแสงแรงร้อนอย่างเขาไม่มีทางพลาด การหลงลืมทิ้งหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุเป็นเรื่องของมือสมัครเล่นเท่านั้น
เสียงของพวกเด็กๆเงียบหายไปพักแล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงแจ๋วๆ แว่วมาจากก้องนั่งเล่นชั้นล่างถนัดชัดหูราวกับคนพูดจะจงใจให้ได้ยิน

             “คุณพ่อชา มีคนอยู่ในบ้านเราค่ะ กลับบ้านเร็วๆ นะคะ”

             สองโจรขี้ยาสะดุ้งเฮือก พากันชะโงกหน้ามองไปมองอย่างลืมตัว และพบว่าเด็กหญิงผู้เป็นพี่กำลังยืนโทรศัพท์อยู่ข้างโซฟาจริงๆ ไม่ได้เป็นการแกล้งอำกันเลยสักนิด แน่ล่ะ...เด็กก็คือเด็ก จะคิดอะไรแบบผู้ใหญ่คงเป็นไปไม่ได้

             “ทำไงดีล่ะพี่ พวกมันโทรเรียกพ่อแม่แล้ว”


          .
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่