เมื่อไทรอยด์เป็นพิษ ขึ้นตา...
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าไทรอยด์มาจากนักร้องสาวชื่อดัง ทาทา ยัง จากการตอบสัมภาษณ์ของเธอทำให้เข้าใจได้ว่าการรักษาโรคนี้ทำให้ อ้วน อ้วน และอ้วนขึ้น จนทำให้เธอเป็นมีอาการซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ว่าโรคนี้มีสาเหตุจากอะไรนั้นคงยังไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่ จขกท เองก็เช่นกัน
ทำไมถึงรู้ว่าเป็น ???
ทุกครั้งที่มีรู้ว่าใครสักคนป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ทำไมถึงรู้ว่าเป็น? มีอาการแรกเริ่มอย่างไร? ในกรณีของจขกท.นั้น มีอยู่วันหนึ่ง จขกท ก็ยืนช่วยแม่ขายของตามปกติ อยู่ๆก็มีลูกค้า(เป็นอาจารย์) มาทักว่า หนูๆ เป็นไทรอยด์รึป่าวจ้ะ ครูเห็นคอหนูบวมๆนะ ตามสัญชาตญาณ จขกท ก็เลยตอบไปว่า “ไม่มั้งคะ หนูแค่อ้วนค่ะ” ใครจะแช่งตัวเอง เนอะ อันที่จริงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร พอกลับถึงบ้าน จขกท ก็รีบกูเกิลดูทันทีว่าเรามีอาการตามนั้นรึเปล่า
1.คอบวมคล้ายคอพอก...มั่นใจว่าตัวเองคอตันเพราะอ้วน
2.มือสั่น/ใจสั่น …. ก็ไม่สั่นนิหว่า จะสั่นก็ตอนดื่มกาแฟนีแหละ
3.เหงื่อออกง่าย ขี้ร้อน … แน่สิ ก็พึ่งกลับมาจากแดนหิมะจะไม่ร้อนได้ไง แต่ถ้าอยู่ในห้องแอร์ก็อยู่ได้สบายมากนะ
4. อารมณ์เหวี่ยงวีน…ก็ปกติของสตรีมั้ย?
5. ทานเยอะหิวบ่อยแต่ผอม … ข้อนี้ตกไปตรงผอม เพราะ จขกท ยิ่งทานยิ่งอ้วน
6. ประจำเดือนมาไม่ปกติ…โอเคอันนี้เข้าประเด็นแต่ด้วยความมั่นใจว่าไม่มีความเสี่ยงท้องจึงปล่อยปะละเลยแถมหมอที่ตปท.ยังเคยให้เหตุผลว่าอาจเพราะไม่ชินอากาศ ปจด.จึงไม่มา
7.กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงคือ สตรีอายุ 30-50 ซึ่ง จขกท พึ่งจะเบญจเพสเองค่ะ….
จะเห็นว่า จขกท สามารถหาข้ออ้างมาแย้งได้ทุกข้อ จนแม่บอกว่า “ไปตรวจเลือดเห๊อะ!!!”
วันพบแพทย์
คุณหมอ : เป็นอะไรคะ?
เรา : “ไม่เป็นอะไรค่ะ มาขอเจาะเลือดตรวจไทรอยด์”
คุณหมอก็ทำหน้างงๆแล้วก็ซักประวัติคล้าย 7 ข้อด้านบน แถมข้อที่ 8. (เริ่มเกี่ยวกับตาแระ) ตามองเห็นปกติรึป่าว มีภาพซ้อนไหม ... คิดว่าจขกท.จะตอบว่าอะไร??? ก็ต้องตอบว่า “อ่อ ปกติค่ะ”
ส่วนเรื่องความตาโตก็ตอบแบบมั่นหน้าว่า ปกติตาโตโนบิ๊กอายอยู่แล้วค่ะ ขนาดไปซื้อคอนแทคเลนส์สายตาใส่ ใส่ได้แป๊ปเดียวยังหลุดเลยเพราะร้านแว่นตาบอกว่า
ตาหนูโค้งเกินเลนส์ตามท้องตลาด ใส่ได้สักพักจึงหลุด.....มั่นป้ะหละ 555
จากนั้นคุณหมอก็คลำคอดูเค้าก็บอกว่า บวมนิดหน่อยนะ อาจแค่คออักเสบเฉยๆ แล้วก็ให้ยื่นแขนสองข้างออกมาข้างหน้า (ท่าคล้ายผีกองกอยจีน)แล้วเอากระดาษ A4 วาง ปรากฎว่า กระดาษสั่นค๊าบบบ!!! คุณหมอจึงให้ไปเจาะเลือดแล้วนัดฟังผลวันรุ่งขึ้น….ถามว่านอนหลับไหม ตอบเลยว่า “ไม่” ก็คนมันตื่นเต้นอะ
วันฟังผลเลือด หมอตอบสั้นๆแบบสวยๆว่า “อืม เป็นไทรอยด์จริงๆด้วยอะ T3 T4 สูงเกิน Reference Range ไปมากเลย” T T
สถานการณ์นั้นก็ช็อกแป๊ปดิค๊าบ สรุปก็ต้องทานยายาวไปและตรวจเลือดทุกเดือน....บัดซบมาก
พอจะกลับบ้านก็ยังแวะไปถามหมอว่า “แล้วไทรอยด์ที่หนูเป็นนี่ Hyper หรือ Hypo คะ” คุณหมอก็ตอบว่า “HYPER ค่ะ” ก็ดูเหมาะกับนิสัย Hyper ของฉันดีนะ
พอกลับบ้านก็ Google อีกว่าจะทำไงกับชีวิตดี มีคนใน pantip นี่แหละบอกให้ออกกำลังกาย จขกท.จึงลงทุนไปซื้อเครื่องวิ่งมาเลย คิดแค่ว่า เอาวะ จะวิ่งให้หายป่วย จะวิ่งให้ไม่อ้วนมากไปกว่านี้เนื่องจากยาที่ต้องทานทุกวันทำให้อ้วน (คือชอบทาทานะแต่งานนี้ก็ไม่อยากเหมือนอะ)
กินก็ไดฺ้....สู้ตาย!! พอผ่านไป 4 เดือน ผลเลือดก็ดีขึ้นตามลำดับจนเดือนที่ 5 ตามันตกไป 1 ข้าง ตามภาพด้านล่าง ทีแรกคิดว่าหรือเราจะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนน้องชายก็เครียดหนัก จึงไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นไทรอยด์แบบตาโปนพอรักษาไทรอยด์คงที่ แรงดันหลังตาก็ลดลง ทำให้ลูกตากลับเข้าไป หนังตาก็เริ่มตก ลงมาที่เดิม
นั่นทำให้ จขกท รีบกลับบ้านแล้วไป Flash Back ชีวิตตัวเอง รื้อรูปภาพเก่าๆดู ปรากฎว่า เออหวะ ก่อนนี้ฉันเคยเป็น อาหมวยนี่คะ มาก่อน เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคเฉพาะทาง คุณหมออายุรกรรมท่านที่ไปพบก็บอกว่าไม่มีทางหาย...(ทำไมตอบคนไข้แบบนี้ก็ไม่ทราบนะ) ข้อมูลในอินเตอร์เนตก็มีไม่มาก จขกท.เองก็ทำใจให้อยู่ได้โดยที่ตาไม่เท่ากันไม่ได้!!! คุณหมอจึงทำเอกสารส่งตัวไปพบแพทย์แผนกจักษุที่ รพ.ราชวิถีเพื่อปรึกษาเรื่องเฉพาะทางต่อไป
ตาจงหายโปน
ขั้นตอนการหาหมอที่รพ.รัฐ ขึ้นชื่อว่าช้าและนานแต่ก็ทนค่ะ เริ่มแรกจะได้พบคุณหมอนศ.หรือที่เรียกว่า Resident ก่อน แล้วคุณหมอจึงพิจารณาส่งให้ไปรอคิวพบอาจารย์ที่เชี่ยวชาญโรคเฉพาะตาโปนอีกที เมื่อได้พบอาจารย์ ดิฉันก็ถามคุณหมอคำแรกเลยว่า หมอคะ หนูจะหายไหมคะ? ตาหนูอีกหนึ่งข้างจะหายโปนไหมคะ? แล้วคำตอบที่ได้คือ
หายค่ะ มันมีวิธีรักษา......(หากเป็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์คงมีเสียงแบบโลกสวยโลกเปลี่ยนประกอบความตาลุกวาวของฉัน)
คุณหมอก็อธิบายอะนาโตมีของข้างหลังตา สาเหตุของการโปนและวิธีการรักษาโดยช่วงแรกคุณหมอแนะนำให้ทานยารักษาไทรอยด์อีกสักพัก พร้อมหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาเพราะการที่ตาโปนทำให้ดวงตาสัมผัสกับอากาศภายนอกมากเป็นพิเศษอาจทำให้ตาแห้งได้ (ได้คำตอบของความตาโค้งแล้วนะร้านแว่นขา)
วิธีการรักษา แบ่งเป็น 3 วิธี ดังนี้
1.ฉายรังสี วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ตาโปนไม่เกิน 1 ปี โดยใช้รังสีที่มีความเข้มข้นต่ำ ไม่อันตรายต่อเนื้อเยื่อ (หมอบอก) ซึ่ง จขกท ก็มั่นใจว่าวิธีการนี้น่าจะได้ผล จึงจัดไป คือใช้รังสีต่ำ 10 วันติดกันเว้นเสาร์ อาทิตย์ แต่ แต่ แต่ ผลลัพธ์ ไม่เป็นตามคาดครับ ตาไม่หายโปน หนังตาไม่ลงเลย เสียใจ ร้องไห้
2.ทานยา Prednisolone เป็นยาสเตียรอยด์ ซึ่งตอนฟังอาจารย์ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าสเตียรอยด์คืออะไร แถมอาจารย์ก็แนะนำให้ไปกูเกิลหาข้อมูลเอง พอหาข้อมูลเท่านั้นแหละ พระเจ้า ผลข้างเคียงมันเยอะมาก มากเสียจนไม่คิดว่าจะทนได้ เอาไงดีหละ เหลือแค่สองทางเลือกแล้ว ว่าจะทานยาหรือผ่าตัด เอาวะ อดทนเอา ดังนั้น จขกท ก็เลือกทางนี้ ยานี้ทำให้ หิวบ่อย หน้าบวมมากๆ ตัวบวม ตัวเหลือง ปวดตามข้อมือข้อเท้า นิ้วมือ ปวดค่ะ ปวดมาก ปวดจนจะร้องไห้ แถมผมร่วงด้วย แต่สุดท้ายตาก็หายโปนนะคะ เฮ่อออออออ
3.ผ่าตัดเบ้าตา เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกตาอยู่ แต่ จขกท ไม่เอาค่ะ จขกท กลัว และอาจารย์หมอก็แนะนำให้เป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะไม่อยากให้เสียเนื้อเยื่อส่วนที่ดีไป
ภาพนี้เป็นภาพตาอัพเดทตามการรักษานะคะ
สถานการณ์ปัจจุบัน
ยังคงทานยา Prednisolone อยู่ค่ะ ยังคงมีอาการผมร่วง หน้าบวม สิวขึ้นสไตล์ Moon Face (จินตนาการว่าเป็นพระจันทร์จริงๆสไตล์นาซ่า กลมๆแบบมีหลุมบ่อที่ไม่ใช่พระจันทร์เหลืองๆสวยๆอะคะ) แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปนะคะ ต้องอดทนค่ะ ตอนนี้ดิฉันใช้วิธีออกกำลังกายสู้นะคะ คิดเอาเองว่าพอเหงื่อออกอาจจะละลายพิษยาออกไปบ้าง เผื่อน้ำหนักที่ขึ้นมา 15 โลจะลงไปบ้าง ไว้ถ้าวันหนึ่งดิฉันประสบความสำเร็จในการรักษาตัวเองจะมารีวิวนะคะ
หากจะให้ย้อนกลับไปว่าทำไมป่วย โรคนี้ ขอบอกเลยว่า จขกท เป็นคนชอบทาน ไม่ออกกำลังกาย ทำงานเยอะ เรียนเยอะ ติดละครและนิยายแบบข้ามวันข้ามคืนไม่หลับไม่นอน พักผ่อนน้อย ดังนั้นหวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านนะคะ สำหรับ
1. คนที่เป็นโรคแบบดิฉันแต่ไม่มีข้อมูลใดใดในอินเตอร์เนตเลย คุณจะได้สบายใจว่ามันรักษาได้
2. คนที่ต้องทานยาสเตียรอยด์ทุกท่าน อยากให้คุณสู้กับมันนะคะ ใจล้วนๆค่ะ ยานี่มันทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้จริงๆนะ
3. คนที่สุขภาพดีอยู่แล้ว อยากให้คุณรักษามันไว้ให้ดีนะคะ ร่างกายเราบางทีก็เบาะบางกว่าจิตใจอีกค่ะ
ข้อมูลด้านต้นเป็นข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัว หากมีข้อสงสัยใดๆ ไปโรงพยาบาลแล้วพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านนะคะ
ไทรอยด์เป็นพิษขึ้นตา-ตาโปน
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าไทรอยด์มาจากนักร้องสาวชื่อดัง ทาทา ยัง จากการตอบสัมภาษณ์ของเธอทำให้เข้าใจได้ว่าการรักษาโรคนี้ทำให้ อ้วน อ้วน และอ้วนขึ้น จนทำให้เธอเป็นมีอาการซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ว่าโรคนี้มีสาเหตุจากอะไรนั้นคงยังไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่ จขกท เองก็เช่นกัน
ทำไมถึงรู้ว่าเป็น ???
ทุกครั้งที่มีรู้ว่าใครสักคนป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ทำไมถึงรู้ว่าเป็น? มีอาการแรกเริ่มอย่างไร? ในกรณีของจขกท.นั้น มีอยู่วันหนึ่ง จขกท ก็ยืนช่วยแม่ขายของตามปกติ อยู่ๆก็มีลูกค้า(เป็นอาจารย์) มาทักว่า หนูๆ เป็นไทรอยด์รึป่าวจ้ะ ครูเห็นคอหนูบวมๆนะ ตามสัญชาตญาณ จขกท ก็เลยตอบไปว่า “ไม่มั้งคะ หนูแค่อ้วนค่ะ” ใครจะแช่งตัวเอง เนอะ อันที่จริงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร พอกลับถึงบ้าน จขกท ก็รีบกูเกิลดูทันทีว่าเรามีอาการตามนั้นรึเปล่า
1.คอบวมคล้ายคอพอก...มั่นใจว่าตัวเองคอตันเพราะอ้วน
2.มือสั่น/ใจสั่น …. ก็ไม่สั่นนิหว่า จะสั่นก็ตอนดื่มกาแฟนีแหละ
3.เหงื่อออกง่าย ขี้ร้อน … แน่สิ ก็พึ่งกลับมาจากแดนหิมะจะไม่ร้อนได้ไง แต่ถ้าอยู่ในห้องแอร์ก็อยู่ได้สบายมากนะ
4. อารมณ์เหวี่ยงวีน…ก็ปกติของสตรีมั้ย?
5. ทานเยอะหิวบ่อยแต่ผอม … ข้อนี้ตกไปตรงผอม เพราะ จขกท ยิ่งทานยิ่งอ้วน
6. ประจำเดือนมาไม่ปกติ…โอเคอันนี้เข้าประเด็นแต่ด้วยความมั่นใจว่าไม่มีความเสี่ยงท้องจึงปล่อยปะละเลยแถมหมอที่ตปท.ยังเคยให้เหตุผลว่าอาจเพราะไม่ชินอากาศ ปจด.จึงไม่มา
7.กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงคือ สตรีอายุ 30-50 ซึ่ง จขกท พึ่งจะเบญจเพสเองค่ะ….
จะเห็นว่า จขกท สามารถหาข้ออ้างมาแย้งได้ทุกข้อ จนแม่บอกว่า “ไปตรวจเลือดเห๊อะ!!!”
วันพบแพทย์
คุณหมอ : เป็นอะไรคะ?
เรา : “ไม่เป็นอะไรค่ะ มาขอเจาะเลือดตรวจไทรอยด์”
คุณหมอก็ทำหน้างงๆแล้วก็ซักประวัติคล้าย 7 ข้อด้านบน แถมข้อที่ 8. (เริ่มเกี่ยวกับตาแระ) ตามองเห็นปกติรึป่าว มีภาพซ้อนไหม ... คิดว่าจขกท.จะตอบว่าอะไร??? ก็ต้องตอบว่า “อ่อ ปกติค่ะ”
ส่วนเรื่องความตาโตก็ตอบแบบมั่นหน้าว่า ปกติตาโตโนบิ๊กอายอยู่แล้วค่ะ ขนาดไปซื้อคอนแทคเลนส์สายตาใส่ ใส่ได้แป๊ปเดียวยังหลุดเลยเพราะร้านแว่นตาบอกว่า ตาหนูโค้งเกินเลนส์ตามท้องตลาด ใส่ได้สักพักจึงหลุด.....มั่นป้ะหละ 555
จากนั้นคุณหมอก็คลำคอดูเค้าก็บอกว่า บวมนิดหน่อยนะ อาจแค่คออักเสบเฉยๆ แล้วก็ให้ยื่นแขนสองข้างออกมาข้างหน้า (ท่าคล้ายผีกองกอยจีน)แล้วเอากระดาษ A4 วาง ปรากฎว่า กระดาษสั่นค๊าบบบ!!! คุณหมอจึงให้ไปเจาะเลือดแล้วนัดฟังผลวันรุ่งขึ้น….ถามว่านอนหลับไหม ตอบเลยว่า “ไม่” ก็คนมันตื่นเต้นอะ
วันฟังผลเลือด หมอตอบสั้นๆแบบสวยๆว่า “อืม เป็นไทรอยด์จริงๆด้วยอะ T3 T4 สูงเกิน Reference Range ไปมากเลย” T T
สถานการณ์นั้นก็ช็อกแป๊ปดิค๊าบ สรุปก็ต้องทานยายาวไปและตรวจเลือดทุกเดือน....บัดซบมาก
พอจะกลับบ้านก็ยังแวะไปถามหมอว่า “แล้วไทรอยด์ที่หนูเป็นนี่ Hyper หรือ Hypo คะ” คุณหมอก็ตอบว่า “HYPER ค่ะ” ก็ดูเหมาะกับนิสัย Hyper ของฉันดีนะ
พอกลับบ้านก็ Google อีกว่าจะทำไงกับชีวิตดี มีคนใน pantip นี่แหละบอกให้ออกกำลังกาย จขกท.จึงลงทุนไปซื้อเครื่องวิ่งมาเลย คิดแค่ว่า เอาวะ จะวิ่งให้หายป่วย จะวิ่งให้ไม่อ้วนมากไปกว่านี้เนื่องจากยาที่ต้องทานทุกวันทำให้อ้วน (คือชอบทาทานะแต่งานนี้ก็ไม่อยากเหมือนอะ)
กินก็ไดฺ้....สู้ตาย!! พอผ่านไป 4 เดือน ผลเลือดก็ดีขึ้นตามลำดับจนเดือนที่ 5 ตามันตกไป 1 ข้าง ตามภาพด้านล่าง ทีแรกคิดว่าหรือเราจะเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนน้องชายก็เครียดหนัก จึงไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นไทรอยด์แบบตาโปนพอรักษาไทรอยด์คงที่ แรงดันหลังตาก็ลดลง ทำให้ลูกตากลับเข้าไป หนังตาก็เริ่มตก ลงมาที่เดิม
นั่นทำให้ จขกท รีบกลับบ้านแล้วไป Flash Back ชีวิตตัวเอง รื้อรูปภาพเก่าๆดู ปรากฎว่า เออหวะ ก่อนนี้ฉันเคยเป็น อาหมวยนี่คะ มาก่อน เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคเฉพาะทาง คุณหมออายุรกรรมท่านที่ไปพบก็บอกว่าไม่มีทางหาย...(ทำไมตอบคนไข้แบบนี้ก็ไม่ทราบนะ) ข้อมูลในอินเตอร์เนตก็มีไม่มาก จขกท.เองก็ทำใจให้อยู่ได้โดยที่ตาไม่เท่ากันไม่ได้!!! คุณหมอจึงทำเอกสารส่งตัวไปพบแพทย์แผนกจักษุที่ รพ.ราชวิถีเพื่อปรึกษาเรื่องเฉพาะทางต่อไป
ตาจงหายโปน
ขั้นตอนการหาหมอที่รพ.รัฐ ขึ้นชื่อว่าช้าและนานแต่ก็ทนค่ะ เริ่มแรกจะได้พบคุณหมอนศ.หรือที่เรียกว่า Resident ก่อน แล้วคุณหมอจึงพิจารณาส่งให้ไปรอคิวพบอาจารย์ที่เชี่ยวชาญโรคเฉพาะตาโปนอีกที เมื่อได้พบอาจารย์ ดิฉันก็ถามคุณหมอคำแรกเลยว่า หมอคะ หนูจะหายไหมคะ? ตาหนูอีกหนึ่งข้างจะหายโปนไหมคะ? แล้วคำตอบที่ได้คือ หายค่ะ มันมีวิธีรักษา......(หากเป็นในการ์ตูนหรือภาพยนตร์คงมีเสียงแบบโลกสวยโลกเปลี่ยนประกอบความตาลุกวาวของฉัน)
คุณหมอก็อธิบายอะนาโตมีของข้างหลังตา สาเหตุของการโปนและวิธีการรักษาโดยช่วงแรกคุณหมอแนะนำให้ทานยารักษาไทรอยด์อีกสักพัก พร้อมหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาเพราะการที่ตาโปนทำให้ดวงตาสัมผัสกับอากาศภายนอกมากเป็นพิเศษอาจทำให้ตาแห้งได้ (ได้คำตอบของความตาโค้งแล้วนะร้านแว่นขา)
วิธีการรักษา แบ่งเป็น 3 วิธี ดังนี้
1.ฉายรังสี วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ตาโปนไม่เกิน 1 ปี โดยใช้รังสีที่มีความเข้มข้นต่ำ ไม่อันตรายต่อเนื้อเยื่อ (หมอบอก) ซึ่ง จขกท ก็มั่นใจว่าวิธีการนี้น่าจะได้ผล จึงจัดไป คือใช้รังสีต่ำ 10 วันติดกันเว้นเสาร์ อาทิตย์ แต่ แต่ แต่ ผลลัพธ์ ไม่เป็นตามคาดครับ ตาไม่หายโปน หนังตาไม่ลงเลย เสียใจ ร้องไห้
2.ทานยา Prednisolone เป็นยาสเตียรอยด์ ซึ่งตอนฟังอาจารย์ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าสเตียรอยด์คืออะไร แถมอาจารย์ก็แนะนำให้ไปกูเกิลหาข้อมูลเอง พอหาข้อมูลเท่านั้นแหละ พระเจ้า ผลข้างเคียงมันเยอะมาก มากเสียจนไม่คิดว่าจะทนได้ เอาไงดีหละ เหลือแค่สองทางเลือกแล้ว ว่าจะทานยาหรือผ่าตัด เอาวะ อดทนเอา ดังนั้น จขกท ก็เลือกทางนี้ ยานี้ทำให้ หิวบ่อย หน้าบวมมากๆ ตัวบวม ตัวเหลือง ปวดตามข้อมือข้อเท้า นิ้วมือ ปวดค่ะ ปวดมาก ปวดจนจะร้องไห้ แถมผมร่วงด้วย แต่สุดท้ายตาก็หายโปนนะคะ เฮ่อออออออ
3.ผ่าตัดเบ้าตา เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกตาอยู่ แต่ จขกท ไม่เอาค่ะ จขกท กลัว และอาจารย์หมอก็แนะนำให้เป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะไม่อยากให้เสียเนื้อเยื่อส่วนที่ดีไป
ภาพนี้เป็นภาพตาอัพเดทตามการรักษานะคะ
สถานการณ์ปัจจุบัน
ยังคงทานยา Prednisolone อยู่ค่ะ ยังคงมีอาการผมร่วง หน้าบวม สิวขึ้นสไตล์ Moon Face (จินตนาการว่าเป็นพระจันทร์จริงๆสไตล์นาซ่า กลมๆแบบมีหลุมบ่อที่ไม่ใช่พระจันทร์เหลืองๆสวยๆอะคะ) แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปนะคะ ต้องอดทนค่ะ ตอนนี้ดิฉันใช้วิธีออกกำลังกายสู้นะคะ คิดเอาเองว่าพอเหงื่อออกอาจจะละลายพิษยาออกไปบ้าง เผื่อน้ำหนักที่ขึ้นมา 15 โลจะลงไปบ้าง ไว้ถ้าวันหนึ่งดิฉันประสบความสำเร็จในการรักษาตัวเองจะมารีวิวนะคะ
หากจะให้ย้อนกลับไปว่าทำไมป่วย โรคนี้ ขอบอกเลยว่า จขกท เป็นคนชอบทาน ไม่ออกกำลังกาย ทำงานเยอะ เรียนเยอะ ติดละครและนิยายแบบข้ามวันข้ามคืนไม่หลับไม่นอน พักผ่อนน้อย ดังนั้นหวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านนะคะ สำหรับ
1. คนที่เป็นโรคแบบดิฉันแต่ไม่มีข้อมูลใดใดในอินเตอร์เนตเลย คุณจะได้สบายใจว่ามันรักษาได้
2. คนที่ต้องทานยาสเตียรอยด์ทุกท่าน อยากให้คุณสู้กับมันนะคะ ใจล้วนๆค่ะ ยานี่มันทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้จริงๆนะ
3. คนที่สุขภาพดีอยู่แล้ว อยากให้คุณรักษามันไว้ให้ดีนะคะ ร่างกายเราบางทีก็เบาะบางกว่าจิตใจอีกค่ะ
ข้อมูลด้านต้นเป็นข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัว หากมีข้อสงสัยใดๆ ไปโรงพยาบาลแล้วพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านนะคะ