คนนี้เค้าเอง เค้าเคยป่วยเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ตาขวามีอาการโปนขึ้น
อาการที่พบในตัวของเรา เริ่มแรกมีอาการปวดหัวเหมือนไมเกรนเป็นติดต่อกันอยู่3-4วัน
หลังจากนั้นตาขวาก็โปนขึ้น แต่! เรายังคิดว่าเกิดจากการติดขนตาปลอมเราเอง ก็กินยาแก้อักเสบ ลดบวม รักษาตามอาการ
หนึ่งเดือนถัดมา ยังไม่หายคิดว่าน่าจะไม่ใช่กาวติดขนตาปลอมและ
ตัดสินใจไปพบหมอตา รพ.หนึ่ง หมอให้ไปเจาะเลือดตรวจค่าไทรอยด์
ยอมรับตอนนั้นปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็น ฉันแข็งแรงไม่เป็นอะไร
หนึ่งสัปดาห์ผลเลือดออก ยินดีด้วยค่ะ คุณเป็นไทรอยด์ ตอนนั้นไม่ยอมรับความจริง
ปฏิเสธทุกอย่าง แล้วก็ใช้ชีวิตปกติ โดยที่ไม่ติดต่อรักษาแต่อย่างใด
จนอาการหนักขึ้นถึงขั้นไม่สามารถลุกจากที่นอนได้ เพราะขาไม่มีแรงลุก
แต่ก่อนหน้านี้ก็มีอาการบ้างแล้วคือเดินๆอยู่ขาก็ไม่มีแรงเดิน
จึงตัดสินใจไปหาหมอดีกว่า (ควรจะไปตั้งแต่ตาโปนแล้วป่ะค่ะ)
หลังจากไปพบแพทย์ ก็ให้ไปเจาะเลือด เข้า CT Scan, x-ray จนผลสรุปออกมาว่า
คุณเป็นไทรอยด์วันนั้นในใจก็ยังไม่ยอมรับ แต่ร่างกายเป็นหนักขนาดนั้นแล้วจะหนียังไงก็ไม่พ้น
ตอนนี้ที่ไปโรงพยาบาลเราไปเองคนเดียว หลังจากที่ขามีแรงแล้วค่ะ แต่ไม่ได้มีแรงมากที่จะเดินแบบปกติ
ตอนที่อยู่รพ. แอบร้องไห้ เสียใจที่ทำไมไม่รีบรักษาตั้งนานแล้ว โกรธตัวเองทำไมถึงทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้
เริ่มการรักษากินยารักษาเริ่มจาก 2-3 เม็ดต่อวัน (สลับไปมาช่วงนั้นไปพบหมอทุกเดือน) และยาลดใจสั่น 1 เม็ด
กินแบบนี้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ส่วนที่ตาโปนก็มีน้ำตาเทียมหยอด และยาให้ตาปิดสนิทในตอนกลางคืน
(แต่เวลาเราหลับ ตาปิดสนิทเลยไม่ได้ใช้ค่ะ)
ร่างกายตอบรับกับยาดีมาก มากจนตัวบวมยา ดังรูปที่เห็นกันค่ะ
ยอมรับว่าเจอมรสุมชีวิตหลายอย่าง หลายๆเรื่อง พร้อมกัน ป่วยไทรอยด์ เรื่องงาน เรื่องครอบครัว ความรัก ทุกอย่าง
ต้องค่อยๆตัดสินใจเองทุกเรื่อง แต่ก็มีปรึกษาเพื่อน ยอมรับเลยว่าเพื่อนสำคัญกับเรามาก สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจได้ดีเลย
สำคัญไม่เคยทิ้งเราไปไหน ให้ทั้งกำลังใจ และพยายามให้เรามองอีกมุมที่เราไม่เคยมอง
แต่ทุกเรื่องเพื่อนเราจะเคารพการตัดสินใจของเราเองทุกครั้ง
ขอบคุณเรื่องร้ายๆที่เข้ามา แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนที่ดีอยู่ในชีวิต
ผู้ป่วยไทรอยด์สำหรับเรา เรื่องเครียดน่าจะเกี่ยวกับตัวไทรอยด์
ช่วงนั้นเราพอรู้ปัญหาว่ามันเกี่ยวกับความเครียด จึงกำจัดมันด้วย
วิธีอ่านหนังสือธรรมะ พยายามมองโลกอีกแบบ คือเค้าอาจจะมีความจำเป็นบ้างอย่างที่เค้าต้องทำเพื่อเอาชีวิตรอดก็ได้
และอีกอย่างที่อยากจะบอก คือช่วงที่ตาเราโปนหนักๆ มีแต่คนมองแบบไม่โอเค สายตาแบบไม่โอเค
ที่หนักกว่านั้น มีคำพูดถากถาง เสียดสี ที่มันหนักมากจริงๆ
แค่ลำพัง เราป่วยก็พอแล้วไหม ยังต้องเจอกับคนแบบนี้อีก แต่เราก็พยายามไม่เก็บมาคิดนะ
แต่แอบน้อยใจว่า ไม่ให้กำลังใจไม่ว่า แต่อย่ามาพูดแบบนี้กับเรา
คนที่ให้กำลังใจคนแรกคือตัวเราเองก่อนนะ ก่อนที่จะขอจากใคร เพราะหากเรายังไม่เชื่อใจตัวเอง
และยังไม่ให้กำลังใจตัวเอง จะรอรับอย่างเดียวก็คงไม่หายสักที
หลังจากที่เรื่องเครียดต่างๆ เริ่มดีขึ้น ก็ส่งให้ผลเลือดดีขึ้น
ผ่านมาหนึ่งปีลดจำนวนยาเหลือ 1 เม็ด ยาลดอาการใจสั่นกินเมื่อมีอาการ ผลเลือดดีขึ้นตามลำดับนะคะ
เมื่อทานยามาประมาณปีครึ่งผลเลือดเป็นปกติแล้ว เย้ๆ จะไม่ต้องกินยาแล้ว
คุณหมอให้ลดยาวันละครึ่งเม็ด และ 3 เดือนถัดมาก็เหลือวันเว้นวัน หากผลเลือดยังเป็นปกติแบบนี้อาจจะให้หยุดยา
และแล้ววันฟังผลก็มาถึง ทาด้า... ผลเลือดมันกลับตีขึ้นมาค่ะ ค่าไทรอยด์กลับขึ้นมาเหมือนเดิม
ต้องกลับไปกินยาวันละ 2 เม็ดเหมือนเดิม และคุณหมอให้กลับไปตัดสินใจว่าจะกลืนแร่เพื่อรักษาหรือจะทานยาต่อไป
ยอมรับว่าตอนนี้เครียดมาก ตัดสินใจไม่ถูก เสียใจเพราะทานยาต่อเนื่องมาตลอด ไม่เคยลืมกิน ตั้งใจกับการรักษามาก
และมีความเชื่อมาตลอดว่าฉันต้องหาย ร่างกายฉันต้องแข็งแรง
แอบบร้องไห้เสียใจ ที่เราพยายามแล้ว ทำไมไม่ดีขึ้นสักที แล้วก็เครียดว่าจะตัดสินใจรักษาวิธีไหนดี
ทั้งๆทีวิธีการกลืนแร่ เป็นวิธีที่เราอยากรักษามากที่สุด แต่สุดท้ายกลับมากลัวการรักษาด้วยวิธีนี้
กลัวอาจจะมีผลกระทบกับตา
กลับมาตัดสินใจประมาณหนึ่งเดือนได้คำตอบว่า จะรักษาโดยการกลืนแร่
(บอกก่อนว่าก่อนหน้าที่จะกลืนแร่มีการปรึกษาคุณหมอตาแล้วว่าจะมีผลกระทบกับตาไหม คุณหมอแจ้งว่าไม่มีค่ะ
และให้ทานยาสเตียรอยด์ หลังจากกลืนแร่ไปแล้ว เพื่อป้องกันตาไม่ให้ผลกระทบกับตา
เพราะเป็นไปได้ว่าตาอาจจะโปนขึ้น หรือหายโปน )
หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ยอมรับยิ่งหาเยอะยิ่งทำให้เครียดหนักกว่าเดิม แนะนำนะคะ พยายามอย่าหาข้อมูลเอง
มีอะไรสงสัยให้ถามคุณหมอที่รักษาดีกว่า จดไว้เลยค่ะ ว่าต้องการถามอะไรบ้าง
หลังจากตัดสินใจกลืนแร่เพื่อรักษา ขั้นตอนแรก งดอาหารที่ปรุงจากเกลือไอโอดีน และอาหารทะเลประมาณ 1 สัปดาห์
เพื่อตรวจวัดค่าว่าต้องใช้แร่ปริมาณเท่าไรเพื่อรักษาค่ะ ให้พอดีกับค่าไทรอยด์ที่เราเป็นอยู่
สำคัญนะคะ แนะนำว่าให้ปฏิบัติตามที่คุณหมอแจ้งอย่างเคร่งครัด
วันกลืนแร่ ช่วงเช้าวัดค่าที่ต่อมไทรอยด์ว่าต้องใช้ยาปริมาณเท่าไร ต้องงดอาหารก่อนวัดนะคะ
หลังจากวัดเรียบร้อยก็รอยา ทานข้าวได้ปกตินะ
ตอนกลืนแร่ จะมีห้องแยกซึ่งเราจะต้องเปิดขวดยาเพื่อกินเอง และอยู่ในห้องคนเดียว
ยาเป็นแคปซูลธรรมดา แต่ขวดที่ใส่มาคือป้องกันไม่ให้แผ่ไปถึงคนอื่น
( รายละเอียดตรงนี้ขอข้ามนะคะเพราะทราบแค่ว่าไม่ให้แผ่กระจายเท่านั้น
อาจจะส่งผลอะไรบางอย่าง ยิ่งผู้สูงอายุ และคนท้องนี้ห้ามเข้าใกล้เลย )
ลักษณะเหมือนกินยาหนึ่งเม็ดปกติ กินเสร็จก็กลับบ้านได้เลยค่ะ ไม่มีอาการใดๆ
หลังจากกลืนแล้ว ช่วงวันสองวันแรกจะเหนื่อยง่าย อยากนอนอย่างเดียว พักอยู่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์
หลังจากกลืนแล้ว เราต้องแยกอยู่คนเดียวกับคนในบ้านนะคะ
กิน นอน ต้องใช้เพียงแค่คนเดียว (อาทิเช่น เสื้อผ้า ช้อนจานชามที่ใช้ แต่ในส่วนของเรา
คุณหมอบอกว่าเราได้รับแร่ที่กลืนในปริมาณที่น้อยมากๆ เลยไม่จำเป็นต้องอยู่นานเหมือนกับคนที่ได้รับปริมาณมากๆ
เพราะบางรายอาจจะต้องอยู่ห่างประมาณ2-3 สัปดาห์ แต่เราคุณหมอแจ้ง ประมาณ 2-3 วันแรกเท่านั้นค่ะ )
สิ่งที่คุณหมอให้คำแนะนำมาว่าควรอยู่ห่างจากผู้สูงอายุ คนท้อง และดื่มน้ำเยอะๆๆค่ะ
เพิ่มเติมค่ะ ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่ากลืนแร่แล้ว เราจะไปกินอาหารปกติ
แต่ ยังคงงดที่ปรุงจากเกลือไอโอดีน และอาหารทะเลต่ออีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ค่ะ
อาการหลังจากกลืนแร่แล้วช่วงแรกจะเหนื่อยง่าย แต่ผมไม่ร่วงนะคะ หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ
ร่างกายเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
จนถึงปัจจุบัน ผลเลือดเป็นปกติแล้วค่ะ 10 เดือนแล้วนะคะหลังจากกลืนแร่
สิ่งที่อยากจะแนะนำ เชื่อใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่าต้องหาย ทุกโรคผู้ป่วยต้องการกำลังใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิด
สำคัญมาก มากมากจริงจริง เอากำลังใจจากเราไปนะ เราเชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านที่ป่วยด้วยโรคนี้ และโรคอื่นๆ หรือมีญาติที่ป่วยทุกโรค
หากเชื่อใจตัวเองว่าจะหาย ยังไงก็ต้องหาย รักตัวเองให้มากมากนะคะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ อาจจะช่วยได้ไม่มาก แต่หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษา
สอบถามไว้ได้นะคะ
ส่วนเรื่องน้ำหนักตอนเป็นไทรอยด์ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 80 กก. ด้วย แต่ดูจากบันทึกที่ไปพบหมอ
สูงสุด 75 กก.มีข้อมูลอ้างอิงเลยนับจากอันนั้นเนอะ
ปัจจุบันอยู่ที่ 55 กก. ค่ะ (ขออนุญาตชี้แจงว่าที่อ้วน ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีผลมาจากยา
และการกินของตัวเราเอง
เพราะน้ำหนักก่อนหน้าที่จะพบว่าเป็นไทรอยด์ น่าจะไม่เกิน 58 กก.ค่ะ )
รูปเราปัจจุบัน
อวดอีกรูปนะคะ กับเพื่อนที่ช่วยกันลดน้ำหนักค่ะ
ที่น้ำหนักลดลงมา ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเพราะหยุดทานยารักษา และออกกำลังกาย
พร้อมปรับเปลี่ยนการกินค่ะ คนเป็นไทรอยด์ก็สามารถลดน้ำหนักได้นะคะ เพราะเราอิงข้อมูลจากตัวเราเอง
ควบคุมอาหารการกินช่วยได้เยอะค่ะ เพราะเรามัวแต่โทษที่ไทรอยด์ลืมมองไปว่า
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมันเกิดจากการกินของเราล้วนๆ ส่วนวิธีการกินก็มีหลายโหมดค่ะ
ที่เรานำมาใช้กับตัวเอง มีวิธีไม่กินแป้ง ไม่กินอาหารรสจัด ไม่กินข้าว ไม่กินขนมซอง ขนมหวาน
รวมถึงน้ำอัดลม และน้ำหวานทุกชนิด กินแต่ไก่กับไข่ ไม่กินข้าวเย็น ซึ่งบ้างวิธีก็เป็นวิธีที่ผิด ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง
แต่น้ำหนักมันลด ก็จำเป็นต้องใช้ ซึ่งปัจจุบันค้นพบว่าการทานอาหารครบทุกมื้อ และทานทุกอย่าง
แต่มีสติกับมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ ยกตัวอย่างเวลาเรากินขนมเราจะกินพออร่อย ไม่ใช่ซื้อมาแบบเยอะๆแล้วกินมันทั้งหมด
( แต่ถ้าอันไหนอร่อยถูกใจเราก็กินหมดนะ 555 ) ส่วนไอศกรีม นี่เราไม่เคยชนะมันได้เลย
ส่วนวิธีออกกำลังกาย มี T25 , เต้นแอโรบิค , โยคะ , และก็วิ่ง เราว่าวิ่งเป็นวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราตอนนี้
วันอาทิตย์ จะเป็นฮาฟแรกของเรา มีความตื่นเต้นมาก แค่อยากเอาชนะใจตัวเอง
สุดท้ายนี้ อยากบอกทั้งคนที่ผู้ป่วยทุกโรคและไม่ได้คนที่ไม่มีโรค อยากให้รักตัวเองให้มากๆ
อย่าใช้ตัวเองเปลือง ป่วยต้องรีบรักษา อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ไม่พยายามทำอะไร
อย่างคิดว่าวันนี้ฉันไม่ได้ป่วย ฉันทำอะไรกับร่างกายก็ได้ เพราะเราไม่รู้เลย ว่าวันไหนที่ร่างกายเราจะป่วย วันนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้
ใช้ชีวิตให้คุ้ม และใช้ชีวิตให้เป็น
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่าน เราอยากแชร์ประสบการณ์จริงๆ หากสงสัยสอบถามได้เพิ่มเติมนะคะ และอาจจะต้องขอโทษหากตอบไม่ได้ทั้งหมด
อยากแชร์ประสบการณ์การรักษา และให้กำลังใจผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษขึ้นตา
คนนี้เค้าเอง เค้าเคยป่วยเป็นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ตาขวามีอาการโปนขึ้น
อาการที่พบในตัวของเรา เริ่มแรกมีอาการปวดหัวเหมือนไมเกรนเป็นติดต่อกันอยู่3-4วัน
หลังจากนั้นตาขวาก็โปนขึ้น แต่! เรายังคิดว่าเกิดจากการติดขนตาปลอมเราเอง ก็กินยาแก้อักเสบ ลดบวม รักษาตามอาการ
หนึ่งเดือนถัดมา ยังไม่หายคิดว่าน่าจะไม่ใช่กาวติดขนตาปลอมและ
ตัดสินใจไปพบหมอตา รพ.หนึ่ง หมอให้ไปเจาะเลือดตรวจค่าไทรอยด์
ยอมรับตอนนั้นปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็น ฉันแข็งแรงไม่เป็นอะไร
หนึ่งสัปดาห์ผลเลือดออก ยินดีด้วยค่ะ คุณเป็นไทรอยด์ ตอนนั้นไม่ยอมรับความจริง
ปฏิเสธทุกอย่าง แล้วก็ใช้ชีวิตปกติ โดยที่ไม่ติดต่อรักษาแต่อย่างใด
จนอาการหนักขึ้นถึงขั้นไม่สามารถลุกจากที่นอนได้ เพราะขาไม่มีแรงลุก
แต่ก่อนหน้านี้ก็มีอาการบ้างแล้วคือเดินๆอยู่ขาก็ไม่มีแรงเดิน
จึงตัดสินใจไปหาหมอดีกว่า (ควรจะไปตั้งแต่ตาโปนแล้วป่ะค่ะ)
หลังจากไปพบแพทย์ ก็ให้ไปเจาะเลือด เข้า CT Scan, x-ray จนผลสรุปออกมาว่า
คุณเป็นไทรอยด์วันนั้นในใจก็ยังไม่ยอมรับ แต่ร่างกายเป็นหนักขนาดนั้นแล้วจะหนียังไงก็ไม่พ้น
ตอนนี้ที่ไปโรงพยาบาลเราไปเองคนเดียว หลังจากที่ขามีแรงแล้วค่ะ แต่ไม่ได้มีแรงมากที่จะเดินแบบปกติ
ตอนที่อยู่รพ. แอบร้องไห้ เสียใจที่ทำไมไม่รีบรักษาตั้งนานแล้ว โกรธตัวเองทำไมถึงทำร้ายตัวเองได้ขนาดนี้
เริ่มการรักษากินยารักษาเริ่มจาก 2-3 เม็ดต่อวัน (สลับไปมาช่วงนั้นไปพบหมอทุกเดือน) และยาลดใจสั่น 1 เม็ด
กินแบบนี้เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ส่วนที่ตาโปนก็มีน้ำตาเทียมหยอด และยาให้ตาปิดสนิทในตอนกลางคืน
(แต่เวลาเราหลับ ตาปิดสนิทเลยไม่ได้ใช้ค่ะ)
ร่างกายตอบรับกับยาดีมาก มากจนตัวบวมยา ดังรูปที่เห็นกันค่ะ
ยอมรับว่าเจอมรสุมชีวิตหลายอย่าง หลายๆเรื่อง พร้อมกัน ป่วยไทรอยด์ เรื่องงาน เรื่องครอบครัว ความรัก ทุกอย่าง
ต้องค่อยๆตัดสินใจเองทุกเรื่อง แต่ก็มีปรึกษาเพื่อน ยอมรับเลยว่าเพื่อนสำคัญกับเรามาก สามารถเป็นที่พึ่งทางจิตใจได้ดีเลย
สำคัญไม่เคยทิ้งเราไปไหน ให้ทั้งกำลังใจ และพยายามให้เรามองอีกมุมที่เราไม่เคยมอง
แต่ทุกเรื่องเพื่อนเราจะเคารพการตัดสินใจของเราเองทุกครั้ง
ขอบคุณเรื่องร้ายๆที่เข้ามา แต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนที่ดีอยู่ในชีวิต
ผู้ป่วยไทรอยด์สำหรับเรา เรื่องเครียดน่าจะเกี่ยวกับตัวไทรอยด์
ช่วงนั้นเราพอรู้ปัญหาว่ามันเกี่ยวกับความเครียด จึงกำจัดมันด้วย
วิธีอ่านหนังสือธรรมะ พยายามมองโลกอีกแบบ คือเค้าอาจจะมีความจำเป็นบ้างอย่างที่เค้าต้องทำเพื่อเอาชีวิตรอดก็ได้
และอีกอย่างที่อยากจะบอก คือช่วงที่ตาเราโปนหนักๆ มีแต่คนมองแบบไม่โอเค สายตาแบบไม่โอเค
ที่หนักกว่านั้น มีคำพูดถากถาง เสียดสี ที่มันหนักมากจริงๆ
แค่ลำพัง เราป่วยก็พอแล้วไหม ยังต้องเจอกับคนแบบนี้อีก แต่เราก็พยายามไม่เก็บมาคิดนะ
แต่แอบน้อยใจว่า ไม่ให้กำลังใจไม่ว่า แต่อย่ามาพูดแบบนี้กับเรา
คนที่ให้กำลังใจคนแรกคือตัวเราเองก่อนนะ ก่อนที่จะขอจากใคร เพราะหากเรายังไม่เชื่อใจตัวเอง
และยังไม่ให้กำลังใจตัวเอง จะรอรับอย่างเดียวก็คงไม่หายสักที
หลังจากที่เรื่องเครียดต่างๆ เริ่มดีขึ้น ก็ส่งให้ผลเลือดดีขึ้น
ผ่านมาหนึ่งปีลดจำนวนยาเหลือ 1 เม็ด ยาลดอาการใจสั่นกินเมื่อมีอาการ ผลเลือดดีขึ้นตามลำดับนะคะ
เมื่อทานยามาประมาณปีครึ่งผลเลือดเป็นปกติแล้ว เย้ๆ จะไม่ต้องกินยาแล้ว
คุณหมอให้ลดยาวันละครึ่งเม็ด และ 3 เดือนถัดมาก็เหลือวันเว้นวัน หากผลเลือดยังเป็นปกติแบบนี้อาจจะให้หยุดยา
และแล้ววันฟังผลก็มาถึง ทาด้า... ผลเลือดมันกลับตีขึ้นมาค่ะ ค่าไทรอยด์กลับขึ้นมาเหมือนเดิม
ต้องกลับไปกินยาวันละ 2 เม็ดเหมือนเดิม และคุณหมอให้กลับไปตัดสินใจว่าจะกลืนแร่เพื่อรักษาหรือจะทานยาต่อไป
ยอมรับว่าตอนนี้เครียดมาก ตัดสินใจไม่ถูก เสียใจเพราะทานยาต่อเนื่องมาตลอด ไม่เคยลืมกิน ตั้งใจกับการรักษามาก
และมีความเชื่อมาตลอดว่าฉันต้องหาย ร่างกายฉันต้องแข็งแรง
แอบบร้องไห้เสียใจ ที่เราพยายามแล้ว ทำไมไม่ดีขึ้นสักที แล้วก็เครียดว่าจะตัดสินใจรักษาวิธีไหนดี
ทั้งๆทีวิธีการกลืนแร่ เป็นวิธีที่เราอยากรักษามากที่สุด แต่สุดท้ายกลับมากลัวการรักษาด้วยวิธีนี้
กลัวอาจจะมีผลกระทบกับตา
กลับมาตัดสินใจประมาณหนึ่งเดือนได้คำตอบว่า จะรักษาโดยการกลืนแร่
(บอกก่อนว่าก่อนหน้าที่จะกลืนแร่มีการปรึกษาคุณหมอตาแล้วว่าจะมีผลกระทบกับตาไหม คุณหมอแจ้งว่าไม่มีค่ะ
และให้ทานยาสเตียรอยด์ หลังจากกลืนแร่ไปแล้ว เพื่อป้องกันตาไม่ให้ผลกระทบกับตา
เพราะเป็นไปได้ว่าตาอาจจะโปนขึ้น หรือหายโปน )
หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ยอมรับยิ่งหาเยอะยิ่งทำให้เครียดหนักกว่าเดิม แนะนำนะคะ พยายามอย่าหาข้อมูลเอง
มีอะไรสงสัยให้ถามคุณหมอที่รักษาดีกว่า จดไว้เลยค่ะ ว่าต้องการถามอะไรบ้าง
หลังจากตัดสินใจกลืนแร่เพื่อรักษา ขั้นตอนแรก งดอาหารที่ปรุงจากเกลือไอโอดีน และอาหารทะเลประมาณ 1 สัปดาห์
เพื่อตรวจวัดค่าว่าต้องใช้แร่ปริมาณเท่าไรเพื่อรักษาค่ะ ให้พอดีกับค่าไทรอยด์ที่เราเป็นอยู่
สำคัญนะคะ แนะนำว่าให้ปฏิบัติตามที่คุณหมอแจ้งอย่างเคร่งครัด
วันกลืนแร่ ช่วงเช้าวัดค่าที่ต่อมไทรอยด์ว่าต้องใช้ยาปริมาณเท่าไร ต้องงดอาหารก่อนวัดนะคะ
หลังจากวัดเรียบร้อยก็รอยา ทานข้าวได้ปกตินะ
ตอนกลืนแร่ จะมีห้องแยกซึ่งเราจะต้องเปิดขวดยาเพื่อกินเอง และอยู่ในห้องคนเดียว
ยาเป็นแคปซูลธรรมดา แต่ขวดที่ใส่มาคือป้องกันไม่ให้แผ่ไปถึงคนอื่น
( รายละเอียดตรงนี้ขอข้ามนะคะเพราะทราบแค่ว่าไม่ให้แผ่กระจายเท่านั้น
อาจจะส่งผลอะไรบางอย่าง ยิ่งผู้สูงอายุ และคนท้องนี้ห้ามเข้าใกล้เลย )
ลักษณะเหมือนกินยาหนึ่งเม็ดปกติ กินเสร็จก็กลับบ้านได้เลยค่ะ ไม่มีอาการใดๆ
หลังจากกลืนแล้ว ช่วงวันสองวันแรกจะเหนื่อยง่าย อยากนอนอย่างเดียว พักอยู่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์
หลังจากกลืนแล้ว เราต้องแยกอยู่คนเดียวกับคนในบ้านนะคะ
กิน นอน ต้องใช้เพียงแค่คนเดียว (อาทิเช่น เสื้อผ้า ช้อนจานชามที่ใช้ แต่ในส่วนของเรา
คุณหมอบอกว่าเราได้รับแร่ที่กลืนในปริมาณที่น้อยมากๆ เลยไม่จำเป็นต้องอยู่นานเหมือนกับคนที่ได้รับปริมาณมากๆ
เพราะบางรายอาจจะต้องอยู่ห่างประมาณ2-3 สัปดาห์ แต่เราคุณหมอแจ้ง ประมาณ 2-3 วันแรกเท่านั้นค่ะ )
สิ่งที่คุณหมอให้คำแนะนำมาว่าควรอยู่ห่างจากผู้สูงอายุ คนท้อง และดื่มน้ำเยอะๆๆค่ะ
เพิ่มเติมค่ะ ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่ากลืนแร่แล้ว เราจะไปกินอาหารปกติ
แต่ ยังคงงดที่ปรุงจากเกลือไอโอดีน และอาหารทะเลต่ออีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ค่ะ
อาการหลังจากกลืนแร่แล้วช่วงแรกจะเหนื่อยง่าย แต่ผมไม่ร่วงนะคะ หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ
ร่างกายเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ
จนถึงปัจจุบัน ผลเลือดเป็นปกติแล้วค่ะ 10 เดือนแล้วนะคะหลังจากกลืนแร่
สิ่งที่อยากจะแนะนำ เชื่อใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่าต้องหาย ทุกโรคผู้ป่วยต้องการกำลังใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิด
สำคัญมาก มากมากจริงจริง เอากำลังใจจากเราไปนะ เราเชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านที่ป่วยด้วยโรคนี้ และโรคอื่นๆ หรือมีญาติที่ป่วยทุกโรค
หากเชื่อใจตัวเองว่าจะหาย ยังไงก็ต้องหาย รักตัวเองให้มากมากนะคะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ อาจจะช่วยได้ไม่มาก แต่หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษา
สอบถามไว้ได้นะคะ
ส่วนเรื่องน้ำหนักตอนเป็นไทรอยด์ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 80 กก. ด้วย แต่ดูจากบันทึกที่ไปพบหมอ
สูงสุด 75 กก.มีข้อมูลอ้างอิงเลยนับจากอันนั้นเนอะ
ปัจจุบันอยู่ที่ 55 กก. ค่ะ (ขออนุญาตชี้แจงว่าที่อ้วน ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีผลมาจากยา
และการกินของตัวเราเอง
เพราะน้ำหนักก่อนหน้าที่จะพบว่าเป็นไทรอยด์ น่าจะไม่เกิน 58 กก.ค่ะ )
รูปเราปัจจุบัน
อวดอีกรูปนะคะ กับเพื่อนที่ช่วยกันลดน้ำหนักค่ะ
ที่น้ำหนักลดลงมา ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเพราะหยุดทานยารักษา และออกกำลังกาย
พร้อมปรับเปลี่ยนการกินค่ะ คนเป็นไทรอยด์ก็สามารถลดน้ำหนักได้นะคะ เพราะเราอิงข้อมูลจากตัวเราเอง
ควบคุมอาหารการกินช่วยได้เยอะค่ะ เพราะเรามัวแต่โทษที่ไทรอยด์ลืมมองไปว่า
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมันเกิดจากการกินของเราล้วนๆ ส่วนวิธีการกินก็มีหลายโหมดค่ะ
ที่เรานำมาใช้กับตัวเอง มีวิธีไม่กินแป้ง ไม่กินอาหารรสจัด ไม่กินข้าว ไม่กินขนมซอง ขนมหวาน
รวมถึงน้ำอัดลม และน้ำหวานทุกชนิด กินแต่ไก่กับไข่ ไม่กินข้าวเย็น ซึ่งบ้างวิธีก็เป็นวิธีที่ผิด ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง
แต่น้ำหนักมันลด ก็จำเป็นต้องใช้ ซึ่งปัจจุบันค้นพบว่าการทานอาหารครบทุกมื้อ และทานทุกอย่าง
แต่มีสติกับมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ ยกตัวอย่างเวลาเรากินขนมเราจะกินพออร่อย ไม่ใช่ซื้อมาแบบเยอะๆแล้วกินมันทั้งหมด
( แต่ถ้าอันไหนอร่อยถูกใจเราก็กินหมดนะ 555 ) ส่วนไอศกรีม นี่เราไม่เคยชนะมันได้เลย
ส่วนวิธีออกกำลังกาย มี T25 , เต้นแอโรบิค , โยคะ , และก็วิ่ง เราว่าวิ่งเป็นวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราตอนนี้
วันอาทิตย์ จะเป็นฮาฟแรกของเรา มีความตื่นเต้นมาก แค่อยากเอาชนะใจตัวเอง
สุดท้ายนี้ อยากบอกทั้งคนที่ผู้ป่วยทุกโรคและไม่ได้คนที่ไม่มีโรค อยากให้รักตัวเองให้มากๆ
อย่าใช้ตัวเองเปลือง ป่วยต้องรีบรักษา อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ไม่พยายามทำอะไร
อย่างคิดว่าวันนี้ฉันไม่ได้ป่วย ฉันทำอะไรกับร่างกายก็ได้ เพราะเราไม่รู้เลย ว่าวันไหนที่ร่างกายเราจะป่วย วันนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้
ใช้ชีวิตให้คุ้ม และใช้ชีวิตให้เป็น
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่าน เราอยากแชร์ประสบการณ์จริงๆ หากสงสัยสอบถามได้เพิ่มเติมนะคะ และอาจจะต้องขอโทษหากตอบไม่ได้ทั้งหมด