ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งในยุคนี้ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่กำลังประสบอยู่คือ ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง
คนไทยจำนวนประมาณ 4 แสน 5 หมื่นคน มีสถานะเป็นผู้ไร้งานทำ (อ้างอิงจากศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือนกรกฎาคม 2559)
ตัวเลขอัตราการว่างงานล่าสุดของประเทศไทยที่สำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 อยู่ที่
ร้อยละ 1.2ซึ่งเป็นตัวเลขการว่างงานที่สูงสุดในรอบ 5 ปี และพบว่าผู้ตกงานส่วนใหญ่คือ
บัญฑิตระดับปริญญาตรีซึ่งเพิ่งจบการศึกษา
มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการว่างงานคือ เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ
และฟื้นตัวล่าช้า จึงส่งผลให้ไม่มีการว่าจ้างแรงงานเพิ่มในระบบ
แต่ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากมายบ่นว่าเศรษฐกิจฝืดเคือง แต่ทว่าสำนักงานคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทย
ไตรมาส 2 ของปี 2559 โดยแถลงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559 ระบุว่า เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัว
ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา จากร้อยละ 3.2 เพิ่มเป็น 3.5 นับได้ว่าเป็นการเติบโต
สูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2556 ซึ่งเติบโตร้อยละ 5.2
สภาพัฒน์ระบุด้วยว่า ล่าสุดนี้ ปัจจัยพื้นฐานต่างๆในประเทศเริ่มสมดุลมากขึ้น ภาคการเกษตร
ฟื้นตัวดีขึ้น ภาคอุตสาหกรรมกลับมาเพิ่มการผลิตมากขึ้น การใช้จ่ายของครัวเรือนเริ่มเพิ่มขึ้น
ส่วนด้านการเมืองก็เดินไปตามRoad Map ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง ดังนั้น จึงคาดการว่าตัวเลข
เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตราร้อยละ 3.5
เมื่อฟังความจากสองข้างแล้ว คำถามคือคุณผู้อ่านเชื่อใครมากกว่ากัน แต่ที่มากกว่านั้นคือ
อยากถามว่าทุกวันนี้คุณผู้อ่านมีเงินใช้สอยสะดวกสบายเหมือนเดิม
มากกว่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม
หันไปฟังความเห็นจากภาคธุรกิจ โดยนายนพพรเทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ
แห่งประเทศไทย (สรท.) ก็จะพบว่าการส่งสินค้าออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรกไม่ดี
โดยใน 5 เดือนแรก ติดลบร้อยละ1.9 สาเหตุเนื่องมาจากมีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้คือ
ราคาน้ำมัน การที่ราคาน้ำมันลงมากขนาดนี้ ทำให้สินค้าส่งออกสามกลุ่มคือ น้ำมันสำเร็จรูป
เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
หลายคนอาจจะบอกว่ายิ่งอ่าน ยิ่งฟัง แล้วยิ่งงง เพราะแต่ละฝ่ายก็พูดกันไปตามข้อมูลที่ตนใช้อ้างอิง
แต่ถึงแม้จะงุนงงมากสักเพียงใด ผู้เขียนก็อยากจะบอกว่าขอให้ผู้อ่านติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ
ของบ้านเราไว้ให้ดี อย่ามองว่ามันเข้าใจยากแล้วจึงไม่ใส่ใจ
มีสิ่งสำคัญที่อยากจะเรียนย้ำให้ผู้อ่านใส่ใจเป็นพิเศษคือ โปรดสำรวจว่าทุกวันนี้คุณมีรายได้เพียงพอ
กับรายจ่ายหรือไม่รายได้ของคุณจะยังมั่นคงต่อไปหรือไหมคุณสามารถลดรายจ่ายอะไรที่ไม่สำคัญได้
บ้างหรือเปล่าคุณมีเงินออมสำหรับใช้จ่ายในยามแก่เฒ่ามากน้อยเพียงใดโปรดถามตัวเองในเรื่องนี้บ่อยๆ
นะครับ เพราะเศรษฐกิจไทยระหว่างภาพจริงกับภาพลวงตามันน่ากลัวมากเหลือเกิน
เป็นห่วงเศรษฐกิจไทย และเป็นห่วงคนไทย .... เฉลิมชัย ยอดมาลัย ...แนวหน้าออนไลน์.../sao..เหลือ..noi
คนไทยจำนวนประมาณ 4 แสน 5 หมื่นคน มีสถานะเป็นผู้ไร้งานทำ (อ้างอิงจากศูนย์พยากรณ์
เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือนกรกฎาคม 2559)
ตัวเลขอัตราการว่างงานล่าสุดของประเทศไทยที่สำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 อยู่ที่
ร้อยละ 1.2ซึ่งเป็นตัวเลขการว่างงานที่สูงสุดในรอบ 5 ปี และพบว่าผู้ตกงานส่วนใหญ่คือ
บัญฑิตระดับปริญญาตรีซึ่งเพิ่งจบการศึกษา
มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการว่างงานคือ เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ
และฟื้นตัวล่าช้า จึงส่งผลให้ไม่มีการว่าจ้างแรงงานเพิ่มในระบบ
แต่ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากมายบ่นว่าเศรษฐกิจฝืดเคือง แต่ทว่าสำนักงานคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทย
ไตรมาส 2 ของปี 2559 โดยแถลงเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559 ระบุว่า เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัว
ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา จากร้อยละ 3.2 เพิ่มเป็น 3.5 นับได้ว่าเป็นการเติบโต
สูงสุดในรอบ 13 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2556 ซึ่งเติบโตร้อยละ 5.2
สภาพัฒน์ระบุด้วยว่า ล่าสุดนี้ ปัจจัยพื้นฐานต่างๆในประเทศเริ่มสมดุลมากขึ้น ภาคการเกษตร
ฟื้นตัวดีขึ้น ภาคอุตสาหกรรมกลับมาเพิ่มการผลิตมากขึ้น การใช้จ่ายของครัวเรือนเริ่มเพิ่มขึ้น
ส่วนด้านการเมืองก็เดินไปตามRoad Map ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง ดังนั้น จึงคาดการว่าตัวเลข
เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตราร้อยละ 3.5
เมื่อฟังความจากสองข้างแล้ว คำถามคือคุณผู้อ่านเชื่อใครมากกว่ากัน แต่ที่มากกว่านั้นคือ
อยากถามว่าทุกวันนี้คุณผู้อ่านมีเงินใช้สอยสะดวกสบายเหมือนเดิม
มากกว่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม
หันไปฟังความเห็นจากภาคธุรกิจ โดยนายนพพรเทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ
แห่งประเทศไทย (สรท.) ก็จะพบว่าการส่งสินค้าออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรกไม่ดี
โดยใน 5 เดือนแรก ติดลบร้อยละ1.9 สาเหตุเนื่องมาจากมีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้คือ
ราคาน้ำมัน การที่ราคาน้ำมันลงมากขนาดนี้ ทำให้สินค้าส่งออกสามกลุ่มคือ น้ำมันสำเร็จรูป
เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
หลายคนอาจจะบอกว่ายิ่งอ่าน ยิ่งฟัง แล้วยิ่งงง เพราะแต่ละฝ่ายก็พูดกันไปตามข้อมูลที่ตนใช้อ้างอิง
แต่ถึงแม้จะงุนงงมากสักเพียงใด ผู้เขียนก็อยากจะบอกว่าขอให้ผู้อ่านติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ
ของบ้านเราไว้ให้ดี อย่ามองว่ามันเข้าใจยากแล้วจึงไม่ใส่ใจ
มีสิ่งสำคัญที่อยากจะเรียนย้ำให้ผู้อ่านใส่ใจเป็นพิเศษคือ โปรดสำรวจว่าทุกวันนี้คุณมีรายได้เพียงพอ
กับรายจ่ายหรือไม่รายได้ของคุณจะยังมั่นคงต่อไปหรือไหมคุณสามารถลดรายจ่ายอะไรที่ไม่สำคัญได้
บ้างหรือเปล่าคุณมีเงินออมสำหรับใช้จ่ายในยามแก่เฒ่ามากน้อยเพียงใดโปรดถามตัวเองในเรื่องนี้บ่อยๆ
นะครับ เพราะเศรษฐกิจไทยระหว่างภาพจริงกับภาพลวงตามันน่ากลัวมากเหลือเกิน