When in Leh(3) ขี่อูฐที่ Nubra valley ผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลก



2วัน 1คืนในหุบเขานูบร้า ผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลก Khardungla top
วันที่4ในลาดักห์เป็นวันที่เราจะต้องเปลี่ยนที่นอนกันเป็นครั้งแรก เพราะจะต้องออกเดินทางไกลอีก6ชั่วโมงเพื่อไปนูบร้าวัลเลย์เมืองในหุบเขา มี Diskit เป็นเมืองหลวงของเขต อยู่ห่างจากเลห์ไปประมาณ 150 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และแน่นอนวันนี้เราจะผ่านอีกเส้นทางสุดหฤโหดไต่ความสูงอ้อมหุบเหวขึ้นสู่ Khardung la top ถนนสัญจรที่สูงที่สุดในโลกกับความสูง 5363 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ก่อนออกเดินทางกันแต่เช้าเช่นเคยตามเวลา 7โมง เราได้เช็คเอาท์และฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่ Yangphel guesthouse เพราะรถเล็กเกินไปสำหรับกระเป๋าใบใหญ่5ใบถึงคนจะตัวเล็กมากก็ตาม แล้วค่อยกลับมาเอาวันมะรืนเพื่อย้ายโรงแรมไปอีกแห่งในเลห์ (ซึ่งเลือกโรงแรมผิดคิดจนตัวตาย!!!!)
ความลำบากลำบนของลาดักห์หรือเลห์อีกอย่างนึงสำหรับคนติด social คือ ในเลห์จะใช้สายโทรศัพท์ใต้ดินร่วมกันทั้งหมดเป็นสายเดียว และช่วงนี้ในเมืองเลห์อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ขุดเจาะ ปรับภูมิทัศน์ วันดีคืนดีบริษัทรับเหมาก็จะขุดไปโดนสายโทรศัพท์ใต้ดิน สัญญาณที่เป็น landline และ wifi ก็จะมลายหายสิ้นทั้งเมืองอย่างช่วงที่เราอยู่ในเลห์ สามารถอัพรูปขึ้น facebook วันละ 5รูปก็เก่งแล้ว เหี่ยวเฉากันไป จะได้มีเวลาสัมผัสธรรมชาติมากขึ้นไง ดีออกก


รูปถ่ายฝีมือ Jigmat ก่อนจะไต่เขากัน

Jigmat ยังคงเป็นพี่เขียวของเรา อยู่ด้วยกันมาเข้าวันที่3แล้ว พี่ก็ยังคงคอนเซปต์เสื้อยืดเขียว ชายผู้มาก่อนเวลานัดเสมอ ระหว่างนั่งรถไปแป๊บเดียวก่อนเริ่มไต่เขา พี่เขียวยื่นขนมพื้นเมืองรสชาติหน้าตาคล้ายคุกกี้ที่ใส่มาในถุงผ้าอย่างเรียบร้อย ให้เราคนละชิ้น พ่อช่างน้ำใจงาม คนที่ใช่ทำอะไรก็ถูกพูดเลย เรารู้สึกอุ่นใจปลอดภัยผ่อนคลายทุกครั่งที่นั่งรถที่มีฮีอยู่หลังพวงมาลัย ถึงทางจะโหดหินแค่ไหนเราก็มั่นใจว่าจะรอดชีวิตไปอย่างดี ความเชื่อใจนี่มันเป็นสิ่งที่ต้องสร้างด้วยการทำให้เห็นจริงๆ วันนี้ทุกคนค่อนข้างเตรียมพร้อมกับการผจญความสูงและหนาวกันอย่างเต็มที่ อุปกรณ์กันหนาวที่ดีที่สุดถูกเลือกมาห่อหุ้มร่างกาย ปรากฎการณ์หนาวสั่นภายใต้เสื้อบางอย่างเมื่อวานที่ Shangla pass จะไม่เกิดขึ้นอีก ถนนวันนี้ช่วงแรกก็หลอกให้เราดีใจเหมือนเคยกับถนนลาดยางอย่างดีที่กว้างพอรถสองคันสวนกันได้ แต่พอไต่ไปเรื่อยๆความจริงก็เริ่มปรากฎ ลูกรังเริ่มมา ฝุ่นเริ่มมา ถนนแคบลง แถมยังมีบางเส้นที่กำลังก่อสร้างถนน ลาดยางกันให้เราเห็นสดใหม่ บางจุดมีหินถล่มลงมา ก็ต้องรอให้รถแมคโครกวาดเก็บหินเคลียร์ถนน ครั้งละ 5-10นาที แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจทั้งหมด ใช้เวลาขับผ่านหุบเหว แหวกเมฆ เราแหวกเมฆกันจริงๆก็ด้วยความสูง 5,000กว่าเมตรอะนะ มันก็สูงเทียมเมฆแตะเมฆได้แล้วจริงๆ


งานซ่อมทางก็มีให้เห็นตลอด คือคนเดินทางว่าไปยากแล้ว คนซ่อมคนสร้างถนนที่นี่จะยากลำบากกว่าแค่ไหนนะ


ถนนอ้อมเหวสูงเทียมเมฆสู่ Khardungla top


ออกไปแตะเมฆกันหน่อย


ผ่านไปประมาณ 3 ชม.นิดหน่อย เราก็มองเห็นยอดภูเขาน้ำแข็งตรงหน้าที่ระดับสายตา ธงมนตร์ล้อมรอบป้ายหินสีเหลืองที่ระบุชื่อสถานที่ Khardungla top ถนนสัญจรด้วยรถที่สูงที่สุดในโลก 18,380 ฟุต วันนี้เราไม่เจอหิมะตกอีก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่หนาวยะเยือก ยังถือว่าดีกว่าเมื่อวานที่เสื้อผ้าหน้าผมพร้อมรับความหนาว ที่นี่นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะกว่าจุดพักที่ Shangla pass เมื่อวาน เราเดินวิ่งเต้นกระโดดถ่ายรูปกันอยู่ประมาณ 15-20นาที แวะจิมชาร้อนๆกับมัฟฟิน แล้วสาวๆก็ไปเข้าห้องน้ำ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่ผ่านมาหลายวันห้องน้ำในอินเดีย ไม่ถือว่าดีเด่น แต่เราก็เข้าได้ไม่มีปัญหา แม้จะไม่มีหลังคาคลุมหัว หรือแม้จะเป็นส้วมซึมส้วมหลุมก็ผ่านมาได้หมด จนกระทั่งวันนี้ ตั๊กฝ้ายปลา ได้ไปเผชิญกับทุกเศษซากอารยธรรมของหลายเชื้อชาติ กองรวมกันอยู่ในสวมถึงกับคลื่นเหียน วิ่งออกมาแทบไม่ทัน กลับมาฟ้อง Jigmat ว่าไม่ไหวๆห้องน้ำเข้าไม่ได้ มีตรงไหนอีกมั้ย พี่เขียวบอกตรงนี้หมดแล้ว ยังไงต้องขับไปอีก20นาทีนะ ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าจะปล่อยซากอารยธรรมอุนจิไว้เบื้องหลังแล้วไปฉี่กันข้างหน้า


Khardungla top เทียมยอดเขาหิมะเลย

มาถึงแล้วถนนที่รถวิ่งได้ ที่สูงที่สุดในโลก แอบรู้สึกขนลุกเบาๆ มันมีความขลังบางอย่างอยู่






แวะจิบชาร้อนๆแกล้มมัฟฟิน ก่อนไปเจอซากอารยธรรมในห้องน้ำ Ewww!!


ขับมาอีกประมาณ 20กว่านาที จริงๆน่าจะเกินแหละ แต่เราเชื่อฟังพี่เขียวของเรา 20ก็20หนูจะทน ก็มาถึงจุดพักรถอีกจุดเหมือนเป็นแคมป์ทหาร เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีลำธารไหลผ่าน วิวสวยเชียว ได้แวะเข้าห้องน้ำ ถ่ายรูป ให้สบายตัวสบายใจ แล้วเดินทางต่อ


จุดพักเข้าห้องน้ำที่แคมป์ทหารห่างจาก Khardungla top 20 นาที



วิวงามทุกมุมจริงๆ




ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปตามจุดสวยงามที่เราอยากลงเองและ Jigmat แนะนำ "Photo?" ฮีถามเสมอๆ ช่างรู้ใจ






เลยเที่ยงมาเล็กน้อย ก็ได้เวลาพักกินข้าว ที่ร้านแห่งหนึ่งใน Nubra valley มีแคมป์ไว้บริการที่พัก อาหารแบบบุฟเฟต์ กิจกรรม adventure อย่างล่องแก่ง ยิงธนู แต่พวกเราไม่ได้จัดโปรแกรมล่องแก่งเอาไว้ จึงกินข้าวอาหารบุฟเฟต์ประกอบไปด้วยแกงกะหรี่ผัดยิ้ม green salad ใครยังจำกรีนสลัดได้ มันคือแตงกวามะเขือเทศ แครอทฝาน แล้วบีบมะนาวราด ดี๊ดี สดจริงจัง  







ข้าวเกรียบ อันนี้อร่อยมาก ทุกคนชื่นชอบ

และได้สั่งไข่เจียวไปคนละฟองให้เค้าทำเพิ่มให้ กับข้าวอินเดียทั้งหมด กินกับไข่เจียวและน้ำปลาพริกที่ตั๊กผู้เพียบพร้อมของเราหยิบติดมาจากเมืองไทย มื้อนี้เลยอิ่มนำกันทีเดียว


น้ำปลาพริกคือดีกับจิตวิญญาณมากจริงๆ



เสร็จแล้วก็เดินย่อยรอบๆแคมป์ ไปยิงธนูกันคนละ 3-4 ดอก ไม่มีใครเคยหยิบคันธนูมาก่อนแน่ ถ้าไม่ระลึกชาติได้ว่าชาติก่อนเป็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ก็ต้องถือว่าตั๊กมีสกิลสูงสุด ยิงครั้งแรกก็ถูกเป้าเลย ปรบมือ!!!!




จากตรงนี้ขับอีกประมาณ 50กิโล เราก็จะถึง Diskit gompa ที่ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในลาดักห์ ก่อนถึง Diskit ไม่นาน. Jigmat ถามด้วยคำเดิม "Photo?" เพราะเริ่มเข้าช่วงบ่ายแดดร้อนจัดและเพลียจากการเดินทางหลายชั่วโมง เราจึงบอกปัดไป ไม่ถ่ายละไม่เป็นไร โชคดีฝ้ายพูดขึ้นมาว่า นั่นๆเงาสะท้อนในน้ำ เลยทำให้ได้รูปสวยๆพวกนี้มา แต่แอบเสียดายอะ ไม่ได้ลงไปยืนตรงนั้น

เงาสะท้อนของภูเขากับฟ้า perfect!!!








อีกอึดใจเดียวเวลาประมาณบ่าย2เราก็มาถึง Diskit gompa ที่มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ประดิษฐานท่ามกลางหุบเขาและฟ้าสีสดใส ดูสวยงามแปลกตาเป็นที่สุด
Diskit Gompa พระใหญ่ที่โดดเด่นกลางหุบเขา Nubra valley




Diskit Gompa วัดที่เก่าแก่ที่สุดในลาดักห์




เขาสวยฟ้าใสใน Nubra valley




ออกจาก Diskit gompa เราตกลงกันว่าจะไปเข้าที่พักที่จองเอาไว้ก่อนที่ Eco Lotus resort พักกันซัก 2-3 ชั่วโมงแล้วค่อยไปต่อที่จุดไฮไลท์ของวันคือขี่อูฐ 2 หนอกที่ Hunder Sanddune โรงแรมวันนี้ดีมากกก ชอบๆๆๆ คือนอกจากตำแหน่งโรงแรมจะอยู่กลางเขา ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ ตกแต่งสวยงาม บรรยากาศดีแล้วนั้น Wifi ก็ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ อัพรูปกันได้รัวๆ
Eco Lotus resort





สระว่ายน้ำในโรงแรมก่อนมาถึงทุกคนอยากลงเล่น เมือมาถึงได้พบว่าถ้าลงไปคงแข็งตาย น้ำเย็นมากก



เข้าที่พักเก็บของตอนแรกว่าจะพักซัก 2-3 ชม. กะว่าให้พี่เขียวได้พักด้วยปรากฎว่าพนักงานโรงแรมบอกว่าถ้าจะไปขี่อูฐเวลาที่ดีที่สุดคือประมาณ 4 โมงครึ่ง นั่นแปลว่าเราและพี่เขียวจะได้พักกันประมาณ 30 นาทีแล้วเดินทางไปยัง Hunder sand dune ที่ห่างออกไปประมาณ 10 นาที
แล้วก็มาถึงHunder sand dune ในเวลาไม่นานเลย ไฮไลท์ของที่นี่ที่เป็นเอกลักษณ์เลยคือต้องขี่อูฐ2หนอกตะลุยทะเลทรายทำตัวเป็นชารีฟแห่งฟ้าจรดทรายกันไป บรรยากาศที่ทะเลทรายย่อมๆนี้ดีทีเดียว มีเมฆเบาๆ ฝนตกพรำๆ ไม่ถึงกับเปียก


พอไปถึงก็เห็นอูฐน้อยใหญ่เดินเรียงรายกันเต็มไปหมด เราไปต่อคิวเข้าอถวรอขี่อูฐ และเนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวเราเลยได้เจอกับความแขกแทรกแซงคิวหลายต่อหลายครั้ง จนต้องทำหน้าโหดใส่ แต่ก็ไม่ได้นำพา ถึงคิวเรา เราใช้บริการขี่อูฐรอบเล็ก 15 นาที 250 รูปี จริงๆอารมณ์ก็คล้ายๆขี่ช่างนะ คือไม่ได้นั่งสบายนักมีอาการเกร็งกล้ามก้นให้พอเมื่อยอยู่เบาๆ แต่อูฐน่ารัก ไม่ค่อยได้กลิ่นเหม็นอะไรเตะจมูก



เจ้าอูฐ2หนอก แห่งฮุนเดอร์


ฟ้าจรดทราย เมื่อเบื่อท่าถ่ายรูปธรรมดา ก็ต้องหาความซับซ้อนขึ้นไป


ขี่อูฐไปชมวิวทะเลทรายตัดกับฟ้าสุดลูหูลูกตา สบายใจจริงๆ คงเป็นประสบการณ์ที่หายากในชีวิต


ทำไมหนอกหน้าหนูฟีบขนาดนั้นล่ะลูก


รูป jump shot ที่ต้องรอจังหวะให้อูฐเดินผ่านหลังไป ตั้ง iphone กับพื้นทราย นับ 10 ถอยหลัง แล้วกระโดพร้อมกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่