หนังใหญ่อีกเรื่องที่ดันโดนกระแสปูซานกลบมิดเสียจนไม่มีใครพูดถึงเลย จนเกือบลืมไปเหมือนกันว่ามันฉายแล้ว นั่นก็คือ Alice Through the Looking Glass หรือชื่อภาษาไทยว่า อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก ซึ่งเป็นอีกหนังเรื่องหนึ่งคนไหนติดใจภาคแรกมาแล้วควรไปดู เพราะนอกจากความมหัศจรรย์การรังสรรค์โลกวันเดอร์แลนด์ที่มีชีวิตชีวาแล้ว ในหนังภาคนี้ยังทำให้คนดูรู้จักตัวละครที่รักมากขึ้นด้วย และมีเรื่องเวลามาเกี่ยวข้อง
3 ปีผ่านไปจากเหตุการณ์ในภาคแรกที่อลิสปฏิเสธการแต่งงานกับท่านลอร์ด และได้เข้าไปฝึกงานกับบริษัทของท่านลอร์ด ล่องมหาสมุทรเปิดเส้นทางการค้าใหม่ๆ จนกระทั่งเธอกลายเป็นกัปตันเรือของพ่อของเธอ แต่จากความสำเร็จ ด้วยสภาพสังคมที่ผู้หญิงโดนกดขี่ และการบีบบังคับของท่านลอร์ด เรื่องดราม่ามาเยือนอีกครั้ง และในช่วงเวลาที่เธอกำลังสับสน แอ๊บโซเลม หนอนผีเสื้อที่กลายเป็นผีเสื้อ ได้พาอลิสกลับไปยังวันเดอร์แลนด์อีกครั้ง และก็พบว่า แมด แฮทเทอร์ คนทำหมวก กำลังป่วยหนัก และเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยชีวิตของเขาได้ แต่เธอต้องไปหา "เวลา"
ยอมรับว่าผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของนิทานเรื่องอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ แต่ต้องยอมรับว่า แม้ว่าบทของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ใหม่สดอะไรนัก แต่ธีมของเรื่อง และวิธีการดำเนินเรื่อง มันคือ "นิยายทรงคุณค่าจากสมัยก่อน" ถ้านึกไม่ออก มันคือวรรณกรรมแนวเดียวกันกับนาร์เนียหรือตำนวนแหวนวงเดียวพินาศทั้งแผ่นดินเลย เพียงแต่ออกนาร์เนียมากกว่า เพราะโทนเรื่องนั้นคล้ายกันมาก นั่นก็คือ อลิสจะต้องเข้าไปยังต่างโลก และจะสะท้อนให้เห็นปัญหาเดียวกันกับในโลกความเป็นจริงที่เผชิญ และจะได้แนวคิดและกำลังใจในการแก้ไขปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญ แนวคิดลักษณะนี้คือนิทานสอนใจเด็กๆ เพื่อให้เด็กๆ สามารถแก้ไขปัญหาโดยมีการจำลองเหตุการณ์จากโลกแห่งจินตนาการมาเปรียบเทียบ
อลิสในภาคแรกนั้นคิดมาตลอดว่าวันเดอร์แลนด์คือความฝัน เพราะเธอฝันเรื่องนี้มาตลอด 13 ปีนับตั้งแต่ตัวเธอวัยเด็กหลุดเข้าไปในวันเดอร์แลนด์โดยไม่รู้ว่ามันคือความทรงจำ แต่สำหรับภาคนี้ เธอที่ยังจำเรื่องราวได้ และเธอรู้ว่าจะต้องทำยังไง แต่ที่เธอยังไม่เข้าใจก็คือ ปัญหาที่วันเดอร์แลนด์ก็ตรงกับเหตุการณ์ในโลกความเป็นจริง ดังนั้น บุคลิคของเธอจึงยังคง "มหึมันส์" หรือพูดอีกอย่างว่า "อาศัยพุ่งชน" ซึ่งยังคงทำให้เธอนั้นยังมีความเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ ซึ่งยังคงเปิดรับจินตนาการวัยเด็กที่โหยหาการผจญภัยได้อยู่
สิ่งที่แตกต่างจากภาคแรกก็คือ ทิม เบอร์ตัน ไมได้มากำกับเองแล้ว โทนเรื่องส่วนใหญ่จึงออกเป็นนิทานมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากภาคแรกที่ออกแบบโลกวันเดอร์แลนด์ได้หลุดโลกและแอบโหดไปนิดนึง ทว่า ในภาคนี้ไม่รู้ผมคิดไปเองไหม แต่ดูเหมือนทีมงานใช้ต้นแบบฉากไคลแมตซ์มาจากเกม Alice: Madness Returns ของค่าย EA อย่างไรอย่างนั้น เพราะโทนสีของฉาก รวมไปถึงสถานที่ของปราสาท ราชินีโพแดง คล้ายในเกมมาก ซึ่งยังคงทำให้โลกของวันเดอร์แลนด์ดูหลุดโลก แต่ก็ไม่โหดเท่ากับเกมนั้นอะนะ
ถ้าว่าตรงๆ ด้านเนื้อเรื่องแล้ว อาจจะดูไม่แตกต่างจากหนังผจญภัยของดิสนีย์เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่เราได้เห็นกันแน่ๆ ก็คือ ปูมหลังของตัวละครหลัก ในภาคแรก เราอาจจะไม่รู้จักปูมหลังตัวละครเท่าไหร่ แต่ในภาคนี้ เราจะรู้จักตัวละครเหล่านั้นมากขึ้น และหลงรักพวกเขามากยิ่งขึ้น และเนื้อเรื่องที่ดำเนินต่อได้อย่างลงตัว จึงทำให้ในภาคสองนี้ เป็นหนังวันเดอร์แลนด์ภาคต่อที่เต็มไปด้วยฉากสุดอลัง เหนือจินตนาการ และธีมผจญภัยที่ลงตัว
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ธีมพล็อตหลักของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับหนังเรื่องอื่นที่ใช้ธีมเรื่อง "เวลา" มาเกี่ยวข้องเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเทียบกับหนังครอบครัวอย่าง SPY KIDS 4 ที่มีเรื่องเวลาเหมือนกันแล้ว เรื่องนี้เขียนบทดีกว่า ที่สำคัญคือ นักแสดงมาครบทีม ซึ่งทำให้เราเข้าถึงตัวละครทุกตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะถ้าคุณดูภาคแรกมาก่อนและจดจำพวกเขาได้ อย่างที่บอกว่า เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้แตกต่างจากหนังแนวเดียวกันมาก แต่มันจะทำให้เรารู้จักตัวละครในเรื่องมากขึ้นครับ
อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก ยังคงเป็นหนังผจญภัยเหนือจินตนาการของดิสนีย์ที่ยังคงทำได้ตื่นตาตื่นใจ และการแสดงบทที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือทิม เบอร์ตันไม่ได้มากำกับเอง ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้เห็นโทนหลุดโลกตามสไตล์ของเขาในหนังเรื่องนี้บ้าง และการที่มาฉายชนกับรถไฟซอมบี้ปูชาน ที่ทำให้กระแสหนังเรื่องนี้เงียบมาก แต่เป็นหนังแนวครอบครัวที่เหมาะสำหรับคนไหนที่ยังโหยหาการผจญภัยในโลกจินตนาการ และพาเด็กๆ ไปชมกันครับ
ท้ายนี้ ทางผมต้องขอขอบคุณ และไว้อาลัยกับ อลัน ริคแมน นักแสดงที่ให้เสียงพากย์ แอ๊บโซเลม (และผู้เป็นศาสตราจารย์เซเวอรัส สเนป ในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์) ที่เสียชีวิตก่อนที่ภาพยนตร์จะได้ฉาย ผู้ซึ่งพาอลิสกลับไปยังโลกวันเดอร์แลนด์อีกครั้งด้วยนะครับ
[CR] (รีวิว) Alice Through the Looking Glass : เมื่อเวลาคือคำตอบ
หนังใหญ่อีกเรื่องที่ดันโดนกระแสปูซานกลบมิดเสียจนไม่มีใครพูดถึงเลย จนเกือบลืมไปเหมือนกันว่ามันฉายแล้ว นั่นก็คือ Alice Through the Looking Glass หรือชื่อภาษาไทยว่า อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก ซึ่งเป็นอีกหนังเรื่องหนึ่งคนไหนติดใจภาคแรกมาแล้วควรไปดู เพราะนอกจากความมหัศจรรย์การรังสรรค์โลกวันเดอร์แลนด์ที่มีชีวิตชีวาแล้ว ในหนังภาคนี้ยังทำให้คนดูรู้จักตัวละครที่รักมากขึ้นด้วย และมีเรื่องเวลามาเกี่ยวข้อง
3 ปีผ่านไปจากเหตุการณ์ในภาคแรกที่อลิสปฏิเสธการแต่งงานกับท่านลอร์ด และได้เข้าไปฝึกงานกับบริษัทของท่านลอร์ด ล่องมหาสมุทรเปิดเส้นทางการค้าใหม่ๆ จนกระทั่งเธอกลายเป็นกัปตันเรือของพ่อของเธอ แต่จากความสำเร็จ ด้วยสภาพสังคมที่ผู้หญิงโดนกดขี่ และการบีบบังคับของท่านลอร์ด เรื่องดราม่ามาเยือนอีกครั้ง และในช่วงเวลาที่เธอกำลังสับสน แอ๊บโซเลม หนอนผีเสื้อที่กลายเป็นผีเสื้อ ได้พาอลิสกลับไปยังวันเดอร์แลนด์อีกครั้ง และก็พบว่า แมด แฮทเทอร์ คนทำหมวก กำลังป่วยหนัก และเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยชีวิตของเขาได้ แต่เธอต้องไปหา "เวลา"
ยอมรับว่าผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของนิทานเรื่องอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ แต่ต้องยอมรับว่า แม้ว่าบทของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ใหม่สดอะไรนัก แต่ธีมของเรื่อง และวิธีการดำเนินเรื่อง มันคือ "นิยายทรงคุณค่าจากสมัยก่อน" ถ้านึกไม่ออก มันคือวรรณกรรมแนวเดียวกันกับนาร์เนียหรือตำนวนแหวนวงเดียวพินาศทั้งแผ่นดินเลย เพียงแต่ออกนาร์เนียมากกว่า เพราะโทนเรื่องนั้นคล้ายกันมาก นั่นก็คือ อลิสจะต้องเข้าไปยังต่างโลก และจะสะท้อนให้เห็นปัญหาเดียวกันกับในโลกความเป็นจริงที่เผชิญ และจะได้แนวคิดและกำลังใจในการแก้ไขปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญ แนวคิดลักษณะนี้คือนิทานสอนใจเด็กๆ เพื่อให้เด็กๆ สามารถแก้ไขปัญหาโดยมีการจำลองเหตุการณ์จากโลกแห่งจินตนาการมาเปรียบเทียบ
อลิสในภาคแรกนั้นคิดมาตลอดว่าวันเดอร์แลนด์คือความฝัน เพราะเธอฝันเรื่องนี้มาตลอด 13 ปีนับตั้งแต่ตัวเธอวัยเด็กหลุดเข้าไปในวันเดอร์แลนด์โดยไม่รู้ว่ามันคือความทรงจำ แต่สำหรับภาคนี้ เธอที่ยังจำเรื่องราวได้ และเธอรู้ว่าจะต้องทำยังไง แต่ที่เธอยังไม่เข้าใจก็คือ ปัญหาที่วันเดอร์แลนด์ก็ตรงกับเหตุการณ์ในโลกความเป็นจริง ดังนั้น บุคลิคของเธอจึงยังคง "มหึมันส์" หรือพูดอีกอย่างว่า "อาศัยพุ่งชน" ซึ่งยังคงทำให้เธอนั้นยังมีความเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ ซึ่งยังคงเปิดรับจินตนาการวัยเด็กที่โหยหาการผจญภัยได้อยู่
สิ่งที่แตกต่างจากภาคแรกก็คือ ทิม เบอร์ตัน ไมได้มากำกับเองแล้ว โทนเรื่องส่วนใหญ่จึงออกเป็นนิทานมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากภาคแรกที่ออกแบบโลกวันเดอร์แลนด์ได้หลุดโลกและแอบโหดไปนิดนึง ทว่า ในภาคนี้ไม่รู้ผมคิดไปเองไหม แต่ดูเหมือนทีมงานใช้ต้นแบบฉากไคลแมตซ์มาจากเกม Alice: Madness Returns ของค่าย EA อย่างไรอย่างนั้น เพราะโทนสีของฉาก รวมไปถึงสถานที่ของปราสาท ราชินีโพแดง คล้ายในเกมมาก ซึ่งยังคงทำให้โลกของวันเดอร์แลนด์ดูหลุดโลก แต่ก็ไม่โหดเท่ากับเกมนั้นอะนะ
ถ้าว่าตรงๆ ด้านเนื้อเรื่องแล้ว อาจจะดูไม่แตกต่างจากหนังผจญภัยของดิสนีย์เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่เราได้เห็นกันแน่ๆ ก็คือ ปูมหลังของตัวละครหลัก ในภาคแรก เราอาจจะไม่รู้จักปูมหลังตัวละครเท่าไหร่ แต่ในภาคนี้ เราจะรู้จักตัวละครเหล่านั้นมากขึ้น และหลงรักพวกเขามากยิ่งขึ้น และเนื้อเรื่องที่ดำเนินต่อได้อย่างลงตัว จึงทำให้ในภาคสองนี้ เป็นหนังวันเดอร์แลนด์ภาคต่อที่เต็มไปด้วยฉากสุดอลัง เหนือจินตนาการ และธีมผจญภัยที่ลงตัว
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ธีมพล็อตหลักของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับหนังเรื่องอื่นที่ใช้ธีมเรื่อง "เวลา" มาเกี่ยวข้องเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเทียบกับหนังครอบครัวอย่าง SPY KIDS 4 ที่มีเรื่องเวลาเหมือนกันแล้ว เรื่องนี้เขียนบทดีกว่า ที่สำคัญคือ นักแสดงมาครบทีม ซึ่งทำให้เราเข้าถึงตัวละครทุกตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะถ้าคุณดูภาคแรกมาก่อนและจดจำพวกเขาได้ อย่างที่บอกว่า เนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้แตกต่างจากหนังแนวเดียวกันมาก แต่มันจะทำให้เรารู้จักตัวละครในเรื่องมากขึ้นครับ
อลิซ ผจญภัยมหัศจรรย์เมืองกระจก ยังคงเป็นหนังผจญภัยเหนือจินตนาการของดิสนีย์ที่ยังคงทำได้ตื่นตาตื่นใจ และการแสดงบทที่ยอดเยี่ยม น่าเสียดายอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือทิม เบอร์ตันไม่ได้มากำกับเอง ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้เห็นโทนหลุดโลกตามสไตล์ของเขาในหนังเรื่องนี้บ้าง และการที่มาฉายชนกับรถไฟซอมบี้ปูชาน ที่ทำให้กระแสหนังเรื่องนี้เงียบมาก แต่เป็นหนังแนวครอบครัวที่เหมาะสำหรับคนไหนที่ยังโหยหาการผจญภัยในโลกจินตนาการ และพาเด็กๆ ไปชมกันครับ
ท้ายนี้ ทางผมต้องขอขอบคุณ และไว้อาลัยกับ อลัน ริคแมน นักแสดงที่ให้เสียงพากย์ แอ๊บโซเลม (และผู้เป็นศาสตราจารย์เซเวอรัส สเนป ในเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์) ที่เสียชีวิตก่อนที่ภาพยนตร์จะได้ฉาย ผู้ซึ่งพาอลิสกลับไปยังโลกวันเดอร์แลนด์อีกครั้งด้วยนะครับ