[หนังโรงเรื่องที่ 152] Train to Busan - ปูซานเกม/โอลิมปิกซอมบี้ ; (Sang-ho Yeon, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)
*คนเขียนเป็นแฟนหนังซอมบี้
**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย
เรื่องย่อ : พระเอกและลูกสาวกำลังจะไปเยี่ยมเมียที่บ้านนอกโดยรถไฟจากโซลไปปูซาน แล้วก็มาพัวพันกับเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดไปทั่วประเทศ พวกเขาต้องเอาตัวรอดให้ได้ทั้งจากซอมบี้ที่ดุร้าย และสัญชาตญานเอาตัวรอดที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์
เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ได้ดีเพราะปากต่อปากจริงๆมั้ง คือไม่เคยเห็นหนังโรงจากเกาหลีที่ได้รับกระแสตอบรับดีขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน (อันที่จริงผู้เขียนก็แอบโดนกระแสหอบเข้าโรงไปเหมือนกัน) ซึ่งเท่าที่สังเกตมาก็ยังมีเสียงแตกกับวลีว่า 'นี่เป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา' ... จริงหรือไม่จริงในฐานะที่เป็นแฟนหนังซอมบี้มานานจะขอวิเคราะห์คร่าวๆให้ฟังกัน
อนึ่งคือส่วนที่ถูกพูดถึงมากๆในแง่ของความดราม่าของเรื่อง ทั้งการหักเหลี่ยมกันระหว่างมนุษย์ที่เวลาคับขันแล้วจะแสดงธาตุแท้ที่เห็นแก่ตัวออกมาให้เห็น .. ซึ่งจะบอกว่านั่นเป็นหนึ่งใน element หลักของเสน่ห์หนังซอมบี้เลยล่ะ เรียกได้ว่าทำหนังร้อยเรื่อง..ยังไงก็ต้องเล่นประเด็นนี้ทั้งร้อยเรื่อง ซึ่งใน Train to Busan นั้นก็วางหน้าที่ 'ตัวร้าย' ไว้กับตาลุงนักธุรกิจได้อย่างถูกที่ถูกทางพอสมควร แต่ถามว่าลุงแกร้ายได้น่าหมั่นไส้สมบทบาทมั้ย? ก็คงต้องบอกว่ายังห่างไกลอีกเยอะเลย การที่หนังไม่ได้ตั้งใจโฟกัสกับตาลุงคนนี้มากเท่าไหร่ ทำให้ในบางฉากมันกลับกลายเป็นซัพพอร์ทให้การตัดสินใจของลุงแก 'เมคเซนส์' ไปซะงั้นแน่ะ
ประเด็นต่อมาคือการที่หนังโฟกัสจุดใหญ่ไปที่ 'ดราม่า' ระหว่างตัวละครมากกว่า 'ซอมบี้' ซึ่งถือว่าแปลกธรรมเนียมสำหรับหนังลักษณะนี้ ที่ไม่มีการวิเคราะห์หรือวางแผนรับมือซอมบี้เลย .. ซึ่งมันส่งผลมาให้ฉากต่อสู้เอาชีวิตรอดนั้นมันออกมาดูง่อยๆไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นพี่อ้วนที่รับบทเป็น 'super goodguy' ประจำเรื่องเนี่ย พี่แกเล่นพันเทปพันผ้าไว้ทั่วแขนเลยนะ .. แต่เอากำปั้นเปล่าๆไปต่อยซอมบี้! คือตอนดูนี่กุมขมับเลย อะไรจะเซฟตี้ขนาดนั้นพ่อคุณเอ้ย ไม่กลัวโดนฟันคุดซอมบี้ข่วนมือบ้างรึไง แล้วยิ่งหนังมันได้เรตต่ำเกินเนื้อหาด้วยทำให้ฉากพิฆาตซอมบี้ทั้งหลายมันหายจากจอไปโดยปริยาย .. ที่ทุบๆไปนั่นตายมั่งรึเปล่าก็ไม่รู้
ดังนั้นภาพที่ออกมามันก็จะอยู่ในลักษณะของ 'ละครดราม่า' ในสไตล์เกาหลีที่เอาตัวซอมบี้มาเป็นตัวขับเคลื่อนหนังมากกว่า กระนั้นก็ยังมีตัวละครหลายตัวที่ถูกใช้แบบทิ้งๆขว้างๆแล้วดันคาดหวังจะให้คนดูซาบซึ้งอย่างคู่อาจุนม่า, ไอ้หนุ่มโฮมเลส เป็นต้น ทั้งที่มันสามารถเอามาขยี้ได้มากกว่าที่มันเป็นอีกเยอะ แต่ตัวหนังเองก็ยังมุ่งมั่นที่จะโคจรรอบตัวพระเอก+ลูกสาว มากกว่าที่จะขยายภาพกว้างๆของตัวละครหลายๆตัวบนขบวนรถไฟนี้
อันที่จริงการลุ้นว่าซอมบี้ในหนังแต่ละเรื่องมันจะได้สกิลอะไรมาก็ถือเป็นสีสันอย่างนึงนะ ในแง่ของความน่ากลัว+สยองของซอมบี้ในหนังก็ถือว่าใช้ได้ เป็นซอมบี้ที่มีความพริ้ว,มีประสาทรับเสียงที่ไว และเน้นการกระโจนตะครุบเหยื่อเป็นหลัก (อันนี้อยู่ในจำพวก WWZ model) ที่ขัดๆนิดหน่อยก็คือหนังยังไม่ค่อยมีบรรทัดฐานของความไวในการ 'กลายสภาพ' ซักเท่าไหร่ คือบางคนโดนข่วนโดนกัดก็ดันกลายร่างไวกว่าคนที่โดนฆ่าตายซะงั้น คือเอาง่ายๆว่าจะเร็วจะช้านี่คือแล้วแต่พล็อตจะสะดวกเลย เน้นความลุ้นความเสียวอย่างเดียว ไม่เน้นสมจริง
ถ้าถามว่าประเด็นไหนที่ผิดหวังที่สุดในเรื้อง ก็คงจะเป็นฉากที่ไอ้หนุ่มเบสบอลไม่กล้าทุบหัวเพื่อนที่เป็นซอมบี้เนี่ยแหละ อันที่จริงแล้วมันควรจะเป็นฉากที่บีบหัวใจเอามากๆกับการที่เด็กหนุ่มซักคนจะตัดใจ 'ฆ่า' เพื่อนได้ลง ... แล้วหนังก็ introduce ทริคอุโมงค์มืดออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ! โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าในความ 'อ่อน' ตรงนี้มันทำให้เกิดอาการ 'เสียของ' ที่ควรจะเอามาเล่นได้แต่ก็ไม่เล่น ซึ่งพอมารวมๆกับคิวบู๊ที่ไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่, ความระทึกหนึ่งเดียวที่หนังจะ offer ให้คนดูอย่างเราได้ก็เหลือแค่โมเม้นต์ที่เหล่าซอมบี้วิ่งไล่ตัวเอกมาเฉยๆก็เท่านั้น
Train to Busan ถือเป็นหนังเกรดดีที่มีโปรดักชั่นสมศักดิ์ศรีหนังโรงเอามากๆ ทั้งคิวซอมบี้ที่ลุ้นระทึกชวนหวาดเสียว ทั้งพล็อตที่ท้าทายศีลธรรม (moral dilemma) ที่จะสนุกขึ้นถ้าเราคิดตามว่า "ถ้าเป็นเราจะทำแบบไหนกัน?" อันเป็นองค์ประกอบดีๆที่หนังซอมบี้ควรมี .. แต่ยังติดตรงที่หนังไม่สามารถก้าวข้ามดราม่าเกาหลีแบบเดิมๆไปได้ อีกทั้งระดับความซอฟของหนังก็ทำให้น่าผิดหวังลงไปนิดหน่อย (แต่อาจจะเฟรนด์ลี่กับคนดูทั่วๆไปมากกว่า) แต่ถามว่าถึงขนาดคำว่า 'เป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา' รึเปล่า? .. ก็ต้องตอบเลยว่า ยังหรอก ยังห่างไกลมากๆ
.. แต่ก็เข้าใจว่าคนที่พูดแบบนั้นก็คงยังไม่ได้มีโอกาสดูหนังซอมบี้เรื่องอื่นหรอกมั้ง
ป.ล.นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ป้า
ป.ล.2 ตอนอิวัยรุ่นสองคนตายนี่คือกุมขมับมาก
ป.ล.3 อิทหารตอนท้ายเรื่องนี่ก็พรางตัวเนียนไป พึ่งรู้ว่ามันก้มอยู่เยอะขนาดนั้น
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] Train to Busan - ปูซานเกม/โอลิมปิกซอมบี้ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 152] Train to Busan - ปูซานเกม/โอลิมปิกซอมบี้ ; (Sang-ho Yeon, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)
*คนเขียนเป็นแฟนหนังซอมบี้
**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย
เรื่องย่อ : พระเอกและลูกสาวกำลังจะไปเยี่ยมเมียที่บ้านนอกโดยรถไฟจากโซลไปปูซาน แล้วก็มาพัวพันกับเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดไปทั่วประเทศ พวกเขาต้องเอาตัวรอดให้ได้ทั้งจากซอมบี้ที่ดุร้าย และสัญชาตญานเอาตัวรอดที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์
เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ได้ดีเพราะปากต่อปากจริงๆมั้ง คือไม่เคยเห็นหนังโรงจากเกาหลีที่ได้รับกระแสตอบรับดีขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน (อันที่จริงผู้เขียนก็แอบโดนกระแสหอบเข้าโรงไปเหมือนกัน) ซึ่งเท่าที่สังเกตมาก็ยังมีเสียงแตกกับวลีว่า 'นี่เป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา' ... จริงหรือไม่จริงในฐานะที่เป็นแฟนหนังซอมบี้มานานจะขอวิเคราะห์คร่าวๆให้ฟังกัน
อนึ่งคือส่วนที่ถูกพูดถึงมากๆในแง่ของความดราม่าของเรื่อง ทั้งการหักเหลี่ยมกันระหว่างมนุษย์ที่เวลาคับขันแล้วจะแสดงธาตุแท้ที่เห็นแก่ตัวออกมาให้เห็น .. ซึ่งจะบอกว่านั่นเป็นหนึ่งใน element หลักของเสน่ห์หนังซอมบี้เลยล่ะ เรียกได้ว่าทำหนังร้อยเรื่อง..ยังไงก็ต้องเล่นประเด็นนี้ทั้งร้อยเรื่อง ซึ่งใน Train to Busan นั้นก็วางหน้าที่ 'ตัวร้าย' ไว้กับตาลุงนักธุรกิจได้อย่างถูกที่ถูกทางพอสมควร แต่ถามว่าลุงแกร้ายได้น่าหมั่นไส้สมบทบาทมั้ย? ก็คงต้องบอกว่ายังห่างไกลอีกเยอะเลย การที่หนังไม่ได้ตั้งใจโฟกัสกับตาลุงคนนี้มากเท่าไหร่ ทำให้ในบางฉากมันกลับกลายเป็นซัพพอร์ทให้การตัดสินใจของลุงแก 'เมคเซนส์' ไปซะงั้นแน่ะ
ประเด็นต่อมาคือการที่หนังโฟกัสจุดใหญ่ไปที่ 'ดราม่า' ระหว่างตัวละครมากกว่า 'ซอมบี้' ซึ่งถือว่าแปลกธรรมเนียมสำหรับหนังลักษณะนี้ ที่ไม่มีการวิเคราะห์หรือวางแผนรับมือซอมบี้เลย .. ซึ่งมันส่งผลมาให้ฉากต่อสู้เอาชีวิตรอดนั้นมันออกมาดูง่อยๆไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นพี่อ้วนที่รับบทเป็น 'super goodguy' ประจำเรื่องเนี่ย พี่แกเล่นพันเทปพันผ้าไว้ทั่วแขนเลยนะ .. แต่เอากำปั้นเปล่าๆไปต่อยซอมบี้! คือตอนดูนี่กุมขมับเลย อะไรจะเซฟตี้ขนาดนั้นพ่อคุณเอ้ย ไม่กลัวโดนฟันคุดซอมบี้ข่วนมือบ้างรึไง แล้วยิ่งหนังมันได้เรตต่ำเกินเนื้อหาด้วยทำให้ฉากพิฆาตซอมบี้ทั้งหลายมันหายจากจอไปโดยปริยาย .. ที่ทุบๆไปนั่นตายมั่งรึเปล่าก็ไม่รู้
ดังนั้นภาพที่ออกมามันก็จะอยู่ในลักษณะของ 'ละครดราม่า' ในสไตล์เกาหลีที่เอาตัวซอมบี้มาเป็นตัวขับเคลื่อนหนังมากกว่า กระนั้นก็ยังมีตัวละครหลายตัวที่ถูกใช้แบบทิ้งๆขว้างๆแล้วดันคาดหวังจะให้คนดูซาบซึ้งอย่างคู่อาจุนม่า, ไอ้หนุ่มโฮมเลส เป็นต้น ทั้งที่มันสามารถเอามาขยี้ได้มากกว่าที่มันเป็นอีกเยอะ แต่ตัวหนังเองก็ยังมุ่งมั่นที่จะโคจรรอบตัวพระเอก+ลูกสาว มากกว่าที่จะขยายภาพกว้างๆของตัวละครหลายๆตัวบนขบวนรถไฟนี้
อันที่จริงการลุ้นว่าซอมบี้ในหนังแต่ละเรื่องมันจะได้สกิลอะไรมาก็ถือเป็นสีสันอย่างนึงนะ ในแง่ของความน่ากลัว+สยองของซอมบี้ในหนังก็ถือว่าใช้ได้ เป็นซอมบี้ที่มีความพริ้ว,มีประสาทรับเสียงที่ไว และเน้นการกระโจนตะครุบเหยื่อเป็นหลัก (อันนี้อยู่ในจำพวก WWZ model) ที่ขัดๆนิดหน่อยก็คือหนังยังไม่ค่อยมีบรรทัดฐานของความไวในการ 'กลายสภาพ' ซักเท่าไหร่ คือบางคนโดนข่วนโดนกัดก็ดันกลายร่างไวกว่าคนที่โดนฆ่าตายซะงั้น คือเอาง่ายๆว่าจะเร็วจะช้านี่คือแล้วแต่พล็อตจะสะดวกเลย เน้นความลุ้นความเสียวอย่างเดียว ไม่เน้นสมจริง
ถ้าถามว่าประเด็นไหนที่ผิดหวังที่สุดในเรื้อง ก็คงจะเป็นฉากที่ไอ้หนุ่มเบสบอลไม่กล้าทุบหัวเพื่อนที่เป็นซอมบี้เนี่ยแหละ อันที่จริงแล้วมันควรจะเป็นฉากที่บีบหัวใจเอามากๆกับการที่เด็กหนุ่มซักคนจะตัดใจ 'ฆ่า' เพื่อนได้ลง ... แล้วหนังก็ introduce ทริคอุโมงค์มืดออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ! โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าในความ 'อ่อน' ตรงนี้มันทำให้เกิดอาการ 'เสียของ' ที่ควรจะเอามาเล่นได้แต่ก็ไม่เล่น ซึ่งพอมารวมๆกับคิวบู๊ที่ไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่, ความระทึกหนึ่งเดียวที่หนังจะ offer ให้คนดูอย่างเราได้ก็เหลือแค่โมเม้นต์ที่เหล่าซอมบี้วิ่งไล่ตัวเอกมาเฉยๆก็เท่านั้น
Train to Busan ถือเป็นหนังเกรดดีที่มีโปรดักชั่นสมศักดิ์ศรีหนังโรงเอามากๆ ทั้งคิวซอมบี้ที่ลุ้นระทึกชวนหวาดเสียว ทั้งพล็อตที่ท้าทายศีลธรรม (moral dilemma) ที่จะสนุกขึ้นถ้าเราคิดตามว่า "ถ้าเป็นเราจะทำแบบไหนกัน?" อันเป็นองค์ประกอบดีๆที่หนังซอมบี้ควรมี .. แต่ยังติดตรงที่หนังไม่สามารถก้าวข้ามดราม่าเกาหลีแบบเดิมๆไปได้ อีกทั้งระดับความซอฟของหนังก็ทำให้น่าผิดหวังลงไปนิดหน่อย (แต่อาจจะเฟรนด์ลี่กับคนดูทั่วๆไปมากกว่า) แต่ถามว่าถึงขนาดคำว่า 'เป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา' รึเปล่า? .. ก็ต้องตอบเลยว่า ยังหรอก ยังห่างไกลมากๆ
.. แต่ก็เข้าใจว่าคนที่พูดแบบนั้นก็คงยังไม่ได้มีโอกาสดูหนังซอมบี้เรื่องอื่นหรอกมั้ง
ป.ล.นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ป้า
ป.ล.2 ตอนอิวัยรุ่นสองคนตายนี่คือกุมขมับมาก
ป.ล.3 อิทหารตอนท้ายเรื่องนี่ก็พรางตัวเนียนไป พึ่งรู้ว่ามันก้มอยู่เยอะขนาดนั้น
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..