ให้ 9/10 หนังซอมบี้สัญชาติเกาหลี ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเกินคาดจากงานเทศกาลคานส์ 2016 ว่าเป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดในงานเทศกาลเลย กำกับและเขียนบทโดย Sang-ho Yeon ที่พัฒนามาจากหนังอนิเมชั่นของตัวเองเรื่อง Seoul Station (2016) นำแสดงโดย Goog Yoo ที่ดังมาจากซีรีส์เรื่อง Coffee Prince
Train to Busan ว่าด้วยเรื่องราวของสองพ่อลูกที่กำลังเดินทางไปปูซานโดยรถไฟในระหว่างที่ทั่วทั้งเมืองกำลังเริ่มมีเชื้อไวรัสแพร่ระบาด และเจ้าเชื้อไวรัสก็ดันหลุดรอดขึ้นมาบนรถไฟจนได้ ทำให้ผู้คนทั้งขบวนกลายเป็นซอมบี้ไปหมด ด้วยความรักที่พ่อมีต่อลูก จึงต้องปกป้องและสู้สุดความสามารถเพื่อเอาชีวิตรอดไปพร้อมๆกับกลุ่มคนที่ยังไม่กลายร่าง ชนิดที่จะลงหรืออยู่บนขบวนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น
ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ได้ปลื้มกับความเกาหลี ไม่ได้ศึกษาไปก่อน ไม่รู้ว่าใครเล่น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือหนังซอมบี้เพราะชื่อแสนบ่งบอกว่ามันคือหนังดราม่า แต่พอได้ดูกลับคิดว่านี่คงเป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดในเอเชียตอนนี้ แถมอาจจะยังดีกว่าของฝรั่งหลายๆเรื่องอีกด้วย
หนังซอมบี้ญี่ปุ่นเรื่อง I Am A Hero ที่เพิ่งเข้าฉายโรงไปไม่นานมานี้ ว่าเจ๋งมากแล้ว แต่ Train to Busan นี่ยิ่งเจ๋งเข้าไปใหญ่! ความมันส์เทียบเท่ากับ World War Z ได้เลยทีเดียว หรือสามารถเปรียบง่ายๆว่ามันคือ Snowpiecer + World War Z แห่งปี 2016
แถมซอมบี้ในเรื่องนี้ ยังเป็นสายพันธุ์เดียวกับซอมบี้ใน World War Z ที่มีความรวดเร็ว ว่องไว วิ่งไล่ตามได้ และหาอาหารกันเป็นทีมอีกด้วย ถึงซอมบี้จะมีจุดอ่อนที่ต่างกัน แต่ก็ถือว่าเป็นจุดบอดของซอมบี้ที่ทำออกมาทำได้ดีมากๆ ที่สามารถหาทางออกให้กับตัวละครได้ดีสุดๆ
แม้ในตอนต้นของ Train to Busan อาจจะปูเรื่องเฉื่อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับจังหวะหนังทั้งเรื่องที่เมื่อขึ้นรถไฟแล้วก็ลุ้นระทึกและพีคขึ้นไปเรื่อยๆทั้งเรื่องจนจบแบบไม่กล้าหายใจ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือการปูในจังหวะปกตินั่นแหละ แต่แค่ส่วนที่เหลือของหนังจังหวะเร็วและกระชับมากแค่นั้นเอง จึงทำให้ 10 นาทีแรกตอนเริ่มเรื่องรู้สึกช้าไปบ้าง แต่การปูนี้ก็คือส่วนสำคัญของเรื่องที่มาตอบโจทย์ทีละข้อๆในระหว่างทางของหนังถึงจบนั่นเอง
ส่วนตัวคิดว่า Train to Busan สนุกกว่า World War Z เสียอีก ถึงแม้ฉากจะไม่หวือหวาเปลี่ยนโลเคชั่น ลงน้ำ ขึ้นเครื่อง สะเทิ้นน้ำ สะเทิ้นบกเท่า แต่ Train to Busan ฉากหนีและฉากต่อสู้นั้นออกแบบมาได้ใจมากโดยเฉพาะฉากแพมนุษย์นี่ค่อนข้างอลังและตลกดี แถมหนังยังครบรส ทั้งตลกร้ายที่ขำออกมาเป็นเสียงหัวเราะได้ น่ากลัว ลุ้น ระทึก ตื่นเต้น มันส์ น่ารัก และซึ้งจนน้ำตาเล็ด
เรียกได้ว่าหนังกลมกล่อมมาก ที่สำคัญคือ แม้ว่ามันจะเป็นหนังซอมบี้ แต่ส่วนตัวขอบอกเลยว่า จริงๆแล้วมันคือหนังครอบครัวที่สามารถพาเด็กๆไปดูได้ เพราะไม่มีเรื่องยาและเรื่องเซ็กส์ ส่วนฉากจัดการซอมบี้ก็เป็นการจัดการแบบเบาๆไม่โหดร้ายป่าเถือนเมื่อเทียบกับการฆ่าซอมบี้ของเรื่องอื่นๆ เพราะตัวละครนำเป็นทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่ และผู้เป็นพ่อ นั่นเอง มันจึงทำให้โทนหนังซอฟลงมามากและประเด็นของหนังทั้งหมดก็คือ เรื่องของครอบครัว มันจึงเป็นหนังที่ส่วนตัวเห็นว่า เป็นหนังที่น่ารักไปโดยปริยาย ทั้งยังนำเสนอความเห็นแก่ตัวของจิตใจมนุษย์ได้ดี เด็กๆไปดูก็สามารถสอนควบคู่กันไปได้ดีเลยหละค่ะ
อีกส่วนที่ดีของหนังก็คือ มีแคสติ้งนักแสดงที่เหมาะสม เล่นสมบทบาท ไม่โอเวอร์แอคติ้งจนเกินไป กงยู (พระเอก) หน้าตาดีเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้ศัล สูง หุ่นดีมากสมส่วน ชนิดที่ว่าเสื้อใส่ยังไงก็เรียบสวยเนียนไม่มีรอยยับย่นแม้ในเวลาที่เลอะเทอะมอมแมม และในเวลาที่เสื้อผ้าคนอื่นยับย่น แสดงให้เห็นว่าหุ่นดีมากจนเป็นไม้แขวนเสื้อชั้นเลิศ และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเรื่องนี้ คือโปรดัคชั่นอันดีงามไม่แพ้หนัง Hollywood ภาพ และ effect ที่ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ป.ล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิด ประสบการณ์ สิ่งที่เจอหรือรู้สึกในช่วงที่ดูหนังเรื่องนั้นๆต่างกัน คะแนนของแต่ละเรื่องมาจากการเปรียบเทียบหนังใน Genre เดียวกัน จึงไม่สามารถไปเปรียบกับคะแนนเรื่องอื่นที่เป็นหนังคนละ Genre ได้ เมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ
https://www.facebook.com/MoviesStalker
[SR] รีวิว Train to Busan หนังซอมบี้ที่ดีที่สุดในตอนนี้
Train to Busan ว่าด้วยเรื่องราวของสองพ่อลูกที่กำลังเดินทางไปปูซานโดยรถไฟในระหว่างที่ทั่วทั้งเมืองกำลังเริ่มมีเชื้อไวรัสแพร่ระบาด และเจ้าเชื้อไวรัสก็ดันหลุดรอดขึ้นมาบนรถไฟจนได้ ทำให้ผู้คนทั้งขบวนกลายเป็นซอมบี้ไปหมด ด้วยความรักที่พ่อมีต่อลูก จึงต้องปกป้องและสู้สุดความสามารถเพื่อเอาชีวิตรอดไปพร้อมๆกับกลุ่มคนที่ยังไม่กลายร่าง ชนิดที่จะลงหรืออยู่บนขบวนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น
ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ได้ปลื้มกับความเกาหลี ไม่ได้ศึกษาไปก่อน ไม่รู้ว่าใครเล่น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือหนังซอมบี้เพราะชื่อแสนบ่งบอกว่ามันคือหนังดราม่า แต่พอได้ดูกลับคิดว่านี่คงเป็นหนังซอมบี้ที่ดีที่สุดในเอเชียตอนนี้ แถมอาจจะยังดีกว่าของฝรั่งหลายๆเรื่องอีกด้วย
หนังซอมบี้ญี่ปุ่นเรื่อง I Am A Hero ที่เพิ่งเข้าฉายโรงไปไม่นานมานี้ ว่าเจ๋งมากแล้ว แต่ Train to Busan นี่ยิ่งเจ๋งเข้าไปใหญ่! ความมันส์เทียบเท่ากับ World War Z ได้เลยทีเดียว หรือสามารถเปรียบง่ายๆว่ามันคือ Snowpiecer + World War Z แห่งปี 2016
แถมซอมบี้ในเรื่องนี้ ยังเป็นสายพันธุ์เดียวกับซอมบี้ใน World War Z ที่มีความรวดเร็ว ว่องไว วิ่งไล่ตามได้ และหาอาหารกันเป็นทีมอีกด้วย ถึงซอมบี้จะมีจุดอ่อนที่ต่างกัน แต่ก็ถือว่าเป็นจุดบอดของซอมบี้ที่ทำออกมาทำได้ดีมากๆ ที่สามารถหาทางออกให้กับตัวละครได้ดีสุดๆ
แม้ในตอนต้นของ Train to Busan อาจจะปูเรื่องเฉื่อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับจังหวะหนังทั้งเรื่องที่เมื่อขึ้นรถไฟแล้วก็ลุ้นระทึกและพีคขึ้นไปเรื่อยๆทั้งเรื่องจนจบแบบไม่กล้าหายใจ ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือการปูในจังหวะปกตินั่นแหละ แต่แค่ส่วนที่เหลือของหนังจังหวะเร็วและกระชับมากแค่นั้นเอง จึงทำให้ 10 นาทีแรกตอนเริ่มเรื่องรู้สึกช้าไปบ้าง แต่การปูนี้ก็คือส่วนสำคัญของเรื่องที่มาตอบโจทย์ทีละข้อๆในระหว่างทางของหนังถึงจบนั่นเอง
ส่วนตัวคิดว่า Train to Busan สนุกกว่า World War Z เสียอีก ถึงแม้ฉากจะไม่หวือหวาเปลี่ยนโลเคชั่น ลงน้ำ ขึ้นเครื่อง สะเทิ้นน้ำ สะเทิ้นบกเท่า แต่ Train to Busan ฉากหนีและฉากต่อสู้นั้นออกแบบมาได้ใจมากโดยเฉพาะฉากแพมนุษย์นี่ค่อนข้างอลังและตลกดี แถมหนังยังครบรส ทั้งตลกร้ายที่ขำออกมาเป็นเสียงหัวเราะได้ น่ากลัว ลุ้น ระทึก ตื่นเต้น มันส์ น่ารัก และซึ้งจนน้ำตาเล็ด
เรียกได้ว่าหนังกลมกล่อมมาก ที่สำคัญคือ แม้ว่ามันจะเป็นหนังซอมบี้ แต่ส่วนตัวขอบอกเลยว่า จริงๆแล้วมันคือหนังครอบครัวที่สามารถพาเด็กๆไปดูได้ เพราะไม่มีเรื่องยาและเรื่องเซ็กส์ ส่วนฉากจัดการซอมบี้ก็เป็นการจัดการแบบเบาๆไม่โหดร้ายป่าเถือนเมื่อเทียบกับการฆ่าซอมบี้ของเรื่องอื่นๆ เพราะตัวละครนำเป็นทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่ และผู้เป็นพ่อ นั่นเอง มันจึงทำให้โทนหนังซอฟลงมามากและประเด็นของหนังทั้งหมดก็คือ เรื่องของครอบครัว มันจึงเป็นหนังที่ส่วนตัวเห็นว่า เป็นหนังที่น่ารักไปโดยปริยาย ทั้งยังนำเสนอความเห็นแก่ตัวของจิตใจมนุษย์ได้ดี เด็กๆไปดูก็สามารถสอนควบคู่กันไปได้ดีเลยหละค่ะ
อีกส่วนที่ดีของหนังก็คือ มีแคสติ้งนักแสดงที่เหมาะสม เล่นสมบทบาท ไม่โอเวอร์แอคติ้งจนเกินไป กงยู (พระเอก) หน้าตาดีเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้ศัล สูง หุ่นดีมากสมส่วน ชนิดที่ว่าเสื้อใส่ยังไงก็เรียบสวยเนียนไม่มีรอยยับย่นแม้ในเวลาที่เลอะเทอะมอมแมม และในเวลาที่เสื้อผ้าคนอื่นยับย่น แสดงให้เห็นว่าหุ่นดีมากจนเป็นไม้แขวนเสื้อชั้นเลิศ และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเรื่องนี้ คือโปรดัคชั่นอันดีงามไม่แพ้หนัง Hollywood ภาพ และ effect ที่ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ป.ล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิด ประสบการณ์ สิ่งที่เจอหรือรู้สึกในช่วงที่ดูหนังเรื่องนั้นๆต่างกัน คะแนนของแต่ละเรื่องมาจากการเปรียบเทียบหนังใน Genre เดียวกัน จึงไม่สามารถไปเปรียบกับคะแนนเรื่องอื่นที่เป็นหนังคนละ Genre ได้ เมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ
สามารถอ่าน Review หนังเรื่องอื่นๆได้ที่เพจ Movies Stalker ค่ะ https://www.facebook.com/MoviesStalker