สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
มีก้อนที่คอโตเรื่อยๆ ทานอะไรลำบาก หายใจยาก อาการที่บอกนี่ไม่ใช่อาการคงที่นะครับ แต่เป็นอาการระยะสุดท้ายของโรคแล้ว
คือก้อนจะเบียดหลอดอาหาร เบียดหลอดลม และสุดท้ายจะหายใจไม่ได้ ซึ่งต่อไปก็น่าจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรืออาจต้องเจาะคออีก
ดังนั้นอาการของคนไข้อยู่ในระยะสุดท้ายแล้วครับ ญาติและคนไข้ต้องเตรียมตอบคำถามหนักๆ อีกหลายคำถามเลย
เช่นจะเจาะคอหรือไม่ จะให้ปั๊มหัวใจหรือไม่ ที่ต้องถามก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้หรือนานมาแล้ว
เราก็มีแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในระยะสุดท้ายหลายอย่าง
บางคนก็บอก ทำให้เต็มที่ ปั๊มหัวใจ เจาะคอ ใส่สายพะรุงพะรัง หรือขายบ้านขายช่องเพื่อยื้อให้อยู่แบบสภาพเป็นผัก (vegetative stage)
และรู้สึกว่าเป็นลูกกตัญญูเต็มที่
กับบางคนบอกไม่ปั๊ม ไม่เจาะ ให้คนไข้ไปแบบสบายเจ็บตัวน้อยที่สุด หรือบางคนขอเอาไปเสียที่บ้านเพื่อให้คนไข้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ผูกพันให้สงบที่สุดก่อนเสีย
หรือบางคนพูดถึงการุณยฆาต คือขอให้หมอฉีดยาให้คนไข้เสียชีวิตไปเลยเพื่อให้เค้าไม่ต้องทรมาน โดยที่ญาติทุกคนยินยอม คนไข้ยินยอม แต่อันนี้เมืองไทยยังไม่อนุญาตนะครับ
ดังนั้นที่หมอเค้าพูด ส่วนนึงก็อาจจะเพราะเค้าประเมินแล้วว่าอยู่ในระยะสุดท้ายจริงๆ ถึงย้ายรพ.ไปก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ มีแต่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นเลยแนะนำให้พากลับบ้านน่าจะดีที่สุด ก็เลยพูดแบบนี้ครับ จะได้ไม่ทรมานคนไข้
ถึงคนไข้เลือกนอนรพ.เอกชนต่อ หมอเอกชนท่านก็มาดูต่อก็ได้ค่ามาดูเพิ่มวันละ 3-500 บาท แต่คนที่เสียเป็นแสนคือญาติ ดังนั้นถ้ามันมีวิธีที่ดีกว่าหรือส่งไปแล้วได้ประโยชน์มากกว่า ผมเชื่อว่าหมอทุกคนเค้าไม่ยื้อไว้หรอกครับ ยินดีจะส่งไปด้วยซ้ำ ใครอยากจะให้คนไข้ตายในมือตัวเอง
เรื่องร้องเรียนร้องได้ครับ แต่กรณีนี้ถ้าผิดก็อาจจะเป็นแค่พูดต่อหน้าคนไข้ แต่ก็อีกนะ คนไข้ผมหลายคนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเค้ารับทราบอาการและทำใจได้ดีกว่าญาติอีก ดังนั้นก็พิจารณาเป็นเคสๆไปครับ
คือก้อนจะเบียดหลอดอาหาร เบียดหลอดลม และสุดท้ายจะหายใจไม่ได้ ซึ่งต่อไปก็น่าจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรืออาจต้องเจาะคออีก
ดังนั้นอาการของคนไข้อยู่ในระยะสุดท้ายแล้วครับ ญาติและคนไข้ต้องเตรียมตอบคำถามหนักๆ อีกหลายคำถามเลย
เช่นจะเจาะคอหรือไม่ จะให้ปั๊มหัวใจหรือไม่ ที่ต้องถามก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้หรือนานมาแล้ว
เราก็มีแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในระยะสุดท้ายหลายอย่าง
บางคนก็บอก ทำให้เต็มที่ ปั๊มหัวใจ เจาะคอ ใส่สายพะรุงพะรัง หรือขายบ้านขายช่องเพื่อยื้อให้อยู่แบบสภาพเป็นผัก (vegetative stage)
และรู้สึกว่าเป็นลูกกตัญญูเต็มที่
กับบางคนบอกไม่ปั๊ม ไม่เจาะ ให้คนไข้ไปแบบสบายเจ็บตัวน้อยที่สุด หรือบางคนขอเอาไปเสียที่บ้านเพื่อให้คนไข้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ผูกพันให้สงบที่สุดก่อนเสีย
หรือบางคนพูดถึงการุณยฆาต คือขอให้หมอฉีดยาให้คนไข้เสียชีวิตไปเลยเพื่อให้เค้าไม่ต้องทรมาน โดยที่ญาติทุกคนยินยอม คนไข้ยินยอม แต่อันนี้เมืองไทยยังไม่อนุญาตนะครับ
ดังนั้นที่หมอเค้าพูด ส่วนนึงก็อาจจะเพราะเค้าประเมินแล้วว่าอยู่ในระยะสุดท้ายจริงๆ ถึงย้ายรพ.ไปก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ มีแต่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นเลยแนะนำให้พากลับบ้านน่าจะดีที่สุด ก็เลยพูดแบบนี้ครับ จะได้ไม่ทรมานคนไข้
ถึงคนไข้เลือกนอนรพ.เอกชนต่อ หมอเอกชนท่านก็มาดูต่อก็ได้ค่ามาดูเพิ่มวันละ 3-500 บาท แต่คนที่เสียเป็นแสนคือญาติ ดังนั้นถ้ามันมีวิธีที่ดีกว่าหรือส่งไปแล้วได้ประโยชน์มากกว่า ผมเชื่อว่าหมอทุกคนเค้าไม่ยื้อไว้หรอกครับ ยินดีจะส่งไปด้วยซ้ำ ใครอยากจะให้คนไข้ตายในมือตัวเอง
เรื่องร้องเรียนร้องได้ครับ แต่กรณีนี้ถ้าผิดก็อาจจะเป็นแค่พูดต่อหน้าคนไข้ แต่ก็อีกนะ คนไข้ผมหลายคนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเค้ารับทราบอาการและทำใจได้ดีกว่าญาติอีก ดังนั้นก็พิจารณาเป็นเคสๆไปครับ
ความคิดเห็นที่ 31
ขอกลับไปตายที่บ้าน คำพูดสวยหรูที่หนังและละครพูดไม่หมด
+++++++++++++++++++++++
ขอกลับไปตายที่บ้าน หลายคนคงเคยได้ยินมาบ้าง และบางคนคงเคยคิดว่า ถ้าเป็นตัวเองเมื่อถึงคราว จะขอกลับไปตายที่บ้านตามแบบหนังและละคร
อยากจะบอกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ป๊าผมเคยพูดคำนี้กับพี่ชายคนที่สองไว้ แต่พี่ชายคนนี้แต่งงานแยกบ้านไปแล้ว จะมาทำงานที่บ้านป๊าทุกวัน ภาพที่พี่ชายเห็นจะไม่เท่ากับผม พี่ชายคนโต และแม่ เพราะต้องนอนบ้านเดียวกับป๊า ก็เลยจะรู้อาการและการใช้ชีวิตของป๊า และเวลาที่ป๊าขับถ่ายไม่ได้ดี ของเสียจะขึ้นสมอง ทำให้เกิดอาการเบลอ กลางคืนไม่นอน เดินไปเดินมา
การเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายของป๊า เข้าเพราะอ้วกมาเป็นสีดำคล้ำ ซึ่งก็คือมีเลือดปน เส้นเลือดเริ่มเปราะหมดแล้ว ให้น้ำเกลือก็ต้องหาเส้นเปลี่ยนเส้นจนกว่าจะเจอเส้นที่ใช้ได้ ที่ใช้ไม่ได้ให้ไปมันก็รั่วใต้ผิวหนัง ไม่ได้ไปตามเส้นเลือด ฉี่น้อยลงจนขุ่นเพราะมีเลือดปน
หลายเดือนที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ป๊าเข้าโรงพยาบาล พวกผมจะแจ้งกับหมอพยาบาลเสมอว่าห้ามกู้ชีพ ห้ามเจาะคอ ห้ามสอดท่อเข้าคอ ห้ามปั๊มหัวใจ ห้ามให้ยากระตุ้นหัวใจ เพราะไม่รู้จะยื้อให้ทรมานต่อไปทำไม เพราะตั้งแต่ป๊าเจอมะเร็งตับจนถึงปี 2559 นี้ก็ 15 ปี ถือว่าพอเพียงแล้วสำหรับคนเป็นโรคนี้
จริง ๆ อาการของมะเร็งตับ ตับแข็ง มันก็ยังพอถูไถไปได้ กินยาถ่ายบังคับให้ถ่ายวันละ 3 รอบ ก็จะไม่มีอาการเบลอ แต่ที่ทำให้ป๊าจากไปคือไตวายมากกว่า ค่าไตมันแย่ลงทุกวัน ๆ หมอก็บอกเองว่าอันนี้น่ากลัวกว่า อายุและสภาพร่างกายของป๊าไม่สามารถล้างไตฟอกไตใด ๆ ได้อีกแล้ว เส้นก็ไม่รู้จะเจาะที่ไหนก็ต้องย้ายไปเจาะที่คอ ไหนจะต้องทนนอนอยู่กะที่อีกหลายชั่วโมงต่อวัน
1 วันก่อนป๊าจากไป พี่ชายคนที่สองไปคุยกะหมอเรื่องการรักษา ซึ่งก็ไม่ได้รักษาอะไรแล้ว ให้ยาให้อะไรไปตามอาการ งดน้ำงดอาหารมาหลายวัน เพราะถ้าไม่งดจะยิ่งเลือดออกในกระเพาะอาหาร พี่ชายคนที่สองถามหมอว่าถ้าจะพาป๊ากลับไปที่บ้าน หมอบอกก็พากลับไปเลย พี่เค้าเลยมาถามทุกคน แน่นอนว่าผม พี่ชายคนโต และแม่ คัดค้าน เพราะเราดูแลไม่เป็น และต้องเฝ้า 24 ชั่วโมง ซึ่งทำไม่ได้ พี่ชายคนโตก็ทำงานข้างนอก แม่ผมก็แก่แล้ว และพยาบาลอายุ 60 กว่าอยู่บ้านตรงข้ามที่มาช่วยดูแลป๊าเป็นบางครั้งก็เคยบอกไว้ว่า ไปตายที่โรงพยาบาลดีที่สุดแล้ว ง่าย ไม่ยุ่งยาก ถ้าตายที่บ้านจะต้องเรียกตำรวจ เรียกนิติเวชมาชันสูตร ก็เลยมีดราม่าระหว่างพี่น้องกันนิดนึง พี่ชายคนที่สองถามว่าทำไมแค่นี้จะทำตามที่ป๊าพูดไม่ได้ ซึ่งผมก็พูดไปว่า พี่ไม่เคยเห็นอาการป๊า พี่เห็นแต่ป๊าตอนอาการดี ๆ พี่ไม่เคยดูแลป๊าตอนกลางคืน ไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง แล้วถ้าพาป๊ากลับบ้าน ถ้าป๊าอ้วกออกมาเราจะทำยังไง เรารู้วิธีหรือ เราไม่เคยหัดดูแลคนไข้หนักเลยนะ เราจะปล่อยให้อ้วกไปเรื่อย ๆ หรือส่งโรงพยาบาลอีก อีกกี่วันป๊าถึงจะจากไปก็ไม่มีใครตอบได้ และถ้ามอร์ฟีนหมดก็ต้องให้ต่อ เราจะไปซื้อที่ไหน โรงพยาบาลเค้าจะยอมขายให้หรือ ป๊าอยู่กับมืออาชีพดีที่สุดแล้ว สุดท้ายพี่เค้าอ่อนลงและยอมให้ป๊าอยู่โรงพยาบาลต่อ
ที่ผมพูดนี่ไม่ได้จะโทษพี่น้องคนไหนว่าไม่มาดูแลป๊านะ แต่พูดเพื่อให้เห็นภาพความเป็นจริงที่หนังและละครไม่เคยพูด ทุกคนจะนึกว่ากลับมาตายที่บ้านอย่างชิล ๆ กลางวันพูดคุย กลางคืนนอนแล้วจากไปอย่างสงบ ไม่มี้ จะมีก็แต่คนไข้ที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
เพราะฉะนั้น อย่าพูดคำนี้ให้ลูกหลานลำบากใจ และถ้าใครจะรับปากพ่อแม่ ก็แนะนำว่ารับ ๆ ไป แต่ถึงเวลาจริงค่อยว่ากันอีกที อย่าไปยึดติดมาก เอาที่สะดวกกับคนที่ต้องดูแลดีที่สุด
ข้อดีของการตายที่โรงพยาบาลคือ มันง่ายกับคนทุกฝ่าย ไม่ต้องเรียกตำรวจ ไม่ต้องเรียกนิติเวช หมอเซ็นใบมรณะบัตรและลงสาเหตุการตายได้เลย และที่จุฬาก็ออกไปมรณบัตรได้จันทร์ถึงเสาร์ ป๊าจากไปตอน 07.15 น. หมอโทรมาแจ้งประมาณ 07.20 น. พี่ชายคนโตไปเคลียร์ทุกสิ่งอย่างที่จุฬา ซื้อโลงศพก็มีอยู่ตรงนั้น จะนิมนต์พระนำหน้าก็บอกไปว่าวัดไหน โชคดีหน่อยที่ครอบครัวผมเลือกวัดหัวลำโพงที่ใกล้จุฬามาก ส่วนผมก็เลยไปจองศาลา จัดการเรื่องจำนวนวัน ดอกไม้ และอาหารเลี้ยงแขก จนสามารถเคลื่อนศพมาถึงวัดได้เวลา 13.00 น. จัดงานศพวันแรกทันวันนั้นเลย
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคนอ่านบ้างนะครับ
ส่วนนี้เป็นเรื่องการเลือกวัด หลายคนสงสัยว่าทำไมจัดวัดหัวลำโพง เพื่อน ๆ จะถามว่าบ้านอยู่ไหน อยู่ห้วยขวางครับ ไม่ได้ใกล้วัดเลย แต่เลือกเพราะว่าต้องการให้แขกที่มางานสะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน ไม่ต้องเข้าซอย หิวก็มีห้างอยู่ฝั่งตรงข้าม และพี่ชายคนโตก็สะดวกมาที่วัดเพื่อยกอาหารให้ป๊าวันละ 2 รอบ ถ้าเป็นวัดลาดปลาเค้าที่ป๊าเคยพูด แขกจะมากันยังไง พี่ชายผมจะทำอะไรหลังยกอาหารรอบแรกเสร็จ ขับรถก็ไม่เป็น แถวนั้นก็ไม่รู้จะไปเตร็ดเตร่ที่ไหน แต่พอเป็นที่หัวลำโพง อยากไปพารากอน เอ็มควอเทียร์ อะไรก็สบาย ซึ่งพวกเราเลือกวัดกันมาครึ่งปีละ คุยกันเองไม่ให้ป๊ารู้ ตัวเลือกอีกวัดนึงคือ วันธาตุทอง
จริง ๆ อยากให้ลูก ๆ หลาน ๆ พิมพ์ไปให้พ่อแม่อากงอาม่าอ่าน เขาจะได้เข้าใจ บางคนสั่งไว้ว่าห้ามเผากลัวร้อน (อาอี๊ผมเอง) จะต้องจัดงานศพกี่วัน ต้องทำกงเต็กด้วย ซึ่งเป็นภาระกับลูกหลานอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องกงเต็ก
ถึงเวลานี้คุณต้องเตรียมให้พร้อม รูปภาพของคนไข้ ใส่กรอบไว้ ใช้นำหน้าเวลาเคลื่อนย้ายศพ และตั้งหน้าโลงศพ เตรียมชุดที่คนไข้ชอบเอาไว้ใส่ หลังจากเสียชีวิต เรื่องพวกนี้บ้านผมเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ต้องรอให้คนไข้จากไปแล้วค่อยเตรียม มันไม่ทัน คุณจะไปหารูปใส่กรอบมาจากไหน
หมอก็พูดกับพี่ชายผมว่าอยู่ไปก็ไม่ได้ทำอะไร ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่เลย มันระยะสุดท้ายแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน ถ้าคุณยอมรับตรงนี้ไม่ได้ คุณก็จะนึกว่าหมอปล่อยให้คนไข้ตาย แต่ถ้าคุณยอมรับความจริง คุณจะเข้าใจเองว่ามันไม่มีทางแล้ว
+++++++++++++++++++++++
ขอกลับไปตายที่บ้าน หลายคนคงเคยได้ยินมาบ้าง และบางคนคงเคยคิดว่า ถ้าเป็นตัวเองเมื่อถึงคราว จะขอกลับไปตายที่บ้านตามแบบหนังและละคร
อยากจะบอกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ป๊าผมเคยพูดคำนี้กับพี่ชายคนที่สองไว้ แต่พี่ชายคนนี้แต่งงานแยกบ้านไปแล้ว จะมาทำงานที่บ้านป๊าทุกวัน ภาพที่พี่ชายเห็นจะไม่เท่ากับผม พี่ชายคนโต และแม่ เพราะต้องนอนบ้านเดียวกับป๊า ก็เลยจะรู้อาการและการใช้ชีวิตของป๊า และเวลาที่ป๊าขับถ่ายไม่ได้ดี ของเสียจะขึ้นสมอง ทำให้เกิดอาการเบลอ กลางคืนไม่นอน เดินไปเดินมา
การเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายของป๊า เข้าเพราะอ้วกมาเป็นสีดำคล้ำ ซึ่งก็คือมีเลือดปน เส้นเลือดเริ่มเปราะหมดแล้ว ให้น้ำเกลือก็ต้องหาเส้นเปลี่ยนเส้นจนกว่าจะเจอเส้นที่ใช้ได้ ที่ใช้ไม่ได้ให้ไปมันก็รั่วใต้ผิวหนัง ไม่ได้ไปตามเส้นเลือด ฉี่น้อยลงจนขุ่นเพราะมีเลือดปน
หลายเดือนที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ป๊าเข้าโรงพยาบาล พวกผมจะแจ้งกับหมอพยาบาลเสมอว่าห้ามกู้ชีพ ห้ามเจาะคอ ห้ามสอดท่อเข้าคอ ห้ามปั๊มหัวใจ ห้ามให้ยากระตุ้นหัวใจ เพราะไม่รู้จะยื้อให้ทรมานต่อไปทำไม เพราะตั้งแต่ป๊าเจอมะเร็งตับจนถึงปี 2559 นี้ก็ 15 ปี ถือว่าพอเพียงแล้วสำหรับคนเป็นโรคนี้
จริง ๆ อาการของมะเร็งตับ ตับแข็ง มันก็ยังพอถูไถไปได้ กินยาถ่ายบังคับให้ถ่ายวันละ 3 รอบ ก็จะไม่มีอาการเบลอ แต่ที่ทำให้ป๊าจากไปคือไตวายมากกว่า ค่าไตมันแย่ลงทุกวัน ๆ หมอก็บอกเองว่าอันนี้น่ากลัวกว่า อายุและสภาพร่างกายของป๊าไม่สามารถล้างไตฟอกไตใด ๆ ได้อีกแล้ว เส้นก็ไม่รู้จะเจาะที่ไหนก็ต้องย้ายไปเจาะที่คอ ไหนจะต้องทนนอนอยู่กะที่อีกหลายชั่วโมงต่อวัน
1 วันก่อนป๊าจากไป พี่ชายคนที่สองไปคุยกะหมอเรื่องการรักษา ซึ่งก็ไม่ได้รักษาอะไรแล้ว ให้ยาให้อะไรไปตามอาการ งดน้ำงดอาหารมาหลายวัน เพราะถ้าไม่งดจะยิ่งเลือดออกในกระเพาะอาหาร พี่ชายคนที่สองถามหมอว่าถ้าจะพาป๊ากลับไปที่บ้าน หมอบอกก็พากลับไปเลย พี่เค้าเลยมาถามทุกคน แน่นอนว่าผม พี่ชายคนโต และแม่ คัดค้าน เพราะเราดูแลไม่เป็น และต้องเฝ้า 24 ชั่วโมง ซึ่งทำไม่ได้ พี่ชายคนโตก็ทำงานข้างนอก แม่ผมก็แก่แล้ว และพยาบาลอายุ 60 กว่าอยู่บ้านตรงข้ามที่มาช่วยดูแลป๊าเป็นบางครั้งก็เคยบอกไว้ว่า ไปตายที่โรงพยาบาลดีที่สุดแล้ว ง่าย ไม่ยุ่งยาก ถ้าตายที่บ้านจะต้องเรียกตำรวจ เรียกนิติเวชมาชันสูตร ก็เลยมีดราม่าระหว่างพี่น้องกันนิดนึง พี่ชายคนที่สองถามว่าทำไมแค่นี้จะทำตามที่ป๊าพูดไม่ได้ ซึ่งผมก็พูดไปว่า พี่ไม่เคยเห็นอาการป๊า พี่เห็นแต่ป๊าตอนอาการดี ๆ พี่ไม่เคยดูแลป๊าตอนกลางคืน ไม่รู้หรอกว่าเป็นยังไง แล้วถ้าพาป๊ากลับบ้าน ถ้าป๊าอ้วกออกมาเราจะทำยังไง เรารู้วิธีหรือ เราไม่เคยหัดดูแลคนไข้หนักเลยนะ เราจะปล่อยให้อ้วกไปเรื่อย ๆ หรือส่งโรงพยาบาลอีก อีกกี่วันป๊าถึงจะจากไปก็ไม่มีใครตอบได้ และถ้ามอร์ฟีนหมดก็ต้องให้ต่อ เราจะไปซื้อที่ไหน โรงพยาบาลเค้าจะยอมขายให้หรือ ป๊าอยู่กับมืออาชีพดีที่สุดแล้ว สุดท้ายพี่เค้าอ่อนลงและยอมให้ป๊าอยู่โรงพยาบาลต่อ
ที่ผมพูดนี่ไม่ได้จะโทษพี่น้องคนไหนว่าไม่มาดูแลป๊านะ แต่พูดเพื่อให้เห็นภาพความเป็นจริงที่หนังและละครไม่เคยพูด ทุกคนจะนึกว่ากลับมาตายที่บ้านอย่างชิล ๆ กลางวันพูดคุย กลางคืนนอนแล้วจากไปอย่างสงบ ไม่มี้ จะมีก็แต่คนไข้ที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
เพราะฉะนั้น อย่าพูดคำนี้ให้ลูกหลานลำบากใจ และถ้าใครจะรับปากพ่อแม่ ก็แนะนำว่ารับ ๆ ไป แต่ถึงเวลาจริงค่อยว่ากันอีกที อย่าไปยึดติดมาก เอาที่สะดวกกับคนที่ต้องดูแลดีที่สุด
ข้อดีของการตายที่โรงพยาบาลคือ มันง่ายกับคนทุกฝ่าย ไม่ต้องเรียกตำรวจ ไม่ต้องเรียกนิติเวช หมอเซ็นใบมรณะบัตรและลงสาเหตุการตายได้เลย และที่จุฬาก็ออกไปมรณบัตรได้จันทร์ถึงเสาร์ ป๊าจากไปตอน 07.15 น. หมอโทรมาแจ้งประมาณ 07.20 น. พี่ชายคนโตไปเคลียร์ทุกสิ่งอย่างที่จุฬา ซื้อโลงศพก็มีอยู่ตรงนั้น จะนิมนต์พระนำหน้าก็บอกไปว่าวัดไหน โชคดีหน่อยที่ครอบครัวผมเลือกวัดหัวลำโพงที่ใกล้จุฬามาก ส่วนผมก็เลยไปจองศาลา จัดการเรื่องจำนวนวัน ดอกไม้ และอาหารเลี้ยงแขก จนสามารถเคลื่อนศพมาถึงวัดได้เวลา 13.00 น. จัดงานศพวันแรกทันวันนั้นเลย
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคนอ่านบ้างนะครับ
ส่วนนี้เป็นเรื่องการเลือกวัด หลายคนสงสัยว่าทำไมจัดวัดหัวลำโพง เพื่อน ๆ จะถามว่าบ้านอยู่ไหน อยู่ห้วยขวางครับ ไม่ได้ใกล้วัดเลย แต่เลือกเพราะว่าต้องการให้แขกที่มางานสะดวก มีรถไฟฟ้าใต้ดินผ่าน ไม่ต้องเข้าซอย หิวก็มีห้างอยู่ฝั่งตรงข้าม และพี่ชายคนโตก็สะดวกมาที่วัดเพื่อยกอาหารให้ป๊าวันละ 2 รอบ ถ้าเป็นวัดลาดปลาเค้าที่ป๊าเคยพูด แขกจะมากันยังไง พี่ชายผมจะทำอะไรหลังยกอาหารรอบแรกเสร็จ ขับรถก็ไม่เป็น แถวนั้นก็ไม่รู้จะไปเตร็ดเตร่ที่ไหน แต่พอเป็นที่หัวลำโพง อยากไปพารากอน เอ็มควอเทียร์ อะไรก็สบาย ซึ่งพวกเราเลือกวัดกันมาครึ่งปีละ คุยกันเองไม่ให้ป๊ารู้ ตัวเลือกอีกวัดนึงคือ วันธาตุทอง
จริง ๆ อยากให้ลูก ๆ หลาน ๆ พิมพ์ไปให้พ่อแม่อากงอาม่าอ่าน เขาจะได้เข้าใจ บางคนสั่งไว้ว่าห้ามเผากลัวร้อน (อาอี๊ผมเอง) จะต้องจัดงานศพกี่วัน ต้องทำกงเต็กด้วย ซึ่งเป็นภาระกับลูกหลานอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องกงเต็ก
ถึงเวลานี้คุณต้องเตรียมให้พร้อม รูปภาพของคนไข้ ใส่กรอบไว้ ใช้นำหน้าเวลาเคลื่อนย้ายศพ และตั้งหน้าโลงศพ เตรียมชุดที่คนไข้ชอบเอาไว้ใส่ หลังจากเสียชีวิต เรื่องพวกนี้บ้านผมเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ต้องรอให้คนไข้จากไปแล้วค่อยเตรียม มันไม่ทัน คุณจะไปหารูปใส่กรอบมาจากไหน
หมอก็พูดกับพี่ชายผมว่าอยู่ไปก็ไม่ได้ทำอะไร ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่เลย มันระยะสุดท้ายแล้วจะให้ทำอะไรล่ะ คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน ถ้าคุณยอมรับตรงนี้ไม่ได้ คุณก็จะนึกว่าหมอปล่อยให้คนไข้ตาย แต่ถ้าคุณยอมรับความจริง คุณจะเข้าใจเองว่ามันไม่มีทางแล้ว
ความคิดเห็นที่ 28
นั่นคือเรื่องที่ควรทำเลยละ แต่คนไทยไม่ชิน
ผู้ป่วยควรรู้สภาพการเจ็บป่วยของตน รู้การดำเนินโรค รู้แผนการดูแลรักษา ร่วมตัดสินใจเลือกการดูแลรักษากับหมอและทีม
ถ้าผู้ป่วยต้องการให้ญาติรับทราบด้วย หมอจะเชิญมารับฟังพร้อมผู้ป่วย ในโอกาสต่อไปได้
แต่คนแรกที่ต้องรับทราบและตัดสินใจคือผู้ป่วยเอง
ถ้าหมอไปบอกญาติก่อนโดยผู้ป่วยไม่อนุญาต หมอผิดโทษฐานเปิดเผยความลับผู้ป่วย
แต่ๆๆๆ ต้องมีศิลปะในการแจ้งข่าวร้ายค่ะ ไม่ใช่แจ้งข่าวแบบที่ จขกท เล่ามา
ครูบาอาจารย์รู้เข้ามีหวังสตั๊นท์กันเป็นแถวเลย
อย่าเตะหมอนะ หมอกลัว หมอไม่สู้คนอ้ะ
ผู้ป่วยควรรู้สภาพการเจ็บป่วยของตน รู้การดำเนินโรค รู้แผนการดูแลรักษา ร่วมตัดสินใจเลือกการดูแลรักษากับหมอและทีม
ถ้าผู้ป่วยต้องการให้ญาติรับทราบด้วย หมอจะเชิญมารับฟังพร้อมผู้ป่วย ในโอกาสต่อไปได้
แต่คนแรกที่ต้องรับทราบและตัดสินใจคือผู้ป่วยเอง
ถ้าหมอไปบอกญาติก่อนโดยผู้ป่วยไม่อนุญาต หมอผิดโทษฐานเปิดเผยความลับผู้ป่วย
แต่ๆๆๆ ต้องมีศิลปะในการแจ้งข่าวร้ายค่ะ ไม่ใช่แจ้งข่าวแบบที่ จขกท เล่ามา
ครูบาอาจารย์รู้เข้ามีหวังสตั๊นท์กันเป็นแถวเลย
อย่าเตะหมอนะ หมอกลัว หมอไม่สู้คนอ้ะ
ความคิดเห็นที่ 56
คนไทยนี่มันไทยจริงๆ
เป็นชาติเดียวในโลกที่ถือว่าสิทธิในการรู้ข้อมูลของคนป่วย
อยู่ที่ญาติมากกว่าตัวคนป่วยเอง
เป็นชาติที่ถือว่าการได้รู้ข้อมูลและควมจริงทั้งหมดเป็นสิ่งผิด
ถ้าที่หมอพูดมามันผิดก็ว่าไปอย่าง
คนป่วยควรต้องรู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นอะไรรุนแรงแค่ไหน
ญาติต่างหากที่ไม่มีสิท ถ้าผู้ป่วยพอใจจะบอกใครก็ขึ้นอยู่กับเค้า
ปล ขอชื่อหมอที่รักษาด้วยนะคะ
จะไปบอกให้ลาออก อย่ามาทนกับคนแบบ จขกทอีก
ไปทำบุญล้างซวยซะ
เป็นชาติเดียวในโลกที่ถือว่าสิทธิในการรู้ข้อมูลของคนป่วย
อยู่ที่ญาติมากกว่าตัวคนป่วยเอง
เป็นชาติที่ถือว่าการได้รู้ข้อมูลและควมจริงทั้งหมดเป็นสิ่งผิด
ถ้าที่หมอพูดมามันผิดก็ว่าไปอย่าง
คนป่วยควรต้องรู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นอะไรรุนแรงแค่ไหน
ญาติต่างหากที่ไม่มีสิท ถ้าผู้ป่วยพอใจจะบอกใครก็ขึ้นอยู่กับเค้า
ปล ขอชื่อหมอที่รักษาด้วยนะคะ
จะไปบอกให้ลาออก อย่ามาทนกับคนแบบ จขกทอีก
ไปทำบุญล้างซวยซะ
แสดงความคิดเห็น
หมอพูดว่า 'อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ กลับไปตายที่บ้านดีกว่าไหม' ต่อหน้าคนไข้ ได้ด้วยหรอคะ?
ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าคุณพ่อ เป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะ 4 ลามไปส่วนอื่น (คุณพ่อทราบตั้งแต่ต้นนะคะว่าตัวเองเป็นมะเร็งขั้นไหน การรักษาทุกอย่างมีการถามความสมัครใจและเลือกแบบที่พ่ออยากทำมากที่สุดแล้วค่ะ)มีฉายแสงไปสองรอบแล้ว พ่อไม่ไหว เลือกรักษาแบบแพทย์ทางเลือก จนตอนนี้ 2 ปีแล้ว อาการโดยรวมคงที่ แต่สองเดือนที่ผ่านมามีก้อนที่คอ โตขึ้นเรื่อยๆ จนทานอะไรลำบาก หน้ามืด หายใจยาก จะเป็นลม รีบโทรถามคุณหมอที่เคยรักษา แจ้งว่า โลหิตจาง ให้รีบโทรเรียกรถพยาบาลมารับไปตรวจและให้เลือดเพิ่ม
ก็เลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านค่ะ ตอนแรกคุณหมอก็พูดดีนะคะ แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง(รวมทุกอย่างแล้ว แสนอัพ)เลยจะให้ทำเรื่องย้ายไป รพ.ที่มีบัตรทอง หมอเปลี่ยนท่าทางเลย แล้วระหว่างรอเอกสารส่งตัว หมอมาพูดกับแม่ใกล้ๆตรงที่พ่อนอนให้น่ำเกลืออยู่ว่า
"อยู่ก็ไม่ทำไรเพิ่ม กลับไปตายที่บ้านดีกว่า.." แม่ก็ตกใจ บอกคุณหมอว่า พูดเบาๆหน่อย เดี๋ยวคนไข้ได้ยินจะใจเสีย หมอก็พูดขึ้นอีกว่า "ก็ระยะสี่แล้ว ทำไรไม่ได้อยู่แล้ว อยากให้เค้าตายที่รพ.หรอ ไม่อยากให้กลับไปตายที่บ้านหรอ?"
คือมันแรงไปไหม? กว่าจะมีกำลังใจ หาทางรักษาจนพ่ออาการทรงตัว ต้องใช้ความพยายามขนาดไหน? แม่ใจเสียเลย ฟังแล้วจะร้องไห้ ละไม่รู้พ่อได้ยินชัดขนาดไหน ปกติเค้าก้ไม่อยากมา รพ. อยู่แล้ว นะเพราะอากงเสียที่ รพ.
คุณหมอ มีจรรยาบรรณอยู่ไหมคะ // ตอนนี้แม่กำลังจะทำเรื่องร้องเรียน ไม่รู้จะถึงผู้บริหารไหม หรือสุดท้ายจะกลายเป็นแค่กระดาษไร้ค่าในกล่องความเห็น...
ปล.พยาบาลที่นี้ดีมาก วิ่งเต้นทำเรื่องส่งตัวให้ ให้คำแนะนำอย่างดี ขอชื่นชมค่ะ
***เพิ่มเติมค่ะ
- พ่อเราไม่เคยรักษากับหมอคนนี้มาก่อนนะคะ วันนี้ครั้งแรกค่ะ เลือกเพราะเป็นรพ.(เอกชน)ใกล้บ้านค่ะ บอกไปแล้วว่าต้องการรักษาแบบประครองอาการ คือป่วยอะไรเพิ่มรักษาอย่างนั้น (คุณพ่อเห็นด้วยและต้องการรักษาแบบนี้ค่ะ)
- อาการคงที่ ที่ว่าคือ สำหรับคนที่ไม่ได้รักษาแบบคีโมฉายแสง ช่วงระยะ 2ปีแรกไม่มีอาการอย่างอื่นเพิ่มเติมมากค่ะ จะปวดเมื่อยตามตัว แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมามีก้อนที่คอ อ่อนเพลีย เลยไปพบหมอในวันนี้ค่ะ
- บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยเรื่องแพทย์ทางเลือก เราก็ไม่เห็นด้วยค่ะ แต่พ่อต้องการรักษาแบบนี้ ท่านสบายใจกว่า เราก็ต้องทำตามค่ะ ถ้าฝืนไป กลัวท่านจะตรอมใจซะก่อน
**** อัพเดท
ตอนแรกแม่จะทำเรื่องส่งจดหมายร้องเรียนแต่พ่ออยากรีบกลับบ้านเลยไม่ได้ทำเรื่องค่ะ พอเราจะแจ้งทาง คอลเซ็นเตอร์ให้ แม่บอกอย่าไปอะไรกับคนแบบนั้นเลย ช่างเค้าเถอะ มาดูแลป๊าดีกว่า
เจ็บสุดตรง แม่บอก ตอนแรกกำลังใจดี พอได้ยินหมอพูดแบบนั้น แทบหมดแรงเลย แต่ก็จะสู้ต่อ ค่ะ
******อัพเดท 22.08.59
คุณพ่อเสียแล้วนะคะ เมื่อคืนวันที่ 20.8.59 ตอนประมาณ 5 ทุ่ม ท่านไปสงบ นอนหลับแล้วไปค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นทั้งด้านคนไข้และให้ความเห็นในมุมมองหมอ ทุกกำลังใจนะคะ
สำหรับทุกๆคน ที่ป่วยหรือมีคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งนะคะ กำลังใจสำคัญที่สุดจริงๆ นะคะ เลือกทางรักษาที่เค้าสบายใจที่สุด สู้ๆ นะคะ