พอดี จขกท ยังไม่ได้ยืนยันตัวตน เลยตั้งเป็นกระทู้คำถามนะคะ แต่อยากจะมาแชร์เรื่องราวว่าการมีเมตตากับคู่ของเรามันหมายถึงอะไร
สืบเนื่องจากวันนี้เข้าไปตอบกระทู้หนึ่งแล้วนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ปล ไม่ได้มาอวยตัวเองหรืออวด ผ น๊า พวกเราก็คนธรรมดา มีทุกข์สุข เถียงกันเหมือนทุกคู่
ก่อนอื่นแนะนำตัวเอง ดิฉันเป็นหญิงไทยวัยใกล้หลักสี่ ย้ายมาอยู่อเมริกาด้วยเรื่องการงาน มาเจอคุณแฟนชาวอเมริกัน เป็นพ่อหม้าย(หย่า)ลูกติด
ก่อนหน้านี้ ดิฉันก็เหมือนกับผู้หญิงอีกหลายคนที่"โปรไฟล์ดี" แต่ผิดหวังเรื่องความรักบ่อยจนคิดว่าโสดก็ได้วะ
ส่วนคุณแฟน (ขอใช้แทนว่า J) ก็เจอมาสาหัสไม่แพ้กัน สิ่งดีๆสิ่งเดียวที่เธอได้มาจากการแต่งงานคือลูก และเธอรักลูกมาก ก่อนมาเจอเรา เธอบอกว่าการออกเดทเป็นการพักผ่อนของเธอ ไม่ได้มุ่งหวังจะพบรักแท้ และไม่เชื่อในการแต่งงานอีกต่อไป
J บอกว่าตอนแรกที่มาจีบดิฉัน เห็นแค่ว่าน่ารักดี ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก คงเหมือนคนอื่นๆที่เธอนัดเจอแล้วก็ผ่านไป
ดิฉันเองอย่างที่บอกว่าตอนนั้นทำใจเตรียมโสดแล้ว ดังนั้นถ้าจะมีก็จะต้องเป็นคนที่ดีพอ ไม่ฉุดชีวิตเราให้จมลง เรียกว่าเอาสมองนำหัวใจ
พอเดทกันสักพัก J เห็นว่าดิฉันเป็นคนใจดี ลองพาลูกมาเจอแล้วก็เข้ากันได้ เลยตัดสินใจคบกันจริงจัง (คือเลือกดิฉันเพราะคิดว่าจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีได้)
คราวนี้มันเกี่ยวกับความเมตตายังไง
พอเราคบกันได้ราวครึ่งปีก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน หลังย้ายมาไม่ถึงเดือนดิฉันก็ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ แถมที่ทำงานก็มีปัญหา ถึงจะไม่มีอะไรร้ายแรงแต่ก็รู้สึกตัวเองเป็นภาระกับJ และถึงเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดิฉันก็ทุกข์และเครียดจนชวนเขาทะเลาะหลายครั้ง
J จะถามฉันบ่อยๆว่า "How are you feeling?" ซึ่งตอนแรกดิฉันก็คิดว่าจะถามอะไรนักหนาวะ
จนมาวันหนึ่ง ดิฉันก็เกิด "Aha moment" ว่าที่เขาถามนี่เพราะเขาสงสัยว่าทำไมเราจึงทุกข์ คุยกันก็พบว่าเขาแค่อยากเห็นเรามีความสุข กลับไปยิ้มง่ายใจดีเหมือนตอนที่เจอกันใหม่ๆ ปัญหาที่มีเขาจะช่วยแก้ไข และเราไม่ได้เป็นภาระอย่างที่กังวล
หลังจากวันนั้นดิฉันก็ได้หลักใหม่ที่คิดว่าใช้ได้ดีกับคู่เรา คือถือการมีเมตตาต่อกัน สิ่งดีๆที่ทำให้เพราะอยากให้เขามีความสุข ไม่ใช่ทำดีเพราะอยากให้เขารัก
ซึ่งความจริงการหวังผลแค่นี้มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นนะ เพราะพอทำดีให้แล้วเห็นเขามีความสุข ก็ mission accomplished (ประสบความสำเร็จ) แล้ว
แต่ถ้าไปหวังว่าทำดีแล้วเขาจะรัก มันคือเอาความสำเร็จไปขึ้นกับเขาไง ทำชีวิตให้มันซับซ้อนโดยไม่จำเป็น แต่เห็นคนชอบคิดแบบนี้กันจัง
J บอกว่า การเห็นดิฉันเป็นคนใจดี ทำให้เขาอยากทำทุกวิถีทางที่จะให้ฉันสามารถคงความใจดีไว้ได้ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่กลายเป็นคนใจดีก็เถอะ
(อันนี้ฉันว่าไม่จริงนะ เขาโตมาในครอบครัวที่มีแต่คนใจดี โดยเฉพาะพ่อแม่เขา ดังนั้นเขาเลยดูเหมือนเป็นคนแข็งๆเมื่อเทียบกับคนอื่นในบ้าน แต่เทียบกับคนทั่วไปเขาเป็นคนดีเลยแหละ)
เขาบอกว่าให้เขาเป็นคนกังวลกับปัญหาจากนอกบ้านเอง เพื่อฉันจะได้เอาเวลาทั้งหมดไปกังวลกับการเป็นคนดี (พิมพ์ออกมาแล้วเข้าใจยากเนอะ)
ทั้งหมดนี้แค่อยากแชร์ความคิดเราว่า เมตตาเป็นธรรมะสำคัญในชีวิตคู่ เห็นเขาสุขก็ยินดีและจบแค่นั้น การหวังผลสองชั้นให้เขารักอาจทำให้ผิดหวัง
เราบังคับให้ใครรักเราไม่ได้ แต่ก่อนเลือกเขามาให้ใช้สมอง เปิดตามองให้ถี่ถ้วนว่าเขาตอบสนองกับความดี ความรักที่เราให้อย่างไร เพราะบางคนก็ไม่เห็นค่าและไม่คู่ควร
ชวนคุย รักที่เริ่มด้วยสมองและความเมตตา เราว่ามันเวิร์คนะ
สืบเนื่องจากวันนี้เข้าไปตอบกระทู้หนึ่งแล้วนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ปล ไม่ได้มาอวยตัวเองหรืออวด ผ น๊า พวกเราก็คนธรรมดา มีทุกข์สุข เถียงกันเหมือนทุกคู่
ก่อนอื่นแนะนำตัวเอง ดิฉันเป็นหญิงไทยวัยใกล้หลักสี่ ย้ายมาอยู่อเมริกาด้วยเรื่องการงาน มาเจอคุณแฟนชาวอเมริกัน เป็นพ่อหม้าย(หย่า)ลูกติด
ก่อนหน้านี้ ดิฉันก็เหมือนกับผู้หญิงอีกหลายคนที่"โปรไฟล์ดี" แต่ผิดหวังเรื่องความรักบ่อยจนคิดว่าโสดก็ได้วะ
ส่วนคุณแฟน (ขอใช้แทนว่า J) ก็เจอมาสาหัสไม่แพ้กัน สิ่งดีๆสิ่งเดียวที่เธอได้มาจากการแต่งงานคือลูก และเธอรักลูกมาก ก่อนมาเจอเรา เธอบอกว่าการออกเดทเป็นการพักผ่อนของเธอ ไม่ได้มุ่งหวังจะพบรักแท้ และไม่เชื่อในการแต่งงานอีกต่อไป
J บอกว่าตอนแรกที่มาจีบดิฉัน เห็นแค่ว่าน่ารักดี ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก คงเหมือนคนอื่นๆที่เธอนัดเจอแล้วก็ผ่านไป
ดิฉันเองอย่างที่บอกว่าตอนนั้นทำใจเตรียมโสดแล้ว ดังนั้นถ้าจะมีก็จะต้องเป็นคนที่ดีพอ ไม่ฉุดชีวิตเราให้จมลง เรียกว่าเอาสมองนำหัวใจ
พอเดทกันสักพัก J เห็นว่าดิฉันเป็นคนใจดี ลองพาลูกมาเจอแล้วก็เข้ากันได้ เลยตัดสินใจคบกันจริงจัง (คือเลือกดิฉันเพราะคิดว่าจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีได้)
คราวนี้มันเกี่ยวกับความเมตตายังไง
พอเราคบกันได้ราวครึ่งปีก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน หลังย้ายมาไม่ถึงเดือนดิฉันก็ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ แถมที่ทำงานก็มีปัญหา ถึงจะไม่มีอะไรร้ายแรงแต่ก็รู้สึกตัวเองเป็นภาระกับJ และถึงเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดิฉันก็ทุกข์และเครียดจนชวนเขาทะเลาะหลายครั้ง
J จะถามฉันบ่อยๆว่า "How are you feeling?" ซึ่งตอนแรกดิฉันก็คิดว่าจะถามอะไรนักหนาวะ
จนมาวันหนึ่ง ดิฉันก็เกิด "Aha moment" ว่าที่เขาถามนี่เพราะเขาสงสัยว่าทำไมเราจึงทุกข์ คุยกันก็พบว่าเขาแค่อยากเห็นเรามีความสุข กลับไปยิ้มง่ายใจดีเหมือนตอนที่เจอกันใหม่ๆ ปัญหาที่มีเขาจะช่วยแก้ไข และเราไม่ได้เป็นภาระอย่างที่กังวล
หลังจากวันนั้นดิฉันก็ได้หลักใหม่ที่คิดว่าใช้ได้ดีกับคู่เรา คือถือการมีเมตตาต่อกัน สิ่งดีๆที่ทำให้เพราะอยากให้เขามีความสุข ไม่ใช่ทำดีเพราะอยากให้เขารัก
ซึ่งความจริงการหวังผลแค่นี้มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้นนะ เพราะพอทำดีให้แล้วเห็นเขามีความสุข ก็ mission accomplished (ประสบความสำเร็จ) แล้ว
แต่ถ้าไปหวังว่าทำดีแล้วเขาจะรัก มันคือเอาความสำเร็จไปขึ้นกับเขาไง ทำชีวิตให้มันซับซ้อนโดยไม่จำเป็น แต่เห็นคนชอบคิดแบบนี้กันจัง
J บอกว่า การเห็นดิฉันเป็นคนใจดี ทำให้เขาอยากทำทุกวิถีทางที่จะให้ฉันสามารถคงความใจดีไว้ได้ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่กลายเป็นคนใจดีก็เถอะ
(อันนี้ฉันว่าไม่จริงนะ เขาโตมาในครอบครัวที่มีแต่คนใจดี โดยเฉพาะพ่อแม่เขา ดังนั้นเขาเลยดูเหมือนเป็นคนแข็งๆเมื่อเทียบกับคนอื่นในบ้าน แต่เทียบกับคนทั่วไปเขาเป็นคนดีเลยแหละ)
เขาบอกว่าให้เขาเป็นคนกังวลกับปัญหาจากนอกบ้านเอง เพื่อฉันจะได้เอาเวลาทั้งหมดไปกังวลกับการเป็นคนดี (พิมพ์ออกมาแล้วเข้าใจยากเนอะ)
ทั้งหมดนี้แค่อยากแชร์ความคิดเราว่า เมตตาเป็นธรรมะสำคัญในชีวิตคู่ เห็นเขาสุขก็ยินดีและจบแค่นั้น การหวังผลสองชั้นให้เขารักอาจทำให้ผิดหวัง
เราบังคับให้ใครรักเราไม่ได้ แต่ก่อนเลือกเขามาให้ใช้สมอง เปิดตามองให้ถี่ถ้วนว่าเขาตอบสนองกับความดี ความรักที่เราให้อย่างไร เพราะบางคนก็ไม่เห็นค่าและไม่คู่ควร