When in Leh do as the Ladakhi do(1) 2วันแรกในเลห์ดินแดนในฝัน


ต่อจากบทสดุดีคนขับ
http://ppantip.com/topic/35493114
กระทู้นี้ดัดแปลงมาจากโน้ตใน facebook จึงจะออกแนวเล่าเรื่องนะครับ ใครสงสัยว่าอ่านๆไปละพูดถึงพี่เขียว พี่แกเป็นคนขับรถของเรานะครับ อ่านย้อนได้ในกระทู้ด้านบนนะ

ทุกการเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกล จะสั้นหรือยาวล้วนมีจุดเริ่มต้น ถ้าเปรียบทริปนี้เป็นละครหรือหนังซักเรื่อง สองวันแรกในเดลีอักราก็คงเป็นเหมือนตัวประกอบฉาก แต่เป็นตัวประกอบที่เล่นใหญ่เกือบจะเกินหน้าเกินตาพระเอกนางเอก แต่ยังไงตัวเอกก็คือตัวเอกย่อมเป็นตัวหลักของหนัง และแน่นอนเรากำลังพูดถึง Leh-Ladakh จุดหมายปลายทางในฝันเมื่อ 1ปี6เดือนที่แล้วที่ที่จุดประกายให้เกิดการเดินทางสุดขอบฟ้านี้ขึ้นมา ที่เวลา6โมงเช้า เครื่องบินโดยสารสายการบิน JetAirways พาเรา5คนทะยานสู่ดินแดนที่ไม่ยากนักที่จะไปสัมผัส เพราะมันใช้เวลาเดินทางแค่1ชั่วโมงนิดๆจากเดลีสู่สนามบินเลห์ แต่มีซักกี่คนที่จะเริ่มก้าวเดินออกไปเพราะเลห์ไม่มีขาอยากเจอต้องไปหาเอง วินาทีที่เครื่องลดระดับเรามองเห็นภูเขาสีน้ำตาลสลับยอดเขาสีขาวที่มีหิมะปกคลุม เรียงรายลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ เป็นทัศนียภาพจากกระจกหน้าต่างเครื่องบินที่แปลกตามากอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ความตื่นเต้นทวีขึ้นเมื่อล้อเครื่องบินสัมผัสรันเวย์สนามบินเลย์ ที่ล้อมรอบด้วยเขาสูง ชื่อเต็มๆของสนามบินคือ Leh Kushok Bakula Rimpochee Airport จำเถอะไม่ยากเล้ย จำง่ายกว่าชื่อเต็มกรุงเทพอีก ถามว่าในกรุ๊ปที่ไปใครจำได้ ไม่มี 5555

ลาดักห์จากบนเครื่องบินฝั่งซ้าย สวยงาม


ความมหัศจรรย์ที่ค่อยๆเผยโฉมให้เราเห็น
ฝั่งขวาก็สวยไม่แพ้กัน




ก้าวแรกที่ก้าวออกจากเครื่องบินเหยียบพื้นแผ่นดินเลห์ ความรู้สึกคือ เชรี่ย สวยจริง มองไปทางไหนก็สวย ฟ้าใสกิ๊ง ภูเขาหิมะอยู่ตรงหน้า เทือกเขาน้อยใหญ่สีน้ำตาลเทาเรียงรายกันไป เรามาถึงกันแล้วจริงๆ       


เมื่อพื้นเหยีบแผ่นดินลาดักห์ครั้งแรก


เลห์ Leh ถือเป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ Ladakh ทางตอนเหนือของอินเดีย อยู่ไม่ห่างจากแคชเมียร์นัก ที่ระดับความสูง 3,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้การก้าวเดินเหนื่อยง่ายกว่าปกติเพราะความหนาแน่นของออกซิเจนลดน้อยลงมาก ซึ่งเป็นความจริงไม่ใช่แค่คำบอกเล่า หลังจากตื่นเต้นถ่ายรูปเดินหยองแหยงได้ไม่ถึง5นาที อาการเหนื่อยก็เริ่มมาหายใจจมูกบาน
ตามแผนวันแรก เราจะพักผ่อนกันก่อนเลย ตั้งแต่ประมาณ 9โมงเช้าจนเที่ยงเพราะการฟิตเป็นผีบ้า ออกเที่ยวหนักกันทันทีหลังจากที่นอนน้อยและมาเจอความสูงระดับนี้แบบเฉียบพลันอาจป่วยด้วยอาการ Acute mountain sickness ได้ นี่คือจุดสำคัญที่นักเดินทางไปที่สูงต้องจดจำ อย่าบ้าพลังในวันแรก

หลังจากกรอกข้อมูลนิดหน่อยก็ผ่าน ตม ของสนามบินเลห์ไปอย่างง่ายดาย เจ้าหน้าที่พูดไทยได้ด้วย สวัสดีค่าใส่เราและคู่ข้างหลังที่เดินตามมา ซึ่งเป็นคนจีน 555 จีนมีงง                                        


เหล่าลามะที่สนามบินเลห์

                                       


เลห์-ลาดักห์กลายเป็นสถานที่ฮอตในหมู่คนไทยมาได้2-3ปีแล้วตามที่เห็นมีรีวิวผุดมามากมายในพันทิป     มันไม่ใช่สถานที่ลี้ลับหรือ unseen อีกต่อไป


อย่างที่เล่าในตอนก่อน Jigmat มารับเราไปเข้าพักที่โรงแรมหลักที่ใช้เป็นฐานในเลห์คือ Yangphel guesthouse ซึ่งถือว่าไม่ผิดหวังเลย เป็นที่พักที่ดีมากทีเดียวในราคาคืนละ 600บาทต่อคน เจ้าของเกสท์เฮาส์มาทักทายพาเราเข้าที่พัก เป็นคนลาดักห์ที่ดูมีความเข้าใจในนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีไร้กลิ่นแขกโดยสิ้นเชิง เรานัดหมายเวลากันว่าขอนอนพักสักครู่ 3ชั่วโมง แล้วจะตื่นไปเดินหาอะไรกินที่ตลาด จากนั้นช่วงบ่ายประมาณ บ่าย3 จึงเริ่มทริปครึ่งวันในเลห์              




                                     



วิวจากหลังห้องพักที่ Yangphels


ด้วยความที่อยู่สูงความกดอากาศต่ำ ถุงขนมเลยป่องแบบนี้เลย


วันแรกที่ไปถึงสัญญาณมือถือที่ซื้อ Sim2Fly ไปใช้ก็หายเกลี้ยงจับสัญญาณไม่ได้ทั้ง 2G 3G เลยต้องพึ่ง Wifi โรงแรมที่ผีเข้าผีออกเป็นหลักในการติดต่อกับโลกภายนอก หลังจากพักผ่อนนอนหลับอาบน้ำอาบท่าให้ร่างกายสดชื่นเตรียมพร้อมการตะลุยเมืองในที่สูงพวกเราก็เดินออกจากโรงแรมไปตลาดตามเส้นทางของฝุ่น คือจากโรงแรมไปตลาดใช้เวลาไม่เกิน10นาที แต่ฝุ่นตลอดทางผ้าปิดจมูกเอามาเถอะ ได้ใช้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งอากาศที่เย็นประมาณ15องศา ฟ้าใส เมฆสวย ภูเขารายล้อม และผู้คนที่มีความแขกน้อยลงมาก คนในเลห์จะเหมือนเผ่าพันธุ์ผสมระหว่าง จีน ธิเบต อินเดีย ซะมากกว่า มีน้ำใจไมตรีและดูใส่ใจในการบริการนักท่องเที่ยวมากกว่ามาก ถนนจากโรงแรมไปตลาดเป็นเส้นแคบๆแบบรถส่วนกันไม่ได้แต่เป็นทางที่รถสัญจรเยอะ เราก็มีหยุดถ่ายรูปกันตามประสา ที่เห็นคือรถไม่บีบแตรไล่ ไม่เร่งเครื่อง แต่รอให้เราถ่ายเสร็จแล้วถึงขับผ่านไป ใส่ใจนักท่องเที่ยวกันเบอร์นี้เลย
วิวระหว่างทางเดินไป Leh main market


Shanti stupa ก็มองเห็นจากตรงนี้ได้เลย


ทางของฝุ่นที่เราใช้เดินไปกลับตลาดในทุกวัน


เดินเพลินๆก็มาถึง Main market หรือตลาดหลักของเลห์ ที่นี่ยังมีตลาดอื่นๆย่อยไปอีกเช่นตลาดธิเบต กินอาหารอิตาเลี่ยนที่ร้าน Inferno นั่งชมวิวเลห์บนดาดฟ้า เคล้าลาซานย่าสปาเกตตี้กันไป อาหารใช้ได้ทีเดียว เดินย่อยอาหารชมตลาดพอเป็นกระสัย บรรยากาศเท่าที่เห็นในเมืองเลห์นักท่องเที่ยวหลากหลายสัญชาติเดินกันให้ควั่กทั้งหัวดำหัวทอง ฝรั่ง เกาหลี จีน ไทย แม้แต่อินเดียก็มี ด้วยความที่เมืองเล็ก ความวุ่นวายรถราก็น้อยกว่าสองเมืองแรกอย่าง อักราเดลีมหาศาล ไม่เงียบงันแต่ก็ไม่ถือว่าอึกทึก




Leh main market

ลาซานย่าจากร้าน Inferno



สลัดผักกับฉากหลัง Leh palace








อาหารจานอื่นๆที่ร้าน Inferno ถูกว่าค่อนข้างถูกปากเลยทีเดียว

นักท่องเที่ยวเยอะหลากหลายเชื้อชาติ
อาหารตาอาหารใจมีให้ดูกันตลอด


เวลาบ่าย3ครึ่ง Jigmat มารับเราไปทัวร์ครึ่งวันในเลห์ จริงๆแล้วเหมือนว่าเวลาจะเร็วไปหน่อยเพราะตอนนี้แดดยังแรงอยู่มาก เนื่องจากตั้งอยู่บนพื้นที่สูงฟ้าใส UV index จึงทะลุเพดาน ครีมกันแดดแนะนำให้โปะวนไปครัซ เริ่มต้นการเที่ยวเลห์ในวันนี้แพลนมี 3ที่คือ Leh palace , Namgyal Tsemo, และปิดท้ายด้วย Shanti stupa ทุกที่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธนิกายมหายานที่คนในลาดักห์นับถือ ดังนั้นสถานที่ต่างๆในเลห์จึงเป็นศาสนสถานที่สร้างบนเขาสูงพิสูจน์ศรัทธากันหนักหนา ลำพังแค่เดินบนที่ราบก็หอบแฮ่กแล้ว นี่แต่ละที่ต้องปีนป่ายบันไดกัน 3-4ชั้น วันนี้กลับมา app health ใน iphone วัดได้ว่าเราขึ้นลงบันไดไปกว่า 30ชั้น แต่ก็คุ้มค่า แค่เหนื่อยกายหายใจเข้าออกสองทีก็หาย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่ว่าจะหันซ้ายหันขวา มองไปข้างหน้าข้างหลัง ก็ตื่นตะลึงกับวิวเมืองเลห์แบบมี Wow factor ในทุกมุมมองเอกลักษณ์ในศาสนสถานในเลห์ที่เรียกว่า Gompa นอกจากการสร้างในที่สูงมีการจัดวางให้มีความลดหลั่นไล่ระดับสวยงามสีขาวน้ำตาลเทาตัดกับฟ้าสีครามแล้วก็คงเป็นธงมนตร์ที่ประดับเอาไว้ในหลายๆจุด เชื่อว่าธงมนตร์5สีนี้เมื่อได้เขียนบทสวนมนตร์ลงไป และนำมาแขวนเมื่อลมโบกพัดจะเหมือนได้สวดมนตร์หลายร้อยหลายพันจบอย่างต่อเนื่อง


Leh palace.

เลห์ที่ล้อมรอบด้วยเขาสูงมากมาย








ธงมนตร์หลากสีที่โบกสะบัด อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของธิเบตน้อยแห่งนี้




Namgyal Tsemo Gompa จาก Shanti Stupa


Namgyal Tsemo Gompa อีกหนึ่งวัดที่ต้องปีนป่ายพิสูจน์ศรัทธากัน








ทุก Gompa สร้างบนที่สูงมองลงมาก็จะพบเจอวิวเลห์จากมุมที่แตกต่างกัน




ถึงจะเตรียมร่างกายมาพร้อมแค่ไหน หยูกยา Diamox ก็กินมาล่วงหน้าแต่อาการแพ้ที่สูงก็มีให้เห็นกันประปราย เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก มึนหัว แถมอาการชามือชาเท้าชาปากที่เป็นผลข้างเคียงของ Diamox มาอีกด้วย แต่ยังดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรหนักมาก แค่พักผ่อนก็บรรเทาเบาบางลง จบการเดินทางในวันแรก ที่ Shanti stupa หรืเจดีย์แห่งสันติภาพในยามที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำทอแสงสีทองสาดไปยังยอดภูเขาหิมะตรงหน้าถือเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะมาเยี่ยมชมเจดีย์แห่งสันติภาพนี้  


ที่นี่เราได้แวะกินไอติมที่ร้านกาแฟก่อนขึ้นไปเจดีย์ ด้วยความเพลียและเหนื่อยล้าถึงอากาศจะเย็น แต่ไอติมทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้จริงๆ

ไอศครีมต่อชีวิตที่ Shanti stupa


ร้านนี้วิวดีจริงๆ คนนั่งชิลกันเยอะเลย


ยอดเขาหิมะอย่างสวยในยามเย็น


Shanti stupa ที่ใ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่