เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 1 เหินฟ้าสู่ดินแดนภารตะ มุ่งสู่อินเดียเหนือ เลห์เมืองหลวงแห่งลาดักห์


ทริปนี้เกิดขึ้นจากช่วงกลางปี 2011(แต่เดินทาง กค. 2012) มีโปรแอร์เอเชียราคาไม่แพง เลยเล็งๆไว้ว่าจะไปไหนดี ปรากฎไปได้เส้นทางไปกลับกทม.-เดลี เพราะเห็นรูปจากเพื่อนๆที่เลห์สวยมากๆ ภูมิประเทศก็แปลกตาออกไป อยากไปเยือนสักครั้ง ประกอบกับตัวเองเพิ่งกลับจากอินเดียเมืองดิว แคว้นกุจราทจากการอบรมพอดี เลยคุ้นกับอินเดียพอสมควร
แผนการเดินทางของทริปนี้เป็นดังนี้ครับ
DAY1 : 5 กค. 55 : กทม - เดลี
DAY2 : 6 กค. 55 :  เดลี-เลห์ (Namgyal Tsemo Gompa -Leh Palace-Shanti Stupa)
DAY3 : 7 กค. 55 : Sindhu Ghat – Shey Palace – Thiksey – Hemis – Stakna – Matho – Stock Palace : 2,482 รูปี
DAY4 : 8 กค. 55 :  Leh - Chang La Pass - Pangong Lake - Leh : 5,160++ รูปี
DAY5 : 9 กค. 55 :  Leh – Khardung La Pass - Nubra valley - Hundar
DAY6 : 10 กค. 55 : Hundar - Deskit - Camel Riding - Sumur - Leh
DAY7 : 11 กค. 55 : Leh - Confluence of Zanskar & Indus river-Basgo Palace-Likir-Alchi-Khalsi-Moon Land-Lamayuru
DAY8 : 12 กค. 55 : Lamayuru – Mulbekh Villag(Maitreya Buddha) - Kargil
DAY9 : 13 กค. 55 : Kargil – Dras – Sonamarg – Srinagar (House Boat)
DAY10 : 14 กค. 55 : Srinagar – Delhi – Agra
DAY11 : 15 กค. 55 : Agra – Taj Mahal – Agra Fort - Delhi
DAY12 : 16 กค. 55 : เดลี - กรุงเทพ


วันนี้โดดงานครึ่งวันบ่าย เพราะต้องมาเช็คอินที่สุวรรณภูมิเวลา 17.25 น.
วันนี้อดีตเพื่อนร่วมงานมาส่งถึงที่ สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วเอาของฝากมาด้วย คือกระติกน้ำร้อนเพื่อมาใส่ชาร้อนขณะอยู่ในเลห์ครับ
มาสนามบินสุวรรณภูมิก็ต้องคุ้นเคยกับยักษ์ 2 ตนนี้ แต่ก่อนอยู่ข้างใน ปัจจุบันนำมาไว้ข้างนอกที่ผู้โดยสารและคนอื่นๆที่มาส่งสามารที่จะเห็นและชื่นชมได้


ดีใจด้วยกับสนามบินสุวรรณภูมิของเราที่ได้ยกย่องเป็นท่าอากาศยานดีเด่นอันดับ 1 ของโลก ปี 2555


นั่งหลับกันสักพักก็ถึงสนามบินนานาชาติอินทิราคานธี เมืองเดลี เวลาประมาณ 20.30 น. เวลาตามท้องถิ่นที่อินเดีย โดยช้ากว่าไทย 1.5 ชม.


ห้องน้ำที่สนามบินอินเดีย ใครเข้าผิดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว


ก่อนลงบันไดเลื่อน ก็มาถึงสัญลักษณ์ของสนามบินนี้ เห็นใครๆก็ถ่ายมา งั้นถ่ายด้วย
เป็นรูปที่ทำสัญลักษณ์มือในท่าต่างๆ ไม่ทราบความหมายเหมือนกัน

ออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าซึ่งเป็นชั้น 1 ก็เลี้ยวขวาตามที่เพื่อนๆแนะนำเพื่อไปสู่อาคารผู้โดยสารขาออกของภายในประเทศ ระหว่างนั้นก็เดินเล่นชั้น 1 แล้วก็เข้าไปด้านในซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยยืนตรวจอยู่ นั่นหมายความว่าต้องมีตั๋วถึงจะเข้าไปได้

ผ่านเจ้าหน้าที่ก็ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 2 เพื่อไปรอเครื่องบินที่จะออกตอนเวลา 5.40 น. ตอนนี้ก่อนเครื่องบินจะออกก็หาที่นั่งแล้วหลับเอาแรงกันก่อน แต่บ่องตง ไม่ได้หลับเลย เพราะนอนไม่สบาย เก้าอี้เอนๆแบบสบายๆก็เจอพี่แขกจองหมดแล้ว


ได้เวลาเช็คอินเพื่อเดินทางไปเลห์ ลาดักห์กันแล้วครับ
Jetairways เช็คได้ทุกช่อง


เดินเข้ามาภายใน เจอปะติมากรรมอะไรสักอย่าง มีเพื่อนบอกว่าเป็นท่าโยคะ สุริยมนัสการ


ได้เวลาเหินฟ้าแล้วครับ ด้วยเที่ยวบิน 9W2245 ของ Jetairways


ระหว่างทางซึ่งคาดได้ว่าใกล้ถึงเลห์เข้ามาแล้ว เนื่องจากวิวที่มองลงไปเห็นทิวเขาสีน้ำตาลผุดออกมาจากหิมะที่ปกคลุมอยู่ ระดับเดียวกับเมฆก็ไม่ปาน


สักพักเมื่อมองออกไป เห็นเขายอดแหลมๆสีขาว แหลมอย่างกับปลายดินสอยังไงยังงั้นเลย
ส่วนใกล้เข้ามาก็จะเป็นริ้วๆของเมฆอยู่เหนือเขาสีน้ำตาลทั้งหลาย


เห็นรันเวย์ของสนามบินเลห์แล้ว เตรียมตัวร่อนลง


ลงจากเครื่องบินเสร็จก็มายืนรอรถบัสเพื่อไปส่งยังอาคารผู้โดยสาร


ป้ายทางหลวงแถบพรมแดนป้ายแรกที่ยินดีต้อนรับเรา


ไม่นานนัก 10-15 นาทีก็มาถึง Hotel Ree Yul  ทางเข้าเป็นซอกแคบๆ เดินเข้าไปนิดหน่อย ก็เจอป้ายเข้าไปเลยครับ

เจอซาลิม และแจ้งว่าทำไมไม่มารับที่สนามบิน ก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ว่าออกไปรับแล้วแต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ แต่ไม่เป็นไร ก็มาถึงแล้วนี่ งั้นพาเราไปยังห้องพักเลย เป็นห้องพักชั้น 3 เดินเหนื่อยเลย


นี่ไง ห้องพักเรา อยู่ด้านหลัง ทำให้ได้ยินเสียงน้ำจากรางระบายน้ำตลอดเวลา เสียงดังมากครับ ไม่ปิดประตูห้องน้ำนี่นอนไม่ได้เลยนะครับ แนะนำเพื่อนที่จะมาพักที่นี่ ให้รอห้องที่อยู่ด้่านหน้าดีกว่า วันที่กลับจาก Nubra Valley ผมได้ห้องใหม่เป็นห้องแรกของชั้น 2 ไม่ได้ยินเสียงน้ำแล้ว ดีมาก

ลืมบอกไป จากการหาข้อมูลล่าสุดของทั้งน้องบุ้งกี๋ และ Jaysjays ห้องพักราคาเพียง 350 รูปีเอง แต่ซาลิมเสนอมาที่ 700 รูปี ต่อทางเมล์กันไปมาจนได้ราคาที่ 500 รูปี ลดจากนี้ไม่ได้แล้ว บอกว่าเป็น High Season เอาก็เอา


เป็นธรรมเนียมที่มาถึงเลห์แล้ว อย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในพื้นที่ที่อยู่ในระดับน้ำทะเลปกติธรรมดา แต่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,500 กว่าเมตร ร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัว เราเลยขอนอนก่อน อีกทั้งอดนอนจากเมื่อคืนที่สนามบินอินทิราด้วย

นอนไป 5 ชั่วโมง บ่ายโมงครึ่งก็ตื่นลงมา ขออาหารเบาๆจากซาลิมทาน ได้มาตามรูป


ทานอาหารเสร็จก็ตกลงโปรแกรมที่แพลนมาจากเมืองไทย ซาลิมงัดเอาสมุดราคามาตรฐานมาให้ดู

ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าเป็นการทำขึ้นมาจากทางการให้ดูน่าเชื่อถือว่าราคาเป็นมาตรฐาน ไม่หมกเม็ดนะ แต่ราคานั้นสูงกว่าที่เป็นจริงครับ เพราะทั้งซาลิมเองและคนอื่นที่ไปเช่ารถก็จะแงะสมุดราคามาตลอดและให้ดูเรตจากสมุด แล้วลดราคาให้อีกที เปรียบเสมือนให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าได้ราคาที่ยิ่งถูกลงกว่าราคามาตรฐานอีก ซึ่งเขาต้องได้กำไรถึงจะลดให้เราได้อีก เราเลยไม่ค่อยเชื่อสมุดราคาเท่าไหร่

ราคาที่ได้แพงกว่าน้องบุ้งกี๋ ที่ไปมาเมื่อปี 53 เยอะเลยครับ แต่ไม่เป็นไร ก็ต้องเช่ารถตามแพลนที่วางไว้อยู่แล้ว ลุยๆ

แต่เดี๋ยวก่อน วันที่จะไป Pangong lake ต้องทำ permit เพราะเป็นเส้นทางที่เข้าใกล้พรมแดนต่างชาติ คือจีน เลยต้องให้พาสปอร์ตของเราทั้งสองให้ซาลิมนำไปของ permit ไว้ก่อน ราคาคนละ 500 รูปี แพงกว่าเดิมอีแล้ว


วันนี้เราจะยังไม่เช่ารถจากซาลิม เราจะเดินดูเมืองเลห์แห่งนี้ก่อน และถ้าได้เจอรถเช่าที่ราคาไม่แพงนักอาจใช้บริการไปสถานที่ใกล้ๆ
ตรงหัวมุมก่อนจะเลี้ยวขวาไปตามถนนจะมีมัสยิดจามาตั้งอยู่


สองข้างทางมีทั้งร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกหลากหลายร้าน


แดดร่มลมตก ผู้คนออกมาเดินกันมากขึ้น
แม่ค้าชาวเลห์พื้นเมืองนำผักสดๆมาขายตามฟุตบาทข้างถนน


เดินมาจนจะสุดปลายถนน มองย้อนกลับไปตามทางที่เราได้เดินมา ฉากหลังเป็นภูเขาบนยอดมีหิมะปกคลุม


เอ๊ะ..ขายอะไรเนี่ย เนื้อแพะแน่เลย

ฮัลโลๆ สั่งจากเมืองไทยเหรอครับ โอเคครับ เดี๋ยวจะจัดส่งไปให้


เดินมาจนถึงจุดตัดของถนน Khardung La เห็นชุมชนรถอยู่ทางด้านซ้าย (Omni Van Taxi Stand) เลยเดินเข้าไปหา สอบถามราคาเช่ารถเพื่อจะให้พาไปชม Namgyal Tsemo Gompa และ Shanti Stupa คนขับรถก็งัดสมุดราคาเช่้นเดิมมาดูเส้นทางพร้อมบอกราคากับเราและลดให้เหลือ 750 รูปี เราโอเคก็ตกลงให้พาไป

มาถึงแล้ว Namgyal Tsemo Gompa


แหงนมองไปด้านบน


จะเห็นนักท่องเที่ยวเดินไปพักผ่อนเอกเขนกที่ยอดหินคู่ละยอด ชิวๆดี


เมื่อสมควรแก่เวลา ก็ลาจากนัมยัลเซโมกอมปาไปต่อที่สถูปสันติ หรือ Shanti Stupa

รถต้องวิ่งรอบเป็นวงกลมเนื่องจากทั้งสองที่อยู่ตรงกันข้ามกัน โดยมีเมืองเลห์ตั้งอยู่ตรงกลาง

รถจอดได้แค่ทางขึ้นก่อนถึงทางเข้า เนื่องจากวันนี้รถนักท่องเที่ยวเยอะมาก เลยต้องเดินกันนิดหน่อย ผมกลัวไม่ทันจะถ่ายแสงเกือบสุดท้ายของวันที่สาดส่องฉาบพื้นเขาเป็นเบื้องหลังของ Namgyal Tsemo Gompa ที่อยู่ตรงกันข้าม


ซูมเข้าไปใกล้ๆ Namgyal Tsemo Gompa ที่มีฉากหลังเป็นแสงสีทองที่เกือบจะลับสันเขาไปแล้ว


เดินขึ้นทางชันเล็กน้อยไปยังสันติสตูปา แสงใกล้หมดเต็มที ค่าเข้าคนละ 20 รูปี

เดินมายังด้านหลังของสันติสตูป้า ก่อนจะวนไปยังด้านหน้า


วิวขุนเขาด้านบนก่อนที่แสงจะหมดไป


ย้อนมาด้านหน้าทางขึ้น Shanti Stupa กันบ้าง เตรียมขึ้นไปด้านบน

ขณะนี้อากาศเย็นลงไปอย่างมาก มือเย็นกันเลยทีเดียว


ด้านบนนี้ก็จะมีพระพุทธเจ้าแบบนูนต่ำ บรรยายเกี่ยวกับการประสูตร ตรัสรู้และปรินิพพาน อยู่รอบๆ


วิวอีกมุมหนึ่ง แสงพระอาทิตย์หมดลงไปแล้ว


ทุ่มครึ่งก็ได้เวลาอำลาสันติสตูป้ากันแล้ว หนาวอย่างนี้คงรอตอนเปิดไฟไม่ไหว

สังเกตจะมืดอยู่แล้ว รถที่จอดยังเยอะอยู่เลย


กลับมาถึงตัวเมืองก็มืดเลย แต่ก่อนจะมาถึง เจ้าคนขับรถเป็นวัยรุ่นดันไม่รู้เส้นทาง ถามคนโน้นทีคนนี้ทีว่าทางลงไปทางไหน เสียเวลาพอควร เราก็เลยให้จอดส่งที่มัสยิดจามาละกัน แล้วเดินหาร้านอาหารกัน

เดินไปตามแผนที่ ร้านนี้มีคนแนะนำเยอะ ลองซะหน่อย ร้านดินแดนแห่งความฝัน หรือ Dreamland นั่นเอง
สั่งโมโม่มาทานก่อนเลยครับ ทานครั้งแรกที่เนปาลยังจำรสชาติอร่อยๆได้ดี
แต่เมนูสปาเก๊ตตี้คาโบนาร่าที่สั่งไปอีกจานไม่เวิร์คเอาอย่างแรง ทานไปได้คำเดียวเอง ค่าเสียหาย 590 รูปี

และก็ขอจบวันนี้วันแรกที่เลห์ไปเพียงเท่านี้ครับ แล้วมาติดตามต่อในวันรุ่งขึ้นเป็นการทัวร์วัดในเลห์และระแวกใกล้เคียงต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่