เรียกได้ว่าเป็นหนังทองของเกาหลีใต้จริงๆ ที่มาแบบม้ามืด ใครจะไปคิดหละว่าหนังเกาหลีเรื่องนี้จะเป็นหนังซอมบี้ที่ขึ้นแท่นดีมากๆ จากเอเชีย ที่ดูจบแล้วหลายคนถึงกับนํ้าตาไหลพราก บางคนก็อินไปกับหนัง แม้แต่คนเขียนเองที่ดูจบแล้วกว่า 2 ชั่วโมง ใจยังเต้นตุบๆ กับเหตุการณ์ในหนังเลย คิดในใจทุกครั้งว่า เชดเข้! เกาหลีใต้ทำหนังออกมาได้โหดมาก อารมณ์ยังกับหนังฮอลลีวู้ดเลย
Train To Busan เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนบ่ายของวัน (ไม่มีข้ามวัน) ที่ขบวนรถไฟด่วนจากโซลแล่นไปปูซาน ซึ่งปกติจะใช้เวลาแค่ 1 - 2 ชั่วโมง ซึ่งจังหวะที่ตัวเอกขึ้นรถไฟ เกิดเหตุซอมบี้ระบาดทั่วประเทศทันที ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีที่ไหนปลอดภัยแม้แต่ในโบกี้รถไฟเองที่มีซอมบี้หลุดขึ้นมา
ถ้าจะว่าตามตรง หนังเกาหลีจะมีจุดเด่นอยู่สองเรื่องอยู่แล้ว นั่นก็คือ การถ่ายถ่ายที่เหมือนถ่ายหนัง ซึ่งเราได้เห็นบ่อยๆ ตามซีรี่ย์เกาหลีที่มุมกล้องแตกต่างจากละครบ้านเรา และการนำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่เราจะต้องเห็นบทดราม่านํ้าตาคลอ แต่ที่โดดเด่นสำหรับเรื่องนี้คือ เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของคนทุกแบบ ทั้งพ่อลูก , คู่วัยรุ่น , คู่รักที่แต่งงานแล้ว รวมไปถึงคนสูงอายุ ซึ่งนั่นแปลว่าสังคมของคนเกาหลีใต้เองก็ให้ความเคารพกับคนสูงอายุไม่น้อยเลย
ตัวหนังอาจจะอืดๆ ช่วงแรกๆ เพราะมีแต่ดราม่าความสัมพันธ์ของพ่อลูก (ที่มันจะเป็นมาตราฐานในการทำหนังดราม่าทุกเรื่องไปแล้ว) แต่พอรถไฟเริ่มวิ่งเท่านั้นแหละ นั่งดู นั่งลุ้น กันแบบ NON-STOP จนจบเรื่องเลยทีเดียว ตัวหนังนอกจากฉากที่ต้องปะทะกับพวกซอมบี้แล้ว ยังมีการแบ่งเล่าเรื่องถึงความสัมพันธ์ของตัวละครมาแบบครึ่ง - ครึ่งอีกด้วย แต่ผสมผสานกันแบบบาลานซ์ ไม่มากไปไม่น้อยไป
ถึงแม้ว่าหนังจะมีเรื่องดราม่าความสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง แต่หนังแจกบทได้ฉลาดมาก ทำให้คนรู้สามารถเข้าถึงตัวละครได้โดยที่ไม่ต้องจำชื่อตัวละครก็ได้ ขบวนรถไฟที่ยังคงแล่นอยู่ก็คือห้องปิดตายที่ไม่มีทางออกที่คนเล่นจะต้องรู้สึกกดดันเมื่องต้องปะทะกับซอมบี้ โดยเฉพาะซอมบี้ในหนังเรื่องนี้มาแนวอารมณ์ World war Z ที่ติดเชื้อไว วิ่งไว ทะลักมาเหมือนฝูงแมลง (แต่ปริมาณซอมบี้จะน้อยกว่า World war Z เพราะไม่ได้อยู่กลางเมืองที่มีคนเยอะ) ทำให้ฉากไล่ล่าและปะทะจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าว่าด้วยเรื่องหนังซอมบี้ก็คงไม่พ้นเรื่องราวของนิสัยมนุษย์ที่จะต้องแบ่งออกเป็นสองแบบ ทั้งคนที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นกับคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด แม้ว่าหนังจะเดาทางได้บางส่วน แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้สร้างมาก็คือ ขยี้ใจคนดูเพื่อให้คนดูเห็นอกเห็นใจตัวละคร (หรือเกลียดแบบจนอยากพุ่งไปต่อยในจอ) เพื่อให้คนดูลุ้นกลุ่มตัวเอกให้รอดจนนาทีสุดท้าย
แต่สิ่งที่มาเหนือมากคือ เอฟเฟคของฉากซอมบี้ที่ทำได้ไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดเลย ฉากการไล่ล่า ฉากระเบิดที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนหนังเกาหลีที่ผ่านมา อาจจะแตกต่างจากหนังฮอลลีวู้ตตรงที่ว่าหนังเกาหลีจะมีการถ่ายมุมกล้องและเลื่อนภาพให้ไวเพื่อให้หนังกระซับขึ้น (และเว่อร์ขึ้น) และเราจะได้เห็นมุมมองที่แปลกใหม่จากหนังซอมบี้เรื่องอื่น ซึ่งเราเห็นมามากแล้ว ทั้งในชนบท , ในเมือง , เครื่องบิน , บนอาคาร ลองมาดูฉากหนีซอมบี้ในรถไฟกันดู
หนังเรื่องนี้มีฉากความรุนแรง (แต่ไม่มีฉากหัวขาด แขนขาด หรือไส้ทะลัก) และอารมณ์ปะทะคล้ายวีดีโอเกม ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่ในระดับที่รุนแรงมาก แต่ที่จะอิมแพคคนดูจริงๆ คือความสัมพันธ์ตัวละครที่จะสะท้อนความเป็นมนุษย์ไม่แพ้ซีรี่ย์ดังจากอเมริกา (ถึงเรื่องนั้นจะดาร์กกว่าก็ตาม) แต่ถ้าคนไหนเคยดู World war Z มาละก็....
คิดได้เลยว่า นี่มันเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ชัดๆ!!
[CR] (วิจารณ์) Train To Busan : นี่มัน World war Z เวอร์ชั่นเกาหลีชัดๆ
เรียกได้ว่าเป็นหนังทองของเกาหลีใต้จริงๆ ที่มาแบบม้ามืด ใครจะไปคิดหละว่าหนังเกาหลีเรื่องนี้จะเป็นหนังซอมบี้ที่ขึ้นแท่นดีมากๆ จากเอเชีย ที่ดูจบแล้วหลายคนถึงกับนํ้าตาไหลพราก บางคนก็อินไปกับหนัง แม้แต่คนเขียนเองที่ดูจบแล้วกว่า 2 ชั่วโมง ใจยังเต้นตุบๆ กับเหตุการณ์ในหนังเลย คิดในใจทุกครั้งว่า เชดเข้! เกาหลีใต้ทำหนังออกมาได้โหดมาก อารมณ์ยังกับหนังฮอลลีวู้ดเลย
Train To Busan เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนบ่ายของวัน (ไม่มีข้ามวัน) ที่ขบวนรถไฟด่วนจากโซลแล่นไปปูซาน ซึ่งปกติจะใช้เวลาแค่ 1 - 2 ชั่วโมง ซึ่งจังหวะที่ตัวเอกขึ้นรถไฟ เกิดเหตุซอมบี้ระบาดทั่วประเทศทันที ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีที่ไหนปลอดภัยแม้แต่ในโบกี้รถไฟเองที่มีซอมบี้หลุดขึ้นมา
ถ้าจะว่าตามตรง หนังเกาหลีจะมีจุดเด่นอยู่สองเรื่องอยู่แล้ว นั่นก็คือ การถ่ายถ่ายที่เหมือนถ่ายหนัง ซึ่งเราได้เห็นบ่อยๆ ตามซีรี่ย์เกาหลีที่มุมกล้องแตกต่างจากละครบ้านเรา และการนำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่เราจะต้องเห็นบทดราม่านํ้าตาคลอ แต่ที่โดดเด่นสำหรับเรื่องนี้คือ เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของคนทุกแบบ ทั้งพ่อลูก , คู่วัยรุ่น , คู่รักที่แต่งงานแล้ว รวมไปถึงคนสูงอายุ ซึ่งนั่นแปลว่าสังคมของคนเกาหลีใต้เองก็ให้ความเคารพกับคนสูงอายุไม่น้อยเลย
ตัวหนังอาจจะอืดๆ ช่วงแรกๆ เพราะมีแต่ดราม่าความสัมพันธ์ของพ่อลูก (ที่มันจะเป็นมาตราฐานในการทำหนังดราม่าทุกเรื่องไปแล้ว) แต่พอรถไฟเริ่มวิ่งเท่านั้นแหละ นั่งดู นั่งลุ้น กันแบบ NON-STOP จนจบเรื่องเลยทีเดียว ตัวหนังนอกจากฉากที่ต้องปะทะกับพวกซอมบี้แล้ว ยังมีการแบ่งเล่าเรื่องถึงความสัมพันธ์ของตัวละครมาแบบครึ่ง - ครึ่งอีกด้วย แต่ผสมผสานกันแบบบาลานซ์ ไม่มากไปไม่น้อยไป
ถึงแม้ว่าหนังจะมีเรื่องดราม่าความสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง แต่หนังแจกบทได้ฉลาดมาก ทำให้คนรู้สามารถเข้าถึงตัวละครได้โดยที่ไม่ต้องจำชื่อตัวละครก็ได้ ขบวนรถไฟที่ยังคงแล่นอยู่ก็คือห้องปิดตายที่ไม่มีทางออกที่คนเล่นจะต้องรู้สึกกดดันเมื่องต้องปะทะกับซอมบี้ โดยเฉพาะซอมบี้ในหนังเรื่องนี้มาแนวอารมณ์ World war Z ที่ติดเชื้อไว วิ่งไว ทะลักมาเหมือนฝูงแมลง (แต่ปริมาณซอมบี้จะน้อยกว่า World war Z เพราะไม่ได้อยู่กลางเมืองที่มีคนเยอะ) ทำให้ฉากไล่ล่าและปะทะจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าว่าด้วยเรื่องหนังซอมบี้ก็คงไม่พ้นเรื่องราวของนิสัยมนุษย์ที่จะต้องแบ่งออกเป็นสองแบบ ทั้งคนที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นกับคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด แม้ว่าหนังจะเดาทางได้บางส่วน แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้สร้างมาก็คือ ขยี้ใจคนดูเพื่อให้คนดูเห็นอกเห็นใจตัวละคร (หรือเกลียดแบบจนอยากพุ่งไปต่อยในจอ) เพื่อให้คนดูลุ้นกลุ่มตัวเอกให้รอดจนนาทีสุดท้าย
แต่สิ่งที่มาเหนือมากคือ เอฟเฟคของฉากซอมบี้ที่ทำได้ไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดเลย ฉากการไล่ล่า ฉากระเบิดที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนหนังเกาหลีที่ผ่านมา อาจจะแตกต่างจากหนังฮอลลีวู้ตตรงที่ว่าหนังเกาหลีจะมีการถ่ายมุมกล้องและเลื่อนภาพให้ไวเพื่อให้หนังกระซับขึ้น (และเว่อร์ขึ้น) และเราจะได้เห็นมุมมองที่แปลกใหม่จากหนังซอมบี้เรื่องอื่น ซึ่งเราเห็นมามากแล้ว ทั้งในชนบท , ในเมือง , เครื่องบิน , บนอาคาร ลองมาดูฉากหนีซอมบี้ในรถไฟกันดู
หนังเรื่องนี้มีฉากความรุนแรง (แต่ไม่มีฉากหัวขาด แขนขาด หรือไส้ทะลัก) และอารมณ์ปะทะคล้ายวีดีโอเกม ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่ในระดับที่รุนแรงมาก แต่ที่จะอิมแพคคนดูจริงๆ คือความสัมพันธ์ตัวละครที่จะสะท้อนความเป็นมนุษย์ไม่แพ้ซีรี่ย์ดังจากอเมริกา (ถึงเรื่องนั้นจะดาร์กกว่าก็ตาม) แต่ถ้าคนไหนเคยดู World war Z มาละก็....
คิดได้เลยว่า นี่มันเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ชัดๆ!!