อันนี้ข้าเคยลงไปแล้ว แต่ลงผิดเวลา ทำให้กระจายข้อมูลได้ไม่มากเท่าที่ควร ไม่ได้จะปั่นกระทู้นะ แต่คิดว่าน่าเสียดายถ้าคนพลาดที่จะได้อ่านมัน
อันนี้แล้วแต่คนจะเชื่อนะ ข้าเเค่เผยแพร่วิธีการ วิถีทางที่ตนเองเคยทดลอง เคยทำ และสรุปผลลัพธ์ด้วยตัวเอง
บางวิธีก็ได้จากครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ บางอันก็คิดต่อยอดจากของแกมาอีกทีแล้วเอามาลองทำ
อันนี้เราอย่ามาดราม่ากันนะ เเสดงความคิดเห็นได้ แต่อย่าประชดเสียดสีให้เกิดบ่วงกรรมกันนะ แค่อยากจะเล่าวว่าสำหรับข้าเเล้วมันได้ผลหรือไม่อย่างไร
ปัจจุบันคนมักจะไม่ค่อยเข้าวัดวาอาราม อันนี้คุณไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องต่อว่าตัวเองว่าไม่ภักดีต่อศาสนา หรือตัดพ้อว่าทำงานยุ่งไม่มีเวลา
คุณต้องเข้าใจก่อนว่าวัดคืออะไร(ไม่ได้อยากจะพล่ามออกทะเล แต่บางทีมันต้องปูเสื่อเผื่อให้คนที่เขาไม่ค่อยมีพื้นฐานด้านนี้หรือเข้าใจอะไรเป๋ๆไปเกี่ยวกับการเข้าวัด)
วัด คือที่อยู่ของ พระ เณร ผู้บำเพ็ญศีลอย่างดีงามซื่อตรงเพื่อค้นหาความสงบในร่มใจ และพวกเขายังเป็นผู้เผยเเพร่หลักธธรรมให้ชาวบ้านซึ่งต้องดำรงชีพและแปดเปื้อนปะปนตนไปกับกิเลสในแต่ละวัน ให้อย่างน้อยชาวบ้านได้ทำดีประพฤติดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่ชาวบ้านจะทำได้ อาจรวมไปถึงการทำพิธีทางศาสนาอื่นๆ เพราะงั้นการที่คุณเข้าวัด จุดประสงค์หลักๆคือ
1.เข้าร่วมเทศกาลหรืองาน หรือพิธีกรรมทางศาสนา
2.ถวายทาน สนับสนุนผู้บำเพ็ญศีลอย่างพระเเละเณร นับรวมถึงการทำประโยชน์อะไรก็ตามแก่วัดนั้นๆ
คุณดูข้อ2 ดีๆนะ การถวายทาน อาหาร ของใช้ บูรณะก่อสร้างอะไรในวัด คือการสนันสนุนให้พระสงฆ์องค์เจ้าได้มีชีวิตรอดต่อไปเพื่อบำเพ็ญตนตามสายทางธรรมะและช่วยสั่งสอนศาสนิกชนให้คิดดีทำดี ไม่ว่าคุณจะฝันว่าพ่อที่ตายแล้วบอกว่าอยากกินน้ำพริกกุ้งเสียบ แล้ววันต่อมาคุณเอาน้ำพริกนั่นไปถวายเพื่อพ่อ แต่ยังไงพระสงฆ์ก็ได้กิน ก็คือได้สนับสนุนพวกเขาอยู่
ทีนี้คำถามต่อมา ถ้าไม่หมั่นเข้าวัด คนรุ่นใหม่อย่างเราๆจะทำบุญได้ไหม?
ตอบ ทำได้สิ ได้ทั้งวันอ่ะ(ตามระดับความเมตตาใจดีนะ)
คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า คำว่า "ทำบุญ" คือกิจกรรมเฉพาะในเขตวัด หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้นถึงเรียกว่าทำบุญ
แต่พอข้าได้สัมผัสกับวิญญาณ ทั้งเห็นเล็กๆน้อย ได้ยิน เข้าฝัน หรือคุยกันผ่านไพ่ในกรณีที่คลื่นไม่ตรงกัน ทำให้รู้ได้ว่า "ทำบุญ" กับ "ทำทาน(ไม่ใช่คำเดียวกับที่นางเอกชอบพูดหลังโดนพระเอกข่มขืนเสร็จเเล้วนะ แอบคิดทะลึ่งเล่นๆว่าช่วงนาทีที่เต็มใจสมยอมอาจจะได้บุญ 555)" มันก็คือๆกันอะ
พอคุณทำทาน ไม่ว่าให้ข้าวหมา ให้เงินขอทาน ความดีมันก็เผล็ดมาเป็นบุญกุศลดั่งแต้มสะสมให้คุณนั่นแหละ(เต็มใจทำหรือไม่ก็ได้มากน้อยต่างกันตามระดับไป) ความเข้าใจตามกันไปตามความเชื่อบางแขนงอาจทำให้หลายตัดพ้อน้อยใจว่า "ฉันไม่มีเวลาไปเข้าวัดถวายสังฆทานแด่เจ้ากรรมนายเวร แด่ป๊าม๊าอากงอาม่า หมาแมวบลาๆๆ ชาตินี้คงมีบุญไม่ถึงสลึงแน่" ตัดพ้อกันไป เห็นคนอื่นเขาอัพเฟซลงรูปถวายกะละมังสีเหลือง หน้าตาแจ่มใส ก็ทำได้แค่คอมเมนต์ "ขออนุโมธนาบุญค่ะ" ในใจกังวลว่าเมื่อไหร่เราจะไปทำบุญแบบเขาบ้าง เงินไม่มี ค่าห้องยังจะไม่มีจ่าย คิดบ้าๆบอต่อไป แล้วมองข้ามความดีที่ตนทำประจำ เช่น เทเพ็ตดีกรีให้หมากินทุกเช้า คลุกข้าวกับปลาทูให้แมวทุกเย็น ช่วยจูงยายข้างบ้านข้ามถนนยามมืดค่ำ ช่วยแม่เลี้ยงน้อง(ช่วยแบ่งเบาภาระแทนที่จะปล่อยให้แกเหนื่อยและประสาทเสียกับเสียงร้องของน้องไง เราๆยอมรับภาระนั้นเอง ฮีโร่นะเนี่ย คนดันชอบคิดว่าซวยชี๊บหาย {ตอนแม่เลี้ยงดูเอ็งเมื่อยังเล็ก เธอก็ลำบากแบบนี้แหละ บ่นไรมาก}) หรือแม้กระทั่งเสียสละเวลาซั่มเมียมานั่งฟังให้คำปรึกษา(ดีๆ)กับเพื่อนผู้ทุกข์ใจ ก็นับด้วย
ความดีทุกอย่างคือการทำบุญหมดเลยทุกท่าน ไม่ต้องเป็นการให้ของก็ได้ การยื่นมือเสียสละเวลาสบายส่วนตนไปเทให้กับการช่วยเหลือคนและสัตว์อื่นก็รวมอยู่ด้วย
แล้วคุณยังจะบอกว่าตัวเองไม่มีโอกาสสร้างบุญอีกเหรอ?
ลองสมมติแบบเห็นภาพ
ยิ่งของ เวลา หรือสิ่งนั้นๆในมือมีค่าสำคัญมากต่อคุณแค่ไหนในตอนนั้น แล้วคุณยังกล้าเสียสละมันให้เพราะเมตตาแก่ผู้อื่น(ความสำคัญของของเปรียบดั่งเกรดของอัญมณีซึ่งสมมุติเป็นตัวเเทนของบุญกุศล ไม่ค่อยสำคัญก็คงประมาณเศษพลอย ไล่ไปเรื่อยๆยันสำคัญสุดๆดั่งเพชรน้ำงามล้ำค่า) คุณยิ่งช่วยเหลือ ยิ่งให้ บ่อยครั้ง จำนวนมากเท่าไหร่(จำนวนหรือความบ่อยเปรียบดั่งจำนวนของเพชรพลอย) ส่วนเจตนานั้นคงเปรียบดั่งความเปล่งประกายของเพชรพลอย ค บวกลบคูณหารได้มากได้น้อยยังไงก็ได้แหละน่า แต่ไม่ต้องยึดติดไปเล่นบริจาคอลังการให้วัดวาอารามซะสุดติ่งกระดิ่งเเมวก็ได้(พระสงฆ์องค์เจ้าเขาไม่ใช้อะไรมากหรอกคุณ "ผู้บำเพ็ญตนนั้นย่อมดำรงตนอย่างสมถะพอเพียง เพื่อเข้าหาทางสงบ" ท่องไว้ๆ พระพุทธเจ้ายังใช้พื้นที่กว้างแค่เงาต้นโพธิ์เลย)
เลือกเอาคนหรือสิ่งมีชีวิตใกล้ตัวคุณเป็นเป้าหมายไปเลยในการมอบทาน
ทีนี้พอคุณทำกรรมดีอะไรต่างแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะได้กรวด พลอย บุษราคัม หรือเพชร มันก็มีค่า อย่างที่เขาว่า "ห้าบาทสิบบาทก็เงิน"
กระทั่งบุญกุศลเท่าเม็ดทรายมันก็มีค่ามากในสายตาผีเปรตสัมภเวสีที่หิวโหยมานานนม หากอยากรู้ว่าเขาหิวแค่ไหน คุณลองใช้เงินเดือนให้หมดตอนกลางเดือนแล้วซดแต่น้ำประปาประทังชีพสิ เปรียบไม่ถึงแต่ก็คงให้เห็นความทรมานบ้าง(ข้าเป็นบ่อยเมื่อก่อน ฮ่าๆๆ) คุณทำดีได้จึ๋งนึงก็เถอะ คุณก็แวะกรวดน้ำข้างทางได้ตามบายใจเลย ข้าทำประจำ มาประจำ ไม่มีใครเมินหรอก(ยิ่งตามร้านอาหารนี่แฟนๆคับคั่งเพราะแม่ค้าพ่อค้าชอบเอาอาหารปักธูปไหว้ผีไง เขามารุมๆรวมๆกันกระจุกตรงหน้าร้าน ถึงกินแกงพะแนงราดข้าวไม่ได้แต่ความโหยอยากเกินสติหักห้ามมันทำให้ยังมารุมตอมไง)
คุณไม่ต้องซีเรียสเรื่องน้ำกรวดมากนัก คนชอบบอกกันว่าต้องเป็นน้ำบริสุทธิ์(ต้องคลีนแค่ไหนว้าาาา) ก็ไม่ถึงขั้นนั้น แค่แก้วกรวดน้ำนั้นล้างมาแล้ว(แม้จะเคยถูกใช้แล้วก็ไม่เป็นไร) และคุณไม่ได้เพิ่งแตะปากดื่มมัน น้ำก็เล่นน้ำประปาเอาละกันหาง่ายสุด จริงๆ น้ำแม่น้ำ น้ำคลองก็ได้นะ แม้มันปนเปื้อนขี้เด็กสตรีและคนชรามามากมายก็ตาม แต่ใจคุณไม่ได้เจตนาจะทำให้มันสกปรกเพราะอยากเหยียบย่ำซ้ำเติมศักดิ์ศรีผีเหล่านั้นนี่ น้ำพวกนี้ผีเขาไม่ถือหรอกเพราะเขาได้จะกินมันนี่หว่า บุญไม่ได้อยู่ในน้ำกรวด น้ำคือสติ น้ำคือสมาธิ บ้างว่าน้ำคือการเปิดประตูมิติหรือมิติที่สาม(ที่คนเราอยู่) กับมิติที่สี่(ภพวิญญาณ) แต่อย่างหลังก็คือความเชื่ออย่างหนึ่งล่ะนะ เพราะจริงๆสองอย่างเเรกก็คือตัวตนของน้ำกรวด คนที่ไม่ได้ฝึกจิต สมาธิไม่ค่อยนิ่งควรใช้น้ำกรวดเวลาแผ่กุศล เพราะอะไร? เคยได้ยินไหม "ใจคนเรานั้นยากหยั่งถึง" เพราะมันมีหลายชั้นไง คุณเคยแน่ๆ ที่ระหว่างคิดถึงเรื่องนี้ก็แวบๆคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งในขณะเดียวกัน นั่งสอบอยู่...คิดถึงเนื้อหาที่อ่านเมื่อเช้าทว่าแวบๆ ภาพฉากเซ็กส์โดนใจในหนังโป๊ที่ดูเมื่อคืน /สมองกำลังทำความเข้าใจคำด่าของหัวหน้า แต่อีกใจนึกถึงคำต่อว่าของแฟน บางคนซ้ำร้าย มีสามสี่ห้าเรื่องวิ่งในหัวเวลาเดียวกันเหมือนเปิดเพลงหลายเพลงพร้อมๆกันอ่ะ นั่นเพราะสมาธิยังไม่นิ่งไง การจ้องมอง เทน้ำเป็นสายลงบนพื้นเป็นเส้นเล็กสม่ำเสมอ ไม่หนักไม่เบาไป ไม่กระฉอกฉึกๆเป็นระลอก คือการมุ่งสติสู่โหมดแผ่เมตตาแผ่กุศล
คนที่เขาฝึกจิต คนที่เขามีสมาธิดีๆ เขาไม่ใช่น้ำกันเลยคุณ อาจารย์ข้า(ใบ้ให้ว่าเธออยู่ในม.ศิลปากร)ไม่ใช้น้ำเหมือนกัน หากดูละคร "บ่วง" ของช่อง3 มีฉากนึงที่นางเอกนั่งสมาธิแผ่กุศลให้วิญญาณแม่เมื่อชาติก่อน(หรือคุณหญิงย่าวะ?) ไม่ต้องใช้น้ำเลย แบบนั้นแหละ การโอนถ่ายกุศลมันต้องใช้จิตใจเป็นใหญ่ จิตไม่ค่อยนิ่ง งึกๆงักๆ บุญกุศลก็ไปแบบขาดๆฉึกๆ มันไม่ใช่สะดวกเหมือนเครื่องโอนเงินที่ต้องให้ไม่ต้องเพ่งสมาธิ แค่กดเลขถูกเงินก็ไปปรู๊ด ถ้าให้คนที่ไม่เชื่อh่aอะไรเลยในเรื่องการแบ่งกุศลมานั่งกรวดน้ำเด่ะ มันจะเเค่เทน้ำให้เสร็จพร้อมใจเหยียดว่าเป็นพิธีกรรมติงต๊อง ฉะนั้นกิจกรรมของมันก็คือการเทน้ำเฉยๆ ไม่ใช่แผ่กุศล ใจไม่ได้หวังดีอะไรจะเอาจากไหนให้เธอ(อย่าคิดว่าฝรั่งเขาไม่มีการแผ่กุศลนะ พวกเขามีมานานมากแล้วด้วย แค่ไม่ได้ใช้น้ำ ขนาดฮินดูยังมีเลย)
การกรวดน้ำไม่จำเป็นว่าต้องเทใส่ถ้วยเล็กๆแล้วเดินออกไปเทใส่ต้นไม้ใหญ่ ที่เขามีถ้วยเล็กๆเพราะเขาทำพิธีสวดกันในที่ร่มในบ้านในโบสถ์ เขาถึงต้องเทใส่ถ้วยแล้วออกไปปลดปล่อยเดอะคราเคนข้างนอก(คนละเรื่องแล้ว) ถ้าคุณอยู่ข้างนอกคุณกรวดลงพื้นไปเลย ต้นไม้ใหญ่เล็กหรือหญ้าเตี้ย หรือดินเเห้งแข็งเปลือยเปล่าก็ได้(เพราะได้บอกเเล้วว่าจุดประสงค์ของการใช้น้ำคือไร ไม่เกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่{สิ่งที่อยู่ในต้นไม้ใหญ่บางต้นเขาก็ไม่ได้ชอบให้ใครไปเผือกทำพิธีสัมภเวสีชุมนุมรอบเขตของเขาหรอกนะ เหมือนคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายไง})
ข้ามั่นใจว่าวันๆหนึ่งพวกคุณเดินผ่านใคร อะไร เมื่อไหร่ ในวันนึงคุณต้องมีเรื่องที่ตนทำดีบ้างละ คนรักหมาแมวนี่สบายไปเลย ได้กรวดน้ำกันบ่อยแน่ หรือถ้าใครบอกว่าตัวเองวันๆไม่สนใคร สนใจตัวเองคนเดียว ตื่นเช้า >ขึ้นรถเมล์ >ตอกบัตร >ทำงาน >นั่งรถเมล์ >กินข้าวกินเหล้า >แชทเฟซบุ๊ค >นอน วนลูปแบบนี้มันเรื่อยไปล่ะก็ ไม่เป็นไร ลองเริ่มดูก็ได้นะ สักอย่างที่คุณมั่นใจว่าเป็นการให้ การช่วย อะไรที่คุณมั่นใจว่ามันดีมีในหนังสือวิชาส.ล.น. ทำเลย อย่าไปอายที่จะช่วยใคร ลองเปรียบเทียบก็ได้ว่าความไม่กล้า/ความลังเลให้อะไรคุณบ้าง
1.ถ้าคุณไม่กล้า=ไม่ได้ทำเชี่ยไรเลย ไม่มีอะไรกลั่นเป็นผลึกพลอยของตัวเอง ไม่มีอะไรไปแบ่งให้ผีที่ไหนทั้งนั้น
2.ลังเล = พลาดโอกาสที่จะทำดี ไม่ทันเเล้ว เอ็งไม่ต้องลุกเเล้ว คุณยายเค้ามีคนลุกสละที่นั่งให้เเล้ว เอ็งเชิญนั่งต่อไป กลายเป็นผลลัพธ์แบบข้อแรก 3.กล้า = คุณทำได้ คุณได้ทำ ได้หมด มีพลอยทับทิมไปมอบเป็นของกำนัลแด่เจ้ากรรมนายเวรด้วย
คุณเริ่มทำได้เลย ไม่ต้องสนใจปากคำใครที่จะวิจารณ์ว่าคุณแปลกไปหรือดัดจริตจะเป็นคนดี เพราะปากพวกนั้นมันไม่ช่วยคุณหาพลอยเพชรนิลจินดาหรอก ไม่ให้อะไรเลยพอๆกับความไม่กล้าเเละลังเลนั่นแหละ มันเจ๋งจะตายที่คุณสามารถทำทานกรวดน้ำแผ่กุศลได้วันละหลายๆที น้ำประปาที่ออฟฟิศคุณก็ใช้ฟรี โรยอาหารให้นกพิราบก็ได้โอกาสมอบกุศลให้ผีเปรตแถวนั้นแล้ว มันไม่ยากเลยที่คุณจะทำเพื่อเพื่อนมนุษย์(ที่เคยเป็นมนุษย์) หรือสรรพสัตว์มากมายที่คุณกินเขาเข้าไปพร้อมใบกะเพราผัดพริก หรือคุณจะแผ่มันให้กับคนเป็นๆสัตว์เป็นๆที่คุณรักและห่วงใยก็ได้(ถ้าไม่ใช่ผีเปรตสัมภเวสีมั่วๆซั่ว แต่เป็นเจ้ากรรมหรืออย่างอื่น ส่วนใหญ่จะได้ยากเพราะสัมภฯจะเข้ามาแย่งไปหมดเเล้วเมื่อจะเอ่ยชื่อผู้รับแล้วก็ตาม ราวกับคุณโยนเหรียญมากมายลงพื้น จะมีคนยากจนหิวโหยโคตรมารีบเก็บแม้คุณจะบอกว่าโยนให้ป้าขายผัดซีอิ๊วก็ตาม{อันนี้ถ้ามีเขียนตอนต่อไปจะเขียนวิธีการทำบุญที่เป้าหมายของเราจะได้รับชัวร์ๆดูนะ}) เอาเป็นว่าเคสนี้สำหรับผีเปรตตามท้องที่ก่อนละกัน
ข้าไม่ได้เขียนไอ้นี่ยาวๆแบบนี้เพื่อให้มันน่าเบื่อ แต่ไม่อยากเล่นเป็นช็อตๆทีละสั้นๆ มันอาจทำให้คนอ่านขัดใจ หาไม่เจอ แล้วเลิกอ่าน จนจุดประสงค์ของข้าเลือนหาย ไม่ได้เขียนเพื่อก่อตั้งลัทธินอกรีตใดๆ แต่เพื่อวิญญาณมากมาย มันคือเหตุผลที่ข้าเริ่มเป็นหมอดู คือเพื่อช่วยผีเป็นหลัก หรือไม่ก็ช่วยคนลามไปถึงผีใกล้ตัวคนนั้น เพราะผีสร้างบุญได้แค่ไม่กี่ทาง บางตนโชคร้ายก็โดนเอาไปทำของ(อยากบอกว่าวิญญาณพ่อแม่ของใครบางคนในนี้ข้าเคยเจอว่าถูกเอาไปทำของจองจำ) แต่คนเนี่ยทำอะไรได้เยอะ แก้ไขอะไรได้ทันมากกว่า ตราบมีลมหายใจพวกเขายังไปได้ต่อ
มีหลายคนอินบ็อกหลังไมค์มาให้ดูดวงการงานการเงินความรัก แต่ข้าไม่ได้ตอบ ต้องบอกเลยว่าข้าไม่ชำนาญหรือปล่อยแรงบันดาลใจด้านนั้น ไม่ใช่ว่าไม่สงสารพวกเขานะ แต่วิบากกรรมใหญ่ๆในชีวิต โดยมากมาจากวิญญาณเคลือบเเรงแค้นที่ติดตามคุณไปทุกหน แต่หลายคนพอข้าเริ่มพูดเรื่องกรรม เขาจะไปเลยเพราะมันเป็นคำตอบที่มองไม่เห็น และถึงทายบางอย่างถูกเขาก็ไม่ชอบวิธีอ้อมค้อมอย่างการทำบุญหรืออื่นๆที่แนะนำเพราะผลมันมาช้าไม่ทันใจ ถ้าใครจะเข้ามาก็ตาม หากคุณอยากได้คำตอบแบบสามมิติ ข้าไม่ใช่คนที่เหมาะสม มองผ่านไปเลย
วันนี้วันเกิดข้าเอง กำลังเขยีนกระทู้อันใหม่อยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกคนเป็นกุศลแก่เจ้ากรรม(จริงๆคือข้าตื่นไม่ทันไปตักบาตร ฮ่าๆๆ)
คุณสามารถกรวดน้ำแจกกุศลได้วันละหลายสิบครั้ง!
อันนี้แล้วแต่คนจะเชื่อนะ ข้าเเค่เผยแพร่วิธีการ วิถีทางที่ตนเองเคยทดลอง เคยทำ และสรุปผลลัพธ์ด้วยตัวเอง
บางวิธีก็ได้จากครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ บางอันก็คิดต่อยอดจากของแกมาอีกทีแล้วเอามาลองทำ
อันนี้เราอย่ามาดราม่ากันนะ เเสดงความคิดเห็นได้ แต่อย่าประชดเสียดสีให้เกิดบ่วงกรรมกันนะ แค่อยากจะเล่าวว่าสำหรับข้าเเล้วมันได้ผลหรือไม่อย่างไร
ปัจจุบันคนมักจะไม่ค่อยเข้าวัดวาอาราม อันนี้คุณไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องต่อว่าตัวเองว่าไม่ภักดีต่อศาสนา หรือตัดพ้อว่าทำงานยุ่งไม่มีเวลา
คุณต้องเข้าใจก่อนว่าวัดคืออะไร(ไม่ได้อยากจะพล่ามออกทะเล แต่บางทีมันต้องปูเสื่อเผื่อให้คนที่เขาไม่ค่อยมีพื้นฐานด้านนี้หรือเข้าใจอะไรเป๋ๆไปเกี่ยวกับการเข้าวัด)
วัด คือที่อยู่ของ พระ เณร ผู้บำเพ็ญศีลอย่างดีงามซื่อตรงเพื่อค้นหาความสงบในร่มใจ และพวกเขายังเป็นผู้เผยเเพร่หลักธธรรมให้ชาวบ้านซึ่งต้องดำรงชีพและแปดเปื้อนปะปนตนไปกับกิเลสในแต่ละวัน ให้อย่างน้อยชาวบ้านได้ทำดีประพฤติดีให้ได้มากที่สุดเท่าที่ชาวบ้านจะทำได้ อาจรวมไปถึงการทำพิธีทางศาสนาอื่นๆ เพราะงั้นการที่คุณเข้าวัด จุดประสงค์หลักๆคือ
1.เข้าร่วมเทศกาลหรืองาน หรือพิธีกรรมทางศาสนา
2.ถวายทาน สนับสนุนผู้บำเพ็ญศีลอย่างพระเเละเณร นับรวมถึงการทำประโยชน์อะไรก็ตามแก่วัดนั้นๆ
คุณดูข้อ2 ดีๆนะ การถวายทาน อาหาร ของใช้ บูรณะก่อสร้างอะไรในวัด คือการสนันสนุนให้พระสงฆ์องค์เจ้าได้มีชีวิตรอดต่อไปเพื่อบำเพ็ญตนตามสายทางธรรมะและช่วยสั่งสอนศาสนิกชนให้คิดดีทำดี ไม่ว่าคุณจะฝันว่าพ่อที่ตายแล้วบอกว่าอยากกินน้ำพริกกุ้งเสียบ แล้ววันต่อมาคุณเอาน้ำพริกนั่นไปถวายเพื่อพ่อ แต่ยังไงพระสงฆ์ก็ได้กิน ก็คือได้สนับสนุนพวกเขาอยู่
ทีนี้คำถามต่อมา ถ้าไม่หมั่นเข้าวัด คนรุ่นใหม่อย่างเราๆจะทำบุญได้ไหม?
ตอบ ทำได้สิ ได้ทั้งวันอ่ะ(ตามระดับความเมตตาใจดีนะ)
คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า คำว่า "ทำบุญ" คือกิจกรรมเฉพาะในเขตวัด หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้นถึงเรียกว่าทำบุญ
แต่พอข้าได้สัมผัสกับวิญญาณ ทั้งเห็นเล็กๆน้อย ได้ยิน เข้าฝัน หรือคุยกันผ่านไพ่ในกรณีที่คลื่นไม่ตรงกัน ทำให้รู้ได้ว่า "ทำบุญ" กับ "ทำทาน(ไม่ใช่คำเดียวกับที่นางเอกชอบพูดหลังโดนพระเอกข่มขืนเสร็จเเล้วนะ แอบคิดทะลึ่งเล่นๆว่าช่วงนาทีที่เต็มใจสมยอมอาจจะได้บุญ 555)" มันก็คือๆกันอะ
พอคุณทำทาน ไม่ว่าให้ข้าวหมา ให้เงินขอทาน ความดีมันก็เผล็ดมาเป็นบุญกุศลดั่งแต้มสะสมให้คุณนั่นแหละ(เต็มใจทำหรือไม่ก็ได้มากน้อยต่างกันตามระดับไป) ความเข้าใจตามกันไปตามความเชื่อบางแขนงอาจทำให้หลายตัดพ้อน้อยใจว่า "ฉันไม่มีเวลาไปเข้าวัดถวายสังฆทานแด่เจ้ากรรมนายเวร แด่ป๊าม๊าอากงอาม่า หมาแมวบลาๆๆ ชาตินี้คงมีบุญไม่ถึงสลึงแน่" ตัดพ้อกันไป เห็นคนอื่นเขาอัพเฟซลงรูปถวายกะละมังสีเหลือง หน้าตาแจ่มใส ก็ทำได้แค่คอมเมนต์ "ขออนุโมธนาบุญค่ะ" ในใจกังวลว่าเมื่อไหร่เราจะไปทำบุญแบบเขาบ้าง เงินไม่มี ค่าห้องยังจะไม่มีจ่าย คิดบ้าๆบอต่อไป แล้วมองข้ามความดีที่ตนทำประจำ เช่น เทเพ็ตดีกรีให้หมากินทุกเช้า คลุกข้าวกับปลาทูให้แมวทุกเย็น ช่วยจูงยายข้างบ้านข้ามถนนยามมืดค่ำ ช่วยแม่เลี้ยงน้อง(ช่วยแบ่งเบาภาระแทนที่จะปล่อยให้แกเหนื่อยและประสาทเสียกับเสียงร้องของน้องไง เราๆยอมรับภาระนั้นเอง ฮีโร่นะเนี่ย คนดันชอบคิดว่าซวยชี๊บหาย {ตอนแม่เลี้ยงดูเอ็งเมื่อยังเล็ก เธอก็ลำบากแบบนี้แหละ บ่นไรมาก}) หรือแม้กระทั่งเสียสละเวลาซั่มเมียมานั่งฟังให้คำปรึกษา(ดีๆ)กับเพื่อนผู้ทุกข์ใจ ก็นับด้วย
ความดีทุกอย่างคือการทำบุญหมดเลยทุกท่าน ไม่ต้องเป็นการให้ของก็ได้ การยื่นมือเสียสละเวลาสบายส่วนตนไปเทให้กับการช่วยเหลือคนและสัตว์อื่นก็รวมอยู่ด้วย
แล้วคุณยังจะบอกว่าตัวเองไม่มีโอกาสสร้างบุญอีกเหรอ?
ลองสมมติแบบเห็นภาพ
ยิ่งของ เวลา หรือสิ่งนั้นๆในมือมีค่าสำคัญมากต่อคุณแค่ไหนในตอนนั้น แล้วคุณยังกล้าเสียสละมันให้เพราะเมตตาแก่ผู้อื่น(ความสำคัญของของเปรียบดั่งเกรดของอัญมณีซึ่งสมมุติเป็นตัวเเทนของบุญกุศล ไม่ค่อยสำคัญก็คงประมาณเศษพลอย ไล่ไปเรื่อยๆยันสำคัญสุดๆดั่งเพชรน้ำงามล้ำค่า) คุณยิ่งช่วยเหลือ ยิ่งให้ บ่อยครั้ง จำนวนมากเท่าไหร่(จำนวนหรือความบ่อยเปรียบดั่งจำนวนของเพชรพลอย) ส่วนเจตนานั้นคงเปรียบดั่งความเปล่งประกายของเพชรพลอย ค บวกลบคูณหารได้มากได้น้อยยังไงก็ได้แหละน่า แต่ไม่ต้องยึดติดไปเล่นบริจาคอลังการให้วัดวาอารามซะสุดติ่งกระดิ่งเเมวก็ได้(พระสงฆ์องค์เจ้าเขาไม่ใช้อะไรมากหรอกคุณ "ผู้บำเพ็ญตนนั้นย่อมดำรงตนอย่างสมถะพอเพียง เพื่อเข้าหาทางสงบ" ท่องไว้ๆ พระพุทธเจ้ายังใช้พื้นที่กว้างแค่เงาต้นโพธิ์เลย)
เลือกเอาคนหรือสิ่งมีชีวิตใกล้ตัวคุณเป็นเป้าหมายไปเลยในการมอบทาน
ทีนี้พอคุณทำกรรมดีอะไรต่างแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะได้กรวด พลอย บุษราคัม หรือเพชร มันก็มีค่า อย่างที่เขาว่า "ห้าบาทสิบบาทก็เงิน"
กระทั่งบุญกุศลเท่าเม็ดทรายมันก็มีค่ามากในสายตาผีเปรตสัมภเวสีที่หิวโหยมานานนม หากอยากรู้ว่าเขาหิวแค่ไหน คุณลองใช้เงินเดือนให้หมดตอนกลางเดือนแล้วซดแต่น้ำประปาประทังชีพสิ เปรียบไม่ถึงแต่ก็คงให้เห็นความทรมานบ้าง(ข้าเป็นบ่อยเมื่อก่อน ฮ่าๆๆ) คุณทำดีได้จึ๋งนึงก็เถอะ คุณก็แวะกรวดน้ำข้างทางได้ตามบายใจเลย ข้าทำประจำ มาประจำ ไม่มีใครเมินหรอก(ยิ่งตามร้านอาหารนี่แฟนๆคับคั่งเพราะแม่ค้าพ่อค้าชอบเอาอาหารปักธูปไหว้ผีไง เขามารุมๆรวมๆกันกระจุกตรงหน้าร้าน ถึงกินแกงพะแนงราดข้าวไม่ได้แต่ความโหยอยากเกินสติหักห้ามมันทำให้ยังมารุมตอมไง)
คุณไม่ต้องซีเรียสเรื่องน้ำกรวดมากนัก คนชอบบอกกันว่าต้องเป็นน้ำบริสุทธิ์(ต้องคลีนแค่ไหนว้าาาา) ก็ไม่ถึงขั้นนั้น แค่แก้วกรวดน้ำนั้นล้างมาแล้ว(แม้จะเคยถูกใช้แล้วก็ไม่เป็นไร) และคุณไม่ได้เพิ่งแตะปากดื่มมัน น้ำก็เล่นน้ำประปาเอาละกันหาง่ายสุด จริงๆ น้ำแม่น้ำ น้ำคลองก็ได้นะ แม้มันปนเปื้อนขี้เด็กสตรีและคนชรามามากมายก็ตาม แต่ใจคุณไม่ได้เจตนาจะทำให้มันสกปรกเพราะอยากเหยียบย่ำซ้ำเติมศักดิ์ศรีผีเหล่านั้นนี่ น้ำพวกนี้ผีเขาไม่ถือหรอกเพราะเขาได้จะกินมันนี่หว่า บุญไม่ได้อยู่ในน้ำกรวด น้ำคือสติ น้ำคือสมาธิ บ้างว่าน้ำคือการเปิดประตูมิติหรือมิติที่สาม(ที่คนเราอยู่) กับมิติที่สี่(ภพวิญญาณ) แต่อย่างหลังก็คือความเชื่ออย่างหนึ่งล่ะนะ เพราะจริงๆสองอย่างเเรกก็คือตัวตนของน้ำกรวด คนที่ไม่ได้ฝึกจิต สมาธิไม่ค่อยนิ่งควรใช้น้ำกรวดเวลาแผ่กุศล เพราะอะไร? เคยได้ยินไหม "ใจคนเรานั้นยากหยั่งถึง" เพราะมันมีหลายชั้นไง คุณเคยแน่ๆ ที่ระหว่างคิดถึงเรื่องนี้ก็แวบๆคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งในขณะเดียวกัน นั่งสอบอยู่...คิดถึงเนื้อหาที่อ่านเมื่อเช้าทว่าแวบๆ ภาพฉากเซ็กส์โดนใจในหนังโป๊ที่ดูเมื่อคืน /สมองกำลังทำความเข้าใจคำด่าของหัวหน้า แต่อีกใจนึกถึงคำต่อว่าของแฟน บางคนซ้ำร้าย มีสามสี่ห้าเรื่องวิ่งในหัวเวลาเดียวกันเหมือนเปิดเพลงหลายเพลงพร้อมๆกันอ่ะ นั่นเพราะสมาธิยังไม่นิ่งไง การจ้องมอง เทน้ำเป็นสายลงบนพื้นเป็นเส้นเล็กสม่ำเสมอ ไม่หนักไม่เบาไป ไม่กระฉอกฉึกๆเป็นระลอก คือการมุ่งสติสู่โหมดแผ่เมตตาแผ่กุศล
คนที่เขาฝึกจิต คนที่เขามีสมาธิดีๆ เขาไม่ใช่น้ำกันเลยคุณ อาจารย์ข้า(ใบ้ให้ว่าเธออยู่ในม.ศิลปากร)ไม่ใช้น้ำเหมือนกัน หากดูละคร "บ่วง" ของช่อง3 มีฉากนึงที่นางเอกนั่งสมาธิแผ่กุศลให้วิญญาณแม่เมื่อชาติก่อน(หรือคุณหญิงย่าวะ?) ไม่ต้องใช้น้ำเลย แบบนั้นแหละ การโอนถ่ายกุศลมันต้องใช้จิตใจเป็นใหญ่ จิตไม่ค่อยนิ่ง งึกๆงักๆ บุญกุศลก็ไปแบบขาดๆฉึกๆ มันไม่ใช่สะดวกเหมือนเครื่องโอนเงินที่ต้องให้ไม่ต้องเพ่งสมาธิ แค่กดเลขถูกเงินก็ไปปรู๊ด ถ้าให้คนที่ไม่เชื่อh่aอะไรเลยในเรื่องการแบ่งกุศลมานั่งกรวดน้ำเด่ะ มันจะเเค่เทน้ำให้เสร็จพร้อมใจเหยียดว่าเป็นพิธีกรรมติงต๊อง ฉะนั้นกิจกรรมของมันก็คือการเทน้ำเฉยๆ ไม่ใช่แผ่กุศล ใจไม่ได้หวังดีอะไรจะเอาจากไหนให้เธอ(อย่าคิดว่าฝรั่งเขาไม่มีการแผ่กุศลนะ พวกเขามีมานานมากแล้วด้วย แค่ไม่ได้ใช้น้ำ ขนาดฮินดูยังมีเลย)
การกรวดน้ำไม่จำเป็นว่าต้องเทใส่ถ้วยเล็กๆแล้วเดินออกไปเทใส่ต้นไม้ใหญ่ ที่เขามีถ้วยเล็กๆเพราะเขาทำพิธีสวดกันในที่ร่มในบ้านในโบสถ์ เขาถึงต้องเทใส่ถ้วยแล้วออกไปปลดปล่อยเดอะคราเคนข้างนอก(คนละเรื่องแล้ว) ถ้าคุณอยู่ข้างนอกคุณกรวดลงพื้นไปเลย ต้นไม้ใหญ่เล็กหรือหญ้าเตี้ย หรือดินเเห้งแข็งเปลือยเปล่าก็ได้(เพราะได้บอกเเล้วว่าจุดประสงค์ของการใช้น้ำคือไร ไม่เกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่{สิ่งที่อยู่ในต้นไม้ใหญ่บางต้นเขาก็ไม่ได้ชอบให้ใครไปเผือกทำพิธีสัมภเวสีชุมนุมรอบเขตของเขาหรอกนะ เหมือนคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายไง})
ข้ามั่นใจว่าวันๆหนึ่งพวกคุณเดินผ่านใคร อะไร เมื่อไหร่ ในวันนึงคุณต้องมีเรื่องที่ตนทำดีบ้างละ คนรักหมาแมวนี่สบายไปเลย ได้กรวดน้ำกันบ่อยแน่ หรือถ้าใครบอกว่าตัวเองวันๆไม่สนใคร สนใจตัวเองคนเดียว ตื่นเช้า >ขึ้นรถเมล์ >ตอกบัตร >ทำงาน >นั่งรถเมล์ >กินข้าวกินเหล้า >แชทเฟซบุ๊ค >นอน วนลูปแบบนี้มันเรื่อยไปล่ะก็ ไม่เป็นไร ลองเริ่มดูก็ได้นะ สักอย่างที่คุณมั่นใจว่าเป็นการให้ การช่วย อะไรที่คุณมั่นใจว่ามันดีมีในหนังสือวิชาส.ล.น. ทำเลย อย่าไปอายที่จะช่วยใคร ลองเปรียบเทียบก็ได้ว่าความไม่กล้า/ความลังเลให้อะไรคุณบ้าง
1.ถ้าคุณไม่กล้า=ไม่ได้ทำเชี่ยไรเลย ไม่มีอะไรกลั่นเป็นผลึกพลอยของตัวเอง ไม่มีอะไรไปแบ่งให้ผีที่ไหนทั้งนั้น
2.ลังเล = พลาดโอกาสที่จะทำดี ไม่ทันเเล้ว เอ็งไม่ต้องลุกเเล้ว คุณยายเค้ามีคนลุกสละที่นั่งให้เเล้ว เอ็งเชิญนั่งต่อไป กลายเป็นผลลัพธ์แบบข้อแรก 3.กล้า = คุณทำได้ คุณได้ทำ ได้หมด มีพลอยทับทิมไปมอบเป็นของกำนัลแด่เจ้ากรรมนายเวรด้วย
คุณเริ่มทำได้เลย ไม่ต้องสนใจปากคำใครที่จะวิจารณ์ว่าคุณแปลกไปหรือดัดจริตจะเป็นคนดี เพราะปากพวกนั้นมันไม่ช่วยคุณหาพลอยเพชรนิลจินดาหรอก ไม่ให้อะไรเลยพอๆกับความไม่กล้าเเละลังเลนั่นแหละ มันเจ๋งจะตายที่คุณสามารถทำทานกรวดน้ำแผ่กุศลได้วันละหลายๆที น้ำประปาที่ออฟฟิศคุณก็ใช้ฟรี โรยอาหารให้นกพิราบก็ได้โอกาสมอบกุศลให้ผีเปรตแถวนั้นแล้ว มันไม่ยากเลยที่คุณจะทำเพื่อเพื่อนมนุษย์(ที่เคยเป็นมนุษย์) หรือสรรพสัตว์มากมายที่คุณกินเขาเข้าไปพร้อมใบกะเพราผัดพริก หรือคุณจะแผ่มันให้กับคนเป็นๆสัตว์เป็นๆที่คุณรักและห่วงใยก็ได้(ถ้าไม่ใช่ผีเปรตสัมภเวสีมั่วๆซั่ว แต่เป็นเจ้ากรรมหรืออย่างอื่น ส่วนใหญ่จะได้ยากเพราะสัมภฯจะเข้ามาแย่งไปหมดเเล้วเมื่อจะเอ่ยชื่อผู้รับแล้วก็ตาม ราวกับคุณโยนเหรียญมากมายลงพื้น จะมีคนยากจนหิวโหยโคตรมารีบเก็บแม้คุณจะบอกว่าโยนให้ป้าขายผัดซีอิ๊วก็ตาม{อันนี้ถ้ามีเขียนตอนต่อไปจะเขียนวิธีการทำบุญที่เป้าหมายของเราจะได้รับชัวร์ๆดูนะ}) เอาเป็นว่าเคสนี้สำหรับผีเปรตตามท้องที่ก่อนละกัน
ข้าไม่ได้เขียนไอ้นี่ยาวๆแบบนี้เพื่อให้มันน่าเบื่อ แต่ไม่อยากเล่นเป็นช็อตๆทีละสั้นๆ มันอาจทำให้คนอ่านขัดใจ หาไม่เจอ แล้วเลิกอ่าน จนจุดประสงค์ของข้าเลือนหาย ไม่ได้เขียนเพื่อก่อตั้งลัทธินอกรีตใดๆ แต่เพื่อวิญญาณมากมาย มันคือเหตุผลที่ข้าเริ่มเป็นหมอดู คือเพื่อช่วยผีเป็นหลัก หรือไม่ก็ช่วยคนลามไปถึงผีใกล้ตัวคนนั้น เพราะผีสร้างบุญได้แค่ไม่กี่ทาง บางตนโชคร้ายก็โดนเอาไปทำของ(อยากบอกว่าวิญญาณพ่อแม่ของใครบางคนในนี้ข้าเคยเจอว่าถูกเอาไปทำของจองจำ) แต่คนเนี่ยทำอะไรได้เยอะ แก้ไขอะไรได้ทันมากกว่า ตราบมีลมหายใจพวกเขายังไปได้ต่อ
มีหลายคนอินบ็อกหลังไมค์มาให้ดูดวงการงานการเงินความรัก แต่ข้าไม่ได้ตอบ ต้องบอกเลยว่าข้าไม่ชำนาญหรือปล่อยแรงบันดาลใจด้านนั้น ไม่ใช่ว่าไม่สงสารพวกเขานะ แต่วิบากกรรมใหญ่ๆในชีวิต โดยมากมาจากวิญญาณเคลือบเเรงแค้นที่ติดตามคุณไปทุกหน แต่หลายคนพอข้าเริ่มพูดเรื่องกรรม เขาจะไปเลยเพราะมันเป็นคำตอบที่มองไม่เห็น และถึงทายบางอย่างถูกเขาก็ไม่ชอบวิธีอ้อมค้อมอย่างการทำบุญหรืออื่นๆที่แนะนำเพราะผลมันมาช้าไม่ทันใจ ถ้าใครจะเข้ามาก็ตาม หากคุณอยากได้คำตอบแบบสามมิติ ข้าไม่ใช่คนที่เหมาะสม มองผ่านไปเลย
วันนี้วันเกิดข้าเอง กำลังเขยีนกระทู้อันใหม่อยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกคนเป็นกุศลแก่เจ้ากรรม(จริงๆคือข้าตื่นไม่ทันไปตักบาตร ฮ่าๆๆ)