เคยเป็นไหม รู้สึกว่า ตัวเองแย่กว่าเดิม?

สวัสดีค่ะ เรามีเรื่องที่สงสัย และไม่เข้าใจในตัวเอง เลยอยากรู้ว่ามีใครเป็นเหมือนกันบ้าง
ปัจจุบันเราทำงานแล้วได้ประมาณ 4 ปี เรารู้สึกว่าตัวเรามันสับสน ไม่เข้าใจโลก สิ่งที่คิดว่าดีกลับไม่ใช่ สิ่งที่ไม่ใช่ มันก็ควรทำ
คือ เราไม่รู้จะวางตัวยังไงในการทำงานตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ จนกระทั่งวันนี้
พี่ที่ทำงานต่างบอกว่าเราเข้าใจยาก หากมีลูกหลานไม่อยากให้เขาเป็นเหมือนเรา
เราเป็นเด็กเรียนได้เกียรตินิยมอันดับสอง (ไม่ใช่เราเก่งหรอก เราแค่อ่านหนังสือเอา เพราะเราต้องขอทุนเรียน ช่วยครอบครัว กลัวซิ่วหรือรีไทน์ ไม่มีปัญญาจ่ายค่าเทอม)
ซึ่งไอ้การได้เกียรตินิยมคล้องคอ มันทำให้เขาคิดว่าเราเก่ง มีความสามารถ หวังกับเราไว้สูง แต่เราดันหัวช้า ไม่กล้าคิด กล้าทำอะไร เรากลัวการเริ่มต้น ไม่ชอบการปะทะ ไม่ชอบการควบคุมหรือบังคับใครให้อยู่ในกฎ แต่เราดันเป็นคิวซีของบริษัท
บุคลิกก่อนเข้าทำงาน เราขี้เล่น มารยาทงาม ไหว้ทุกคน ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็ไม่คิดมากว่าใครจะว่าเรา หรือมองเรายังไง? เราคิดว่าเราจริงใจ และบริสุทธ์ใจกับทุกคน ทุกคนเขาก็จะเข้าใจเราเอง แต่พอนานๆเข้า เราดันถูกเรียกคุย เพราะทำตัวไม่เหมาะกับการเป็นหัวหน้า เราต้องมีมาด เราต้องใส่หน้ากาก เราก็พอจะเข้าใจ แต่สิ่งนั้นมันทำให้เรารวน เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะวางมาดแบบไหน เพราะบุคลิกเราคือ โก๊ะๆ มึนๆ อึนๆ สมองช้า เราฟังคนอื่นรู้เรื่อง แต่อธิบายออกมาให้คนอื่นฟัง คนฟังมักไม่รู้เรื่องกับเรา จากคนที่ขี้เล่น สนุกสนาน ทักทายทุกคน พอนานๆเข้า เรากลับรู้สึกว่า ทุกคนไม่ชอบเรา บางทีเขาก็เข้าใจเราผิด แบบเราขอบคุณ คือขอบคุณจริงๆ แต่เขาดันคิดว่าเราประชด (เพราะพี่อีกคนเอามาบอก คือ เราติดคำว่า สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษมาก ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กจนจบปริญญาตรี) เราเริ่มไม่อยากเข้าหาใคร คุยกับใคร เพราะเราพูดช้า (เคยพูดไม่ชัดมาก่อน) อีกทั้งเราไม่ค่อยรอบคอบทำงานผิดบ่อย แถมเอาแต่ทำงาน โดยไม่ดูว่างานไหนสำคัญไม่สำคัญ ควรพัฒนาอะไรต่อบ้าง ไม่คิดอะไรใหม่ๆเกี่ยวกับงาน เพราะไม่มั่นใจว่ามันจะถูกหรือผิด แต่พี่เขาก็สอนงานให้จนละเอียด พอจะตัดสินใจเองได้ แต่ก็ยังต้องโทรถามเพื่อให้เขายืนยัน เพราะกลัวพลาดมากๆ คือตอนนั้นไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงขาดความมั่นใจขนาดนั้น พอลุกขึ้นมามั่นใจก็ดันตัดสินใจพลาด จากนั้นเราก็เลยกลัวการตัดสินใจไปเลย เรารู้สึกเจ็บทุกเช้าที่ต้องตื่นไปทำงาน อยากนอนหลับยาวๆเมื่อคิดว่าต้องทำงาน

               ภาพเหตุการณ์ตอนทะเลาะกับแม่ขอเรียนวารสารศาสตร์ จิตวิทยา ศิลปศาสตร์ เอกอังกฤษ กลับเข้ามาในหัว ตอกย้ำว่าเราตัดสินใจอะไรก็พลาด เรามันโง่เองที่ไม่สามารถบอกเหตุผลให้แม่คล้อยตามได้ เราคืออีเอ๋อ (มีคนหลายคนมักชอบนินทา หรือว่าเรา ประมาณติ๊งต๊อง เอ๋อ ไม่เต็มบาท) ตอนนั้นเราไม่เชื่อ และไม่แคร์ด้วย เราคิดแค่ว่า เด็กเอ๋อที่ไหนจะเรียนได้ดี จนจบปริญญาตรี แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว ว่ามีงานทำก็ทำงานให้ดีไม่ได้ เพราะความเอ๋อ อึน มึนมันมากเกินไป แค่พูดให้คนอื่นทำตามตัวเองยังทำไม่ได้ กลัวว่าตัวเองจะไม่มีเงินเรียน ต้องไปอยู่หอแล้ว แม่ไม่ตังค์ส่งให้ไปเรียน ต้องหางานทำแล้วเรียนไม่เต็มที่ ถูกซิ่วกลางคัน เรียนไม่จบ จนต้องเรียนคณะที่แม่อยากให้เรียน แม้มันจะเรียนออกมาได้ดี แต่มันอยู่แค่ในตำรา เราอ่านหนังสือก่อนเรียนทุกครั้ง มันเลยไม่ต้องสังเกต หรือไปเอาตัวรอดอะไรในห้องแลป เราไม่ได้สนใจในวิชาเรียนในภาคเท่าไหร่ มีวิชาเลือกเสรี เรายังฝันลมๆแล้งๆ ไปเลือกวิชา เชิงจิตวิทยา คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เราโง่มากที่คิดว่าจะหันเหไปทำงานสายเหล่านั้น เพียงแค่เรียนวิชาเลือกเสรีมา เราชอบเพ้อเจ้อ มโน เราเคยชอบตัวเอง ที่เราไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่คิดร้ายกับใคร แต่ตอนนี้ความรู้สึกชอบตัวเองเรา มันเริ่มจะเลือนหายไป เราต้องคิดถึงอดีต ที่เราเคยช่วยเหลือคนอื่น ให้ตัวเองมีความสุข เพราะตอนนี้เราแทบช่วยใครไม่ได้ รวมถึงตัวเราเอง แต่ก่อนเราเป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะมีเรื่องเครียดบ้าง แต่เรายังยิ้มเพื่อให้คนอื่นมีความสุขได้เสมอ แต่ตอนนี้รอยยิ้มที่สดใสจริงๆมันหายไปไหนก็ไม่รู้ จากคนที่ไม่คิดว่าใครจะคิด จะว่าอะไรเรา ก็ดันเป็นคนกังวลว่าเขาจะไม่ชอบ ไม่กล้าเข้าหา ไม่กล้าคุยกับใคร ไม่รู้จะวางตัวแบบไหนให้เข้ากับคนอื่นได้ สรุปก็อยู่เงียบๆของเราคนเดียว เราไม่ใช่คนที่มั่นใจในตัวเอง ขึ้กลัวมาตั้งแต่สมัยเรียน อันนี้เรารู้ตัวเอง แต่เราก็ยังภูมิใจและชอบตัวเอง มากกว่าตอนนี้ เพราะตอนนี้เรารู้สึกเราเป็นคนไม่ดี เป็นคนที่คิดอะไรก็ไม่มีใครเห็นด้วย ทำอะไรก็ผิดพลาด ไม่มีใครอยากอยู่กับเราจริงๆ เราเหมือนเป็นภาระสร้างความเครียดให้ทุกคน เป็นคนเพี้ยนๆ บ้าๆบอๆ ในสายตาคนอื่น เราไม่รู้ว่า เราจะไปทางไหนดี งานที่ทำเราก็ทำใจให้ชอบมันไม่ได้ ส่วนไอ้สิ่งที่ไม่ได้ทำ ก็วนลูปกลับไปคิดถึงมันอยู่ได้
               
                มีพี่ที่บริษัทเขาบอกเราเข้าใจยากจนน่าทำวิจัยชีวิตเรา เราเป็นเพียงไอ้เด็กน้อยที่ถูกล้อเพราะพูดไม่ชัด แต่มันดันชอบร้องเพลง และยังร้องเพลงท่ามกลางเสียงล้อเลียนของเพื่อน เป็นเด็กที่ไม่คิดเข้าข้างเพื่อนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยอมเล่นคนเดียว ก่อนจะเห็นว่าเพื่อนกลุ่มเล็กถูกรังแกจึงเข้าไปเป็นเพื่อน ช่วยเทศนาเพื่อนกลุ่มใหญ่ เพราะชอบอ่านหนังสือสลน.(สร้างเสริมลักษณะนิสัย) และดูละครน้ำเน่า แล้วมโนว่าตัวเองเป็นนางเอก เพราะแม่บอกนางเอกคือคนดี เป็นเด็กที่แยกตัวจากเพื่อนเมื่อเพื่อนเล่นเตย แล้วตัวเองไม่ชอบ ก็ไปเล่านิทานให้เด็กอนุบาลฟัง หรืออยู่กับเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ด้วยความที่ตั้งใจเรียน เพราะพ่อเสีย ต้องขอทุนตั้งแต่ป.3 หรือ ป.4 ก็เลยทำให้เพื่อนประถมเรียกว่า แม่ชี คือ ทำตัวตามคำสอนของพุทธศาสนาที่เรียนมา แต่ศาสนาจริงคือ อิสลาม ชอบมองธรรมชาติ แต่งกลอนรักหรือทั่วๆไป และร้องเพลง พออยู่มัธยมก็เป็นเด็กทุนต่อ ตั้งใจเรียน แล้วก็กลับบ้าน มีเพื่อนในกลุ่มห้าคน พอจับกลุ่มกันไม่ลงตัว เราชอบเสียสละเป็นเศษ เพราะเพื่อนจะได้อยู่ด้วยกัน ตอนขึ้นมัธยมเรากลัวไม่มีเพื่อน แต่เราก็คิดว่า เราควรอยู่คนเดียวให้ได้เช่นกัน แต่เรามีเพื่อนเป็นแกงค์ เราก็คิดว่า เพื่อนคนอื่นจะคิดกับเรายังไงก็ช่าง เราก็มีเพื่อนที่เข้าใจเราเสมอ และเราเชื่อว่าเขาไม่ได้สนิทกับเรา จึงตัดสินเราในสิ่งที่เขาเห็น เขาเหล่านั้นก็ไม่ผิด ที่จะไม่ชอบในบุคลิกของเรา แล้วเราก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยนบุคลิกของเราหากมันไม่ได้ทำร้ายใคร นอกจากเพื่อนที่คบกับเราอับอาย ช่วงนั้นเราสนใจการเขียนหนังสือ ที่จริงสนใจตั้งแต่ประถมแล้ว จึงเข้าชมรม หรือขึ้นห้องสมุดไปอ่านหนังสือกับเพื่อน พอใกล้ขึ้นม.ปลายก็คิดจะเปลี่ยนความซุ่มซ่าม ความโก๊ะ เปิ่นๆ ของตัวเอง แต่เพื่อนดันบอกว่าเป็นอะไร ดูเครียดๆ เอิ่ม! คือไม่มีความพอดี สุดท้ายเราก็เลยไม่ได้เปลี่ยนอะไร จากนั้นเมื่อขึ้นม.ปลาย เราสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จึงได้เข้าชมรมทำกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเพื่อนชวนไปหาอาจารย์ เรามักรวบรวมความกล้าได้ หากเราสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราเข้าไปขออาจารย์ในชมรมเพื่ออยู่ด้วยเองเลย และเราก็ได้ใช้ชีวิตม.ปลายอย่างสนุกสนานกับเพื่อน แล้วในการเข้าค่ายสิ่งแวดล้อม เราได้เจอเพื่อนที่เขาก็ร่าเริง เฮฮา กล้าแสดงออก เราเข้ากลุ่มเขาได้ ซึ่งลุกขึ้นเต้นแทบทุกเพลง ทำเอาอาจารย์อึ้ง เพราะเราค่อนข้างเงียบกับคนไม่สนิท แต่ไปอยู่ในค่ายดันเป็นกลุ่มฮาไปได้ ฉันจึงได้รู้ว่า ฉันเหมาะกับการสันทนาการ ฉันชอบมัน แม้ฉันจะเต้นไม่ตรงจังหวะก็ตาม ฉันได้เป็นวิทยากร ดีเจ(แต่พูดไม่ชัด จึงต้องไปทำสคริป และเป็นตัวสำรองเพื่อนแทน แต่ก็แอบภูมิใจ เพราะมีผู้ฟังชมว่า่ พูดเป็นธรรมชาติดี) แถมตอนม.3 และ ม.4 มีการแสดง ฉันมักแสดงละครจนเพื่อนเรียกเป็นชื่อตัวละครนั้นแทนชื่อตัวเองเลย และได้รับการเลือกให้แสดงละครห้อง หลังจากแสดงจบ มีรุ่นพี่ที่ไม่รู้จักมาชมว่าแสดงดี ฉันก็ขอบคุณเขาใหญ่เลย มันเป็นอะไรที่ภาคภูมิใจมาก แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอยากเป็นนักแสดง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันอยากเป็นคนเขียนบทละครที่แสดงละครถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกตัวละครได้ คือแบบมันยิ่งใหญ่มาก ฉันจึงบ้าอ่านนิยายเพื่อพยายามศึกษาการเขียน ภาษา และความชอบส่วนตัว ซึ่งพอฉันทำกิจกรรมเกี่ยวกับสันทนาการ หรือแสดงละคร ฉันก็คิดว่าความเปิ่น ความต๊อง จินตนาการความอินตามความรู้สึก การมโนของฉันมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน มันทำให้ดูเนียน สนุกขึ้น ฉันเล่าให้คนในครอบครัวฟัง แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ แล้วไม่ได้สนใจมันมาก เขาอยากให้ฉันเรียนในสิ่งที่สามารถหาเงินได้สูงและมั่นคง ฉันมักถูกที่บ้านว่าคิดอะไรแปลกๆอยู่เสมอ เพียงฉันไม่ชอบตัดสนใคร ไม่ชอบพูดถึงใครเพียงเห็นเขาด้านเดียว ฉันเชื่อว่าทุกคนมีพิ้นฐานที่เป็นสาเหตุของนิสัย ซึ่งนั้นมันทำให้ฉันชอบพูดดึงให้คนในครอบครัวคิดอีกแง่มุมเสมอ แต่พอหลังจากนั้น ตัดฉากมาตอนนี้ สิ่งที่เป็นฉันมันไม่น่าชื่นชม มันควรเงียบปากไว้ ไม่ควรขัดคอใคร ควรตามกระแสไป เขาเป็นไง คิดยังไง เข้าใจใครผิดกัน ก็ต้องปล่อยๆเขาไป ส่วนเรื่องงานต้องใช้ตรรกะ ใช้เหตุและผล ไม่ใช่เพ้อเจ้อ ฉันได้แต่โทษตัวเองว่า ถ้าฉันไม่โง่ ไม่กลัว ฉันก็คงใช้ความต๊องของฉันให้เป็นประโยชน์ได้ ตอนนี้ฉันมันไม่มีประโยชน์ แล้วฉันก็ทิ้งการอ่าน ทิ้งการมโนไปแล้ว ฉันต้องอยู่กับความจริง ความจริงที่ฉันไม่อยากรับรู้ ฉันไม่อยากเจอใคร ไม่อยากคุยกับใคร อยากอยู่ที่สงบๆ ให้ฉันได้อยู่กับตัวเอง กับความฝัน บางทีฉันก็อยากเป็นบ้า อยู่ในโลกแห่งฝัน โดยไม่ต้องพบเจอโลกแห่งความจริง

            ฉันว่าฉันตอนนี้มันแย่มาก มันไม่ความสำเร็จอะไรให้มองเห็น มันมีแต่ความล้มเหลว จนขึ้เกียจ ไม่อยากทำอะไร อยากจมอยู่ในอดีตที่มีความสุข หรืออยู่ในโลกแห่งฝันที่สวยงามไปเลย เราบ้าไปแล้ว

             เขียนไปเหมือนไม่ตรงกับชื่อเรื่อง ก็ขออภัยด้วยแล้วกันนะคะ ฟิลลิ่งล้วนๆ ติหรือแนะนำได้นะคะ ด่าได้แต่ขออย่ารุนแรงนะ เกรงจะรับไม่ได้
สิ่งที่อยากรู้คือ เราเป็นอะไร? ควรไปพบจิตแพทย์ไหม? เราควรบำบัดความคิดไปทางไหน?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่