"สายฝน" นำพาความชุ่มช่ำมาสู่มวลพรรณไม้
สิ่งมีชีวิตที่เคยหลับใหล ต่างพากับผลิดอกออกใบ แข่งกันรังสรรภาพที่สวยงามมาจรรโลงใจโลกที่โหดร้ายแห่งนี้
เช่นเดียวกับทุ่งดอกกระเจียว สุดยอดแห่งสวรรค์ในวสันตฤดู
หรือที่ใครต่างพากันขนานนามว่าเป็น "ราชินีดอกไม้แห่งป่าฝน"
..............................................
สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกในการมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวนะคะ
อย่าถือว่าเป็นการรีวิวหรืออะไรเลย แค่เล่าให้ฟังแบบนั้นดีกว่าค่ะ
หากผิดพลาดประการใด ขอทุกท่านได้โปรดให้อภัยค่ะ (เรามาด้วยเจตนาที่ดีจ้า) :]
เมื่อวันหยุดยาวช่วยกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ เรากับเพื่อนสนิทได้มีโอกาสไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จ.ชัยภูมิค่ะ
ครั้งนี้เราและเพื่อนตัดสินใจว่า เราจะลองแบกเป้เที่ยวกันสักครั้งนึง
และนี่ก็เป็นครั้งแรกของพวกเราค่ะ ^^
เริ่มต้นเลยเนอะ ..
>> การเดินทางไป <<
เรากับเพื่อนเลือกเดินทางกันด้วยรถทัวร์ ของบริษัทเทียนไชยแอร์ ไปซื้อเองที่หมอชิต 2 ค่ะ เคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ชั้น 3 ช่อง 72 นะคะ
ตอนซื้อให้บอกคนขายตั๋วว่าจะไปชมทุ่งดอกกระเจียว ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
พนักงานจะออกตัวให้โดยปลายทางเป็น"สามแยกบ้านไร่ จ.ชัยภูมิ"
รถที่ไปไม่มีให้เลือกมากค่ะ เป็นรถทัวร์ปรับอากาศชั้น 1 เท่านั้น ราคาตั๋วอยู่ที่ 205 บาทต่อท่าน
(มีน้ำเปล่า 1 ขวด ขนมปัง 1 ห่อ และผ้าห่ม)
รอบขาไป>> มีรอบ 12.00 / 16.00 / 23.30 (ถ้าจำไม่ผิด)
รอบขากลับ>> มีรอบเวลาเดียวกัน แต่ต้องบวก 1.45 นาทีถึงจะถึงสามแยกบ้านไร่ นั่นหมายความว่า
ตั๋วกลับจะมีรอบ 13.45 / 17.45 ประมาณนี้ค่ะ ลองสอบถามให้แน่นอนอีกทีนะคะ
เวลาซื้อตั๋ว ให้ซื้อทั้งไปและกลับเลยนะคะ ไม่งั้นไปซื้อที่นู่นจะหาซื้อลำบากค่ะ สนนราคาตั๋วไป-กลับ 410 บาทค่ะ
เรากับเพื่อนเดินทางวันที่ 15 ก.ค. (จองตั๋วล่วงหน้ากันด้วยนะคะ เด่ยวเต็ม)
เรากับเพื่อนเลือกเดินทางวันศ.เย็น รอบ 23.30 (อยากเที่ยวก่อนคนอื่น 1 ก้าวค่ะ ไม่ชอบคนเยอะ ไม่อยากแย่งกันเที่ยว)
เรานัดเจอกันที่อนุสาวรีย์หลังเลิกงาน หาข้าวทานไปพลางๆ ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย ขึ้น BTS ตอน 22.00 เผื่อเวลาแบบไม่เร่งรีบ
เลือกลงสถานีสะพานควายแล้วต่อรถแท็กซี่ไปหมอชิต 2 (หมอชิตใหม่) จากนั้นเดินไปชานชาลาที่ 3 ช่องง 51
ถึงก่อนเวลานิดหน่อยค่ะ พนักงานของที่นี่บริการดีนะคะ สุภาพน่ารัก พอรถออกเราก็หลับ เก็บเกี่ยวพลังงานกันอย่างเต็มที่
เราเดินทางมาถึงที่ "สามแยกบ้านไร่" เป็นปากทางขึ้นอุทยานพอดีค่ะ ขณะนั้นเวลาประมาณ ตี 3.30 น.
ตอนลงมาตกใจนิดหน่อยค่ะ เพราะตรงจุดที่ลงค่อนข้างมืดมาก สองข้างเป็นพงไม้ พอรถออกไปก็เงียบมากกกกกก
เดินไปอีกนิดจะเป็นจุดรอรถ อันนี้สว่างหน่อยค่ะ ตอนแรกเรากับเพื่อนก็อึ้งๆ ว่ามันช่างวิเวก วังเวงแท้ ไร้คน ไร้รถ 5555
สักพักก็มีคนมานั่งรอเพิ่มอีก 2 คนค่ะเลยอุ่นใจนิดนึง 5555 ตอนนั้นมีรถขึ้นอุทยานเรื่อยๆนะคะ แล้วก็มีลุงมาถามว่าจะให้พาขึ้นไปไหม
เราและเพื่อน พร้อมกันพี่อีก 2 คนที่รอรถอยู่เหมือนกัน ก็เลยตกลงไป หารกันคนละ 100 บาทค่ะ
(เพื่อนๆที่ต้องการจะมา ถ้าเป็นหน้าท่องเที่ยว เราคิดว่ามีรถที่รอรับจ้างขึ้นไปอยู่แล้วค่ะ ยิ่งกลางวันจะเยอะค่ะ
มีทั้งมอเตอร์ไซค์พ่วง รถกระบะ หรือจะโบกรถขึ้นไปก็ได้ค่ะ มีรถขึ้นตลอด ราคาขึ้นประมาณ 80-100 บาทต่อคนค่ะ)
ทางขึ้นอุทยานฯไม่ได้น่ากลัวนะคะ ตอนนั้นค่อนข้างดึก มันมืดจนเราเห็นดาวเลยค่ะ อากาศก็เริ่มหนาวเรื่อยๆ
มันเป็นความรู้สึกแรกที่ดีมากๆ หายเหนื่อยหายง่วงเลยค่ะ
พอถึงหน้าอุทยานฯ เรากับเพื่อนจึงเดินไปร้านอาหารตามสั่งแถวนั้น ทางข้าวเติมพลัง
เนื่องจากอุทยานจะเปิดประมาณ ตี 5.30-6.00 น.ค่ะ
และโชคดีมากๆที่ร้านนั้นมีที่สำหรับอาบน้ำค่ะ เรากับเพื่อนจึงจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
จากนั้นเรากับเพื่อนแบกเป้ขึ้นไป หวังจะเช่าเตนท์ แต่... ที่ทำการอุทยานฯ ยังไม่เปิดค่ะ 5555
ตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าสำนักงานจะเปิดกี่โมง แต่เราไม่ได้รีบไปไหนก็เลยนั่งเล่นเดินเล่นอยู่แถวนั้น
นั่งฟังเพลงสูดอากาศบริสุทธิ์ ถ่ายรูปเล่นบ้าง สุดท้ายเลยงัดเอาเกมส์ scrabble ที่พกมาเล่นค่าเวลา (คนแถวนั้นมองกันใหญ่เลย 5555)
ประมาณ 8.00 น. ที่ทำการฯ ก็เปิดค่ะ (เพิ่งมารู้ภายหลังว่าเปิดทำการเวลา 8.00 - 16.30 น.)
เรากับเพื่อนรีบวิ่งไปจองเตนท์ ต้องใช้บัตรประชาชนด้วยนะคะ จริงๆนักท่องเที่ยวสามารถนำเตนท์มากางเองได้
หรือสำหรับใครที่แบกเป้เที่ยว และไม่เคยนอนเตนท์แบบเรา ทางอุทยานฯก็มีเตนท์ที่กางรอแล้วให้เช่าค่ะ
ค่าเตนท์อยู่ที่ประมาณ 240 บาท / เบาะรองนอนอันละ 20 บาทนอนได้แค่อันละ 1 คนนะคะ /
หมอนอันละ 10 บาท / ถุงนอนอันละ 30 บาท ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัย เพราะหนูจัดเต็มครบชุดทุกอย่างเลยค่ะ
จุดเกางเตนท์ของอุทยานฯจะมี 2 จุดค่ะ คือ
1/บริเวณใกล้ๆกับร้านค้าสวัสดิการ จุดนี้จะเข้าห้องน้ำค่อนข้างสะดวก มีไฟอยู่บ้าง สะดวกสบายค่ะ
2/บริเวณลานต้นไม้ด้านใน จุดนี้จะไม่มีไฟเลยค่ะ มืด ดูดาวคงจะสวยมาก แต่จะไกลห้องน้ำนะคะ
เรากับเพื่อนเลือกข้อ 2 ค่ะ แต่อยากจะแนะนำหากใครที่คิดว่าตัวเองขี้กลัวนิดนึง
ก็ให้เลือกเตนท์ข้อ 1 นะคะ (เหตุผลจะบอกให้ช่วงต่อไปของเรื่องค่ะ)
เมื่อเราจองเตนท์จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะส่งคนไปทำความสะอาด เราจึงยังเข้าเตนท์ไม่ได้
เราได้ทำการฝากของไว้กับเจ้าหน้าที่ + ขอชาร์ตแบต Power Bank ไว้ แล้วก็ขึ้นไปเที่ยวค่ะ
การไปเที่ยวชมอุทยานฯ จะเสียค่าเข้าท่านละ 40 บาท
ในการเที่ยวชมอุทยานฯ จะมีรถรางพาเที่ยว และมียุวมัคคุเทศน์ค่อยบรรยาค่ะ ค่ารถรางตกท่านละ 30 บาทค่ะ
อากาศข้างบนดีมาก มากถึงมากที่สุด เย็นสบาย และหมอกบางๆคลุมไปทั่วๆ
อาจจะมีบางจุดที่หมอกหนาจนมองอะไรไม่เห็นก็มีค่ะ
แนะนำว่าขึ้นไปจนสุด จากนั้นเดินเข้าป่าไปชมผาสุดแผ่นดินก่อน แล้วค่อยเดินไปทุ่งดอกกระเจียว
(อยากให้ไปตอนเช้าๆ ตอนที่ยังมีหมอกจะสวยมาก) จากนั้นก็ค่อยไปชมพวกลานหินค่ะ
เราให้ดูรูปบางส่วนเพื่อเรียกน้ำย่อยค่ะ แต่ตรงบรรยากาศที่นั่งรถรางและธรรมชาติที่เราไปเจอ เราจะไม่สปอยมากนะคะ
เอาไว้ให้ไปสัมผัสบรรยากาศเอง จะรู้เลยว่ามันคุ้มค่ามากจริงๆค่ะ
หลังจากเที่ยวชมอุทยานฯเสร็จ เรากับเพื่อนก็กลับมาที่เตนท์ อยากนอนใจจะขาดแล้ววววว
เรากับเพื่อนช่วยกันขนของเข้าเตนท์ และเอาทิชชู่เปียกเช็ดข้าวของทำความสะอาดเองอีกครั้งเพื่อความสบายใจค่ะ :]
ระหว่างที่เรากำลังจัดเรียงข้าวของอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็น ...บุ้งค่ะ สีดำ ใหญ่มาก หลายตัวเลย
เราตกใจมาก (เพราะเราแพ้ขนบุ้ง) เราก็เลยวิ่งไปขอเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเตนท์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ใจดีมากค่ะ
ให้เราไปเลือกเตนท์ที่ต้องการเอาเองเลย คราวนี้เราเลือกจุดที่ 1 ข้างร้านค้าสวัสดิการค่ะ เราสำรวจเตนท์อย่างดี
คราวนี้เราไม่เห็นบุ้งแล้วค่ะ แต่มียุงและแมลงต่างๆแทน แต่เราก็ยังหลอนและกลัวบุ้งไม่หาย
(ขอโทษจริงๆนะคะ เพราะเราไม่เคยนอนเตนท์อ่าาาาา) เราเลยออกไปเดินหาข้าวทานไปพลางๆค่ะ
ตอนนั้นเรากับเพื่อนทั้งง่วงทั้งเหนื่อย มากกกกกก
เราแวะร้านกาแฟชื่อ "All about bean coffee" เป็นร้านน่ารักๆ
ไม่มีแอร์แต่อากาศโปร่งสบาย อาหารและเครื่องดื่มที่นั่นดูดีและอร่อยมากค่ะ ดังภาพ
เรียกได้ว่าร้านที่ช่วยดับความเหนื่อยล้าของเราไปได้ส่วนนึงเลยค่ะ
เรากับเพื่อนนั่งกินไปมา ไม่รู้ตัวว่าฟุบหลังกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตื่นมาเราเลยมานั่งคุยกันว่าเราจะเอายังไงดี มันระแวงเรื่องบุ้งมาเลยค่ะ
จุดที่เราย้ายมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มี บริเวณนั้นก็มีค่ะ แต่แค่มันยังไม่ออกมาหาเรา
อีกอย่างตอนนั้นเพื่อนอีกคนเริ่มมีการท้องเสียค่ะ เราเลยคิดเยอะว่านอนเตนท์และห้องน้ำรวมมันจะสะดวกไหมหนอ
สุดท้ายระหว่างทางเดินกลับเราก็เจอ "ภูคำรุ้ง รีสอร์ท" ห้องพักราคา 1,000 บาท
มีแอร์ มีอาหารเช้า เราคิดว่ามันไม่แพง และคุ้มค่า เจ้าของก็น่ารัก เราเลยตัดสินใจจองห้องพักไว้เลย
แต่พอกลับไปที่เตนท์ หลังจากที่คุณลุงข้างๆ ฉีดยากันแมลงให้แล้ว เราเอาผ้ามาเช็ดๆ แล้วลองนอนเล่นดู
ตอนนั้นเริ่มบ่ายแก่ๆ อากาศเย็นขึ้น มีลมโกรกเข้าเตนท์ แถวๆในเตนท์ก็ไม่มีสัตว์น่ากลัว ไม่มีแมลงแล้ว
ตอนนั้นเรากับเพื่อนมองหน้ากัน รู้สึกเสียดายมากๆ มีความรุ้สึกลังเลอีกครั้งว่า เราจะเอายังไงดี
ใจนึงเราก็หลอนๆบุ้งๆ ตัวมันใหญ่มากกก ใหญ่กว่านิ้งโป้งอีก สีดำ ขนน่ากลัวจริงๆ
แต่อีกใจเราเสียดายบรรยากาศที่เราน่าจะได้รับค่ะ มันคงจะดีมากถ้านอนในเตนท์ดูดาว แล้วค่อยๆหลับไป
แต่สุดท้ายทำไงได้เราดันจองห้องไปแล้ว (แต่ยังไงคิดว่าครั้งหน้าเราต้องลองนอนเตนท์อีกแน่นอน
จะศึกษาอย่างดีไม่ให้พลาดโอกาสแบบครั้งนี้อีกแล้วค่ะ)
หลังจากเข้าที่พักเราก็จัดการอาบน้ำและนอน ยาวมากกกกก จนเย็นเลยค่ะ 5555 แล้วก็ออกไปทานข้าว
ตอนนั้นพระอาทิตย์เริ่มตก ท้องฟ้าตัดกันเป็นเส้น สีสวยมากๆ
ร้านอาหารแถวนั้นส่วนมากจะเป็นพวกส้มดำ อาหารตามสั่งเสียเยอะค่ะ :]
เราเดินไปเรื่อยๆเลยร้านกาแฟไปนะคะ เจอร้านนึงใหญ่ดี โต๊ะไม้ทั้งร้าน เป็นร้านที่เราจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้
เลยตัดสินใจนั่งร้านนั้นค่ะ สั่งอาหารสองสามอย่าง ตามภาพเลยค่ะ (อาหารอร่อยมากกก แต่เราดันจำชื่อร้านไม่ได้)
พอเช้าของอีกวันเราเลือกจะนั่งรถรางชมบรรยากาศอีกรอบ แต่เช้าวันนี้คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกก
เราก็เลยเดินตลาดในอุทยานค่ะ สองข้างทางขายของน่ารักๆเต็มไปหมด
ของฝากน่ารักๆ ผลไม้ท้องถิ่น เยอะมากเลยค่ะ :] ซื้อของเสร็จเราก็เดินทางกลับค่ะ
ประสบการณ์ครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกที่เราเดินทางไปไหนโดยที่ไม่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว
ไปโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก รู้จักกับคำว่ารอ ถึงแม้ว่าหลายๆอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
หลายอย่างที่เรารู้สึกว่าทำไมเหนื่อยจัง ลำบากจัง แต่เป็นครั้งแรกที่เราไม่หงุดหงิดที่จะต้องอดทนเลยค่ะ
บางครั้งเราคงดูเรื่องมาก วุ่นวาย แต่เราก็พยายามเรียนรู้และยินดีที่จะปรับตัว
แม้ว่ามันอาจจะทำได้ไม่ดีนัก แต่สัญญาค่ะว่าคราวหน้าจะทำให้ได้ดีกว่านี้แน่นอน
(ยืนยันกว่าจะนอนเตนท์อีกแน่ๆ 555)
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่านนะค่ะ ที่อ่านเรื่องราวของเราในครั้งนี้
ปีหน้าไปอีกแน่นอนค่ะ :]
(มาแชร์ประสบการณ์ไว้ เผื่อใครอยากไปบ้าง ไปเลยค่ะ แนะนำๆ)
สำหรับใครที่อ่านแล้วรู้สึกกลัวว่าจะไปแล้วลำบาก หรืออะไรก็ตาม อย่างกลัวเลยค่ะ
เพราะธรรมชาติและผู้คนที่นั่นที่คุณจะได้เจอ มันดีมาก มันดีกว่าที่เราเห็นในรูปมากนัก
ทุ่งดอกกระเจียว เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า ไปครั้งนี้จะเหนื่อยและลำบากแค่ไหน
แต่มันก็ "คุ้มค่า" มากจริงๆค่ะ (ลืมเหนื่อยไปเลย)
"ราชินีดอกไม้แห่งฤดูฝน" ชมหมอก ดูดอกกระเจียว ฉบับไม่มีรถ งบเบาๆ (2คน) : by MP
สิ่งมีชีวิตที่เคยหลับใหล ต่างพากับผลิดอกออกใบ แข่งกันรังสรรภาพที่สวยงามมาจรรโลงใจโลกที่โหดร้ายแห่งนี้
เช่นเดียวกับทุ่งดอกกระเจียว สุดยอดแห่งสวรรค์ในวสันตฤดู
หรือที่ใครต่างพากันขนานนามว่าเป็น "ราชินีดอกไม้แห่งป่าฝน"
สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกในการมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวนะคะ
อย่าถือว่าเป็นการรีวิวหรืออะไรเลย แค่เล่าให้ฟังแบบนั้นดีกว่าค่ะ
หากผิดพลาดประการใด ขอทุกท่านได้โปรดให้อภัยค่ะ (เรามาด้วยเจตนาที่ดีจ้า) :]
เมื่อวันหยุดยาวช่วยกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ เรากับเพื่อนสนิทได้มีโอกาสไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จ.ชัยภูมิค่ะ
ครั้งนี้เราและเพื่อนตัดสินใจว่า เราจะลองแบกเป้เที่ยวกันสักครั้งนึง และนี่ก็เป็นครั้งแรกของพวกเราค่ะ ^^
เริ่มต้นเลยเนอะ ..
>> การเดินทางไป <<
เรากับเพื่อนเลือกเดินทางกันด้วยรถทัวร์ ของบริษัทเทียนไชยแอร์ ไปซื้อเองที่หมอชิต 2 ค่ะ เคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ชั้น 3 ช่อง 72 นะคะ
ตอนซื้อให้บอกคนขายตั๋วว่าจะไปชมทุ่งดอกกระเจียว ที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม
พนักงานจะออกตัวให้โดยปลายทางเป็น"สามแยกบ้านไร่ จ.ชัยภูมิ"
รถที่ไปไม่มีให้เลือกมากค่ะ เป็นรถทัวร์ปรับอากาศชั้น 1 เท่านั้น ราคาตั๋วอยู่ที่ 205 บาทต่อท่าน
(มีน้ำเปล่า 1 ขวด ขนมปัง 1 ห่อ และผ้าห่ม)
รอบขาไป>> มีรอบ 12.00 / 16.00 / 23.30 (ถ้าจำไม่ผิด)
รอบขากลับ>> มีรอบเวลาเดียวกัน แต่ต้องบวก 1.45 นาทีถึงจะถึงสามแยกบ้านไร่ นั่นหมายความว่า
ตั๋วกลับจะมีรอบ 13.45 / 17.45 ประมาณนี้ค่ะ ลองสอบถามให้แน่นอนอีกทีนะคะ
เวลาซื้อตั๋ว ให้ซื้อทั้งไปและกลับเลยนะคะ ไม่งั้นไปซื้อที่นู่นจะหาซื้อลำบากค่ะ สนนราคาตั๋วไป-กลับ 410 บาทค่ะ
เรากับเพื่อนเดินทางวันที่ 15 ก.ค. (จองตั๋วล่วงหน้ากันด้วยนะคะ เด่ยวเต็ม)
เรากับเพื่อนเลือกเดินทางวันศ.เย็น รอบ 23.30 (อยากเที่ยวก่อนคนอื่น 1 ก้าวค่ะ ไม่ชอบคนเยอะ ไม่อยากแย่งกันเที่ยว)
เรานัดเจอกันที่อนุสาวรีย์หลังเลิกงาน หาข้าวทานไปพลางๆ ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย ขึ้น BTS ตอน 22.00 เผื่อเวลาแบบไม่เร่งรีบ
เลือกลงสถานีสะพานควายแล้วต่อรถแท็กซี่ไปหมอชิต 2 (หมอชิตใหม่) จากนั้นเดินไปชานชาลาที่ 3 ช่องง 51
ถึงก่อนเวลานิดหน่อยค่ะ พนักงานของที่นี่บริการดีนะคะ สุภาพน่ารัก พอรถออกเราก็หลับ เก็บเกี่ยวพลังงานกันอย่างเต็มที่
ตอนลงมาตกใจนิดหน่อยค่ะ เพราะตรงจุดที่ลงค่อนข้างมืดมาก สองข้างเป็นพงไม้ พอรถออกไปก็เงียบมากกกกกก
เดินไปอีกนิดจะเป็นจุดรอรถ อันนี้สว่างหน่อยค่ะ ตอนแรกเรากับเพื่อนก็อึ้งๆ ว่ามันช่างวิเวก วังเวงแท้ ไร้คน ไร้รถ 5555
สักพักก็มีคนมานั่งรอเพิ่มอีก 2 คนค่ะเลยอุ่นใจนิดนึง 5555 ตอนนั้นมีรถขึ้นอุทยานเรื่อยๆนะคะ แล้วก็มีลุงมาถามว่าจะให้พาขึ้นไปไหม
เราและเพื่อน พร้อมกันพี่อีก 2 คนที่รอรถอยู่เหมือนกัน ก็เลยตกลงไป หารกันคนละ 100 บาทค่ะ
(เพื่อนๆที่ต้องการจะมา ถ้าเป็นหน้าท่องเที่ยว เราคิดว่ามีรถที่รอรับจ้างขึ้นไปอยู่แล้วค่ะ ยิ่งกลางวันจะเยอะค่ะ
มีทั้งมอเตอร์ไซค์พ่วง รถกระบะ หรือจะโบกรถขึ้นไปก็ได้ค่ะ มีรถขึ้นตลอด ราคาขึ้นประมาณ 80-100 บาทต่อคนค่ะ)
ทางขึ้นอุทยานฯไม่ได้น่ากลัวนะคะ ตอนนั้นค่อนข้างดึก มันมืดจนเราเห็นดาวเลยค่ะ อากาศก็เริ่มหนาวเรื่อยๆ
มันเป็นความรู้สึกแรกที่ดีมากๆ หายเหนื่อยหายง่วงเลยค่ะ
พอถึงหน้าอุทยานฯ เรากับเพื่อนจึงเดินไปร้านอาหารตามสั่งแถวนั้น ทางข้าวเติมพลัง
เนื่องจากอุทยานจะเปิดประมาณ ตี 5.30-6.00 น.ค่ะ
และโชคดีมากๆที่ร้านนั้นมีที่สำหรับอาบน้ำค่ะ เรากับเพื่อนจึงจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย
จากนั้นเรากับเพื่อนแบกเป้ขึ้นไป หวังจะเช่าเตนท์ แต่... ที่ทำการอุทยานฯ ยังไม่เปิดค่ะ 5555
ตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าสำนักงานจะเปิดกี่โมง แต่เราไม่ได้รีบไปไหนก็เลยนั่งเล่นเดินเล่นอยู่แถวนั้น
นั่งฟังเพลงสูดอากาศบริสุทธิ์ ถ่ายรูปเล่นบ้าง สุดท้ายเลยงัดเอาเกมส์ scrabble ที่พกมาเล่นค่าเวลา (คนแถวนั้นมองกันใหญ่เลย 5555)
ประมาณ 8.00 น. ที่ทำการฯ ก็เปิดค่ะ (เพิ่งมารู้ภายหลังว่าเปิดทำการเวลา 8.00 - 16.30 น.)
เรากับเพื่อนรีบวิ่งไปจองเตนท์ ต้องใช้บัตรประชาชนด้วยนะคะ จริงๆนักท่องเที่ยวสามารถนำเตนท์มากางเองได้
หรือสำหรับใครที่แบกเป้เที่ยว และไม่เคยนอนเตนท์แบบเรา ทางอุทยานฯก็มีเตนท์ที่กางรอแล้วให้เช่าค่ะ
ค่าเตนท์อยู่ที่ประมาณ 240 บาท / เบาะรองนอนอันละ 20 บาทนอนได้แค่อันละ 1 คนนะคะ /
หมอนอันละ 10 บาท / ถุงนอนอันละ 30 บาท ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัย เพราะหนูจัดเต็มครบชุดทุกอย่างเลยค่ะ
จุดเกางเตนท์ของอุทยานฯจะมี 2 จุดค่ะ คือ
1/บริเวณใกล้ๆกับร้านค้าสวัสดิการ จุดนี้จะเข้าห้องน้ำค่อนข้างสะดวก มีไฟอยู่บ้าง สะดวกสบายค่ะ
2/บริเวณลานต้นไม้ด้านใน จุดนี้จะไม่มีไฟเลยค่ะ มืด ดูดาวคงจะสวยมาก แต่จะไกลห้องน้ำนะคะ
เรากับเพื่อนเลือกข้อ 2 ค่ะ แต่อยากจะแนะนำหากใครที่คิดว่าตัวเองขี้กลัวนิดนึง
ก็ให้เลือกเตนท์ข้อ 1 นะคะ (เหตุผลจะบอกให้ช่วงต่อไปของเรื่องค่ะ)
เมื่อเราจองเตนท์จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะส่งคนไปทำความสะอาด เราจึงยังเข้าเตนท์ไม่ได้
เราได้ทำการฝากของไว้กับเจ้าหน้าที่ + ขอชาร์ตแบต Power Bank ไว้ แล้วก็ขึ้นไปเที่ยวค่ะ
ในการเที่ยวชมอุทยานฯ จะมีรถรางพาเที่ยว และมียุวมัคคุเทศน์ค่อยบรรยาค่ะ ค่ารถรางตกท่านละ 30 บาทค่ะ
อากาศข้างบนดีมาก มากถึงมากที่สุด เย็นสบาย และหมอกบางๆคลุมไปทั่วๆ
อาจจะมีบางจุดที่หมอกหนาจนมองอะไรไม่เห็นก็มีค่ะ
แนะนำว่าขึ้นไปจนสุด จากนั้นเดินเข้าป่าไปชมผาสุดแผ่นดินก่อน แล้วค่อยเดินไปทุ่งดอกกระเจียว
(อยากให้ไปตอนเช้าๆ ตอนที่ยังมีหมอกจะสวยมาก) จากนั้นก็ค่อยไปชมพวกลานหินค่ะ
เราให้ดูรูปบางส่วนเพื่อเรียกน้ำย่อยค่ะ แต่ตรงบรรยากาศที่นั่งรถรางและธรรมชาติที่เราไปเจอ เราจะไม่สปอยมากนะคะ
เอาไว้ให้ไปสัมผัสบรรยากาศเอง จะรู้เลยว่ามันคุ้มค่ามากจริงๆค่ะ
หลังจากเที่ยวชมอุทยานฯเสร็จ เรากับเพื่อนก็กลับมาที่เตนท์ อยากนอนใจจะขาดแล้ววววว
เรากับเพื่อนช่วยกันขนของเข้าเตนท์ และเอาทิชชู่เปียกเช็ดข้าวของทำความสะอาดเองอีกครั้งเพื่อความสบายใจค่ะ :]
ระหว่างที่เรากำลังจัดเรียงข้าวของอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็น ...บุ้งค่ะ สีดำ ใหญ่มาก หลายตัวเลย
เราตกใจมาก (เพราะเราแพ้ขนบุ้ง) เราก็เลยวิ่งไปขอเจ้าหน้าที่เปลี่ยนเตนท์ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ใจดีมากค่ะ
ให้เราไปเลือกเตนท์ที่ต้องการเอาเองเลย คราวนี้เราเลือกจุดที่ 1 ข้างร้านค้าสวัสดิการค่ะ เราสำรวจเตนท์อย่างดี
คราวนี้เราไม่เห็นบุ้งแล้วค่ะ แต่มียุงและแมลงต่างๆแทน แต่เราก็ยังหลอนและกลัวบุ้งไม่หาย
(ขอโทษจริงๆนะคะ เพราะเราไม่เคยนอนเตนท์อ่าาาาา) เราเลยออกไปเดินหาข้าวทานไปพลางๆค่ะ
ตอนนั้นเรากับเพื่อนทั้งง่วงทั้งเหนื่อย มากกกกกก
เราแวะร้านกาแฟชื่อ "All about bean coffee" เป็นร้านน่ารักๆ
ไม่มีแอร์แต่อากาศโปร่งสบาย อาหารและเครื่องดื่มที่นั่นดูดีและอร่อยมากค่ะ ดังภาพ
เรียกได้ว่าร้านที่ช่วยดับความเหนื่อยล้าของเราไปได้ส่วนนึงเลยค่ะ
เรากับเพื่อนนั่งกินไปมา ไม่รู้ตัวว่าฟุบหลังกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตื่นมาเราเลยมานั่งคุยกันว่าเราจะเอายังไงดี มันระแวงเรื่องบุ้งมาเลยค่ะ
จุดที่เราย้ายมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มี บริเวณนั้นก็มีค่ะ แต่แค่มันยังไม่ออกมาหาเรา
อีกอย่างตอนนั้นเพื่อนอีกคนเริ่มมีการท้องเสียค่ะ เราเลยคิดเยอะว่านอนเตนท์และห้องน้ำรวมมันจะสะดวกไหมหนอ
สุดท้ายระหว่างทางเดินกลับเราก็เจอ "ภูคำรุ้ง รีสอร์ท" ห้องพักราคา 1,000 บาท
มีแอร์ มีอาหารเช้า เราคิดว่ามันไม่แพง และคุ้มค่า เจ้าของก็น่ารัก เราเลยตัดสินใจจองห้องพักไว้เลย
แต่พอกลับไปที่เตนท์ หลังจากที่คุณลุงข้างๆ ฉีดยากันแมลงให้แล้ว เราเอาผ้ามาเช็ดๆ แล้วลองนอนเล่นดู
ตอนนั้นเริ่มบ่ายแก่ๆ อากาศเย็นขึ้น มีลมโกรกเข้าเตนท์ แถวๆในเตนท์ก็ไม่มีสัตว์น่ากลัว ไม่มีแมลงแล้ว
ตอนนั้นเรากับเพื่อนมองหน้ากัน รู้สึกเสียดายมากๆ มีความรุ้สึกลังเลอีกครั้งว่า เราจะเอายังไงดี
ใจนึงเราก็หลอนๆบุ้งๆ ตัวมันใหญ่มากกก ใหญ่กว่านิ้งโป้งอีก สีดำ ขนน่ากลัวจริงๆ
แต่อีกใจเราเสียดายบรรยากาศที่เราน่าจะได้รับค่ะ มันคงจะดีมากถ้านอนในเตนท์ดูดาว แล้วค่อยๆหลับไป
แต่สุดท้ายทำไงได้เราดันจองห้องไปแล้ว (แต่ยังไงคิดว่าครั้งหน้าเราต้องลองนอนเตนท์อีกแน่นอน
จะศึกษาอย่างดีไม่ให้พลาดโอกาสแบบครั้งนี้อีกแล้วค่ะ)
หลังจากเข้าที่พักเราก็จัดการอาบน้ำและนอน ยาวมากกกกก จนเย็นเลยค่ะ 5555 แล้วก็ออกไปทานข้าว
ตอนนั้นพระอาทิตย์เริ่มตก ท้องฟ้าตัดกันเป็นเส้น สีสวยมากๆ
ร้านอาหารแถวนั้นส่วนมากจะเป็นพวกส้มดำ อาหารตามสั่งเสียเยอะค่ะ :]
เราเดินไปเรื่อยๆเลยร้านกาแฟไปนะคะ เจอร้านนึงใหญ่ดี โต๊ะไม้ทั้งร้าน เป็นร้านที่เราจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้
เลยตัดสินใจนั่งร้านนั้นค่ะ สั่งอาหารสองสามอย่าง ตามภาพเลยค่ะ (อาหารอร่อยมากกก แต่เราดันจำชื่อร้านไม่ได้)
พอเช้าของอีกวันเราเลือกจะนั่งรถรางชมบรรยากาศอีกรอบ แต่เช้าวันนี้คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกก
เราก็เลยเดินตลาดในอุทยานค่ะ สองข้างทางขายของน่ารักๆเต็มไปหมด
ของฝากน่ารักๆ ผลไม้ท้องถิ่น เยอะมากเลยค่ะ :] ซื้อของเสร็จเราก็เดินทางกลับค่ะ
ไปโดยที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก รู้จักกับคำว่ารอ ถึงแม้ว่าหลายๆอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
หลายอย่างที่เรารู้สึกว่าทำไมเหนื่อยจัง ลำบากจัง แต่เป็นครั้งแรกที่เราไม่หงุดหงิดที่จะต้องอดทนเลยค่ะ
บางครั้งเราคงดูเรื่องมาก วุ่นวาย แต่เราก็พยายามเรียนรู้และยินดีที่จะปรับตัว
แม้ว่ามันอาจจะทำได้ไม่ดีนัก แต่สัญญาค่ะว่าคราวหน้าจะทำให้ได้ดีกว่านี้แน่นอน
(ยืนยันกว่าจะนอนเตนท์อีกแน่ๆ 555)
ปีหน้าไปอีกแน่นอนค่ะ :]
(มาแชร์ประสบการณ์ไว้ เผื่อใครอยากไปบ้าง ไปเลยค่ะ แนะนำๆ)
สำหรับใครที่อ่านแล้วรู้สึกกลัวว่าจะไปแล้วลำบาก หรืออะไรก็ตาม อย่างกลัวเลยค่ะ
เพราะธรรมชาติและผู้คนที่นั่นที่คุณจะได้เจอ มันดีมาก มันดีกว่าที่เราเห็นในรูปมากนัก
ทุ่งดอกกระเจียว เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า ไปครั้งนี้จะเหนื่อยและลำบากแค่ไหน
แต่มันก็ "คุ้มค่า" มากจริงๆค่ะ (ลืมเหนื่อยไปเลย)