ยามสายที่ริมบึงเขาผู้นั้นได้คืนถิ่น ถิ่นที่เคยคุ้น ฉากที่เคยจำได้ กระแสอารมณ์อันแสนเข้มข้นพาให้เขาผู้นั้นสะท้อนความในใจของใครบางคนออกมา ผู้ชายคนนั้นคนที่ใจแกร่งกว่าหินผา คนที่ไร้ความรักไร้ความอาลัยนานา หากเอื้อนเอ่ยคำปลอบประโลมว่า "เห็นใจ" เวลานั้นเธอสะอื้นไห้อกสะท้อนราวกับต้องคลื่นลมหนาวในทะเล เธอตัดสินใจมากนานความเสียใจที่แปรเป็นพลังกราดเกรี้ยวสะสมมานานช้า กลับพังทลายด้วยคำเพียงไม่กี่คำ ที่แท้เธอก็รักเขาถึงเพียงนั้น มือใหญ่เรียวแข็งแรงที่ปาดน้ำตาให้กับเธอ จุมพิตที่หน้าผาก ความนัยที่ว่าอยากดูแลเธอให้ดีกว่านั้น สุดท้าย "เธอ" ก็ได้พบเขา 200 กว่าขวบปีที่รอยคอยจะได้พบ แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวละอองวิญญาณของคนผู้นั้นก็ตามที แต่มันก็เหมือนหยาดน้ำทิพย์ที่ชโลมใจว่า ที่สุดแล้ว "เธอ" ก็ยังอยู่ในห้วงคิดของเขา
จะมากไปหรือไม่หากจะคิดว่าที่แท้เขาก็มีความรักให้กับเธอเช่นกัน
ถึงแม้มันจะไม่อาจกลบฝังความแค้นเคืองให้หมดสิ้นไป ทั้งที่ยังเกลียด แต่ท้ายที่สุด ด้วยอารมณ์ใหม่และความเข้าใจใหม่ที่เกิดขึ้น หรือว่า "ความรัก" ยังอยู่ ณ ที่ตรงนั้น แน่นอนว่าเธอไม่อาจเสียเขาให้ใคร เธอได้สาบานไว้แล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นของเธอ ทั้งเนื้อตัว และ วิญญาณ หากคุณอุบลก็ยังคงคับข้องแล้ว "หัวใจ" เล่า หัวใจของเขาเป็นของเธอด้วยหรือไม่ ไม่ผิดใช่ไหมหากเธอจะ "คิด" เป็นอย่างอื่น จากเหตุการณ์เมื่อริมบึงวันนั้น ก็มิใช่เขาหรือที่มีน้ำตา ก็มิใช่เขาหรือที่เอ่ยวาจาปลอบประโลมเธอ ก็มิใช่เขาอีกหรือที่เกือบจะย้อนห้วงเวลากลับไปเมื่อวันวาน
หากสุดท้ายคุณสโรชินีก็ราวร่วงจากที่สูงสู่หุบเหว
เธอถูกกล่าวหา สายตามที่ทุกคนมองมาระแวงแคลงใจ "แย่งงั้นหรือ" คนที่เป็นเยี่ยงเรานี้หรือคือแย่ง คุณอัคนีไม่จำเป็นต้องตัดสิน เพราะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครคิด ในใจของเธอเมื่อยามมองไปที่เขา เหมือนกับที่คุณเอ่ยกับฉันที่ริมบึงนั่นอย่างไรเล่า .... ฉันเป็นผู้ที่มาก่อน หากคำตอบของเขา ทำให้เหตุการณ์ริมสระน้ำวันนั้นราวหยาดน้ำค้างสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน อารมณ์ที่ก่อตัวเข้มข้นจนทำให้หน้ากากของสตรีนามสโรชินีหลุดร่อน และ ทำให้อัคนีต้องเสียน้ำตาและเอื้อนเอ่ยวาจาที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจ ลืมสิ้นว่าปัจจุบันตัวเคยเป็นใคร กลับมีค่าเพียงคำว่า "เผลอ"
ใช่สินะ ... ไม่ว่าชาติที่แล้ว หรือ เวลานี้ นางรำหลวงเช่นอุบลมิเคยเป็นคนที่ "ใช่" ยามนั้นเขาก็คงเผลอไผลไปขอเธอมา และ ในวันนี้เขาก็คงเผลอไผลใช้เล่ห์ลิ้นลมลวงดังชาติภพที่ผ่านมา ใครจะรู้ถึงความนัยนี้ก็หาไม่ เมื่อคุณสโรชินีเอ่ยปากบอกออกไป "จะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไร้สติเช่นนั้นอีกแล้ว" นี่เธอเผลอไปได้อย่างไรหรือที่คิดว่าเขาคงมีน้ำใจเมตตาปราณีให้กับเธอบ้าง แต่ที่จริงแล้ว "ไม่เลย" ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ตัวของเธอมีค่าแค่เพียงความพลั้งเผลอ เป็นอีกครั้งที่ดวงตาของเธอต้องชื้นไปด้วยน้ำตา จะต้องเจ็บอีกกี่ครั้งหรือจึงจะจำ ...
เจ้าเอยปลูกรัก
แรกปลูกไว้ในอ่างทอง
ทำให้ช้ำรักน้อง
พระทองไม่รู้สงวน
รักของพี่เอย
ทีนี้แลจะแปรปรวน
เจ้าของไม่รู้สงวน
ควรฤามารักน้องเอย
เจ้าเอยปลูกรัก
จะปลูกไว้ในอ่างแก้ว
ต้นรักพี่แล้ว
ปลายไปเร่รักเขาอื่น
จะเด็ดยอดเสีย
แล้วจะรดน้ำให้ชื่น
อย่าให้ไปเร่รักอื่น
ให้คืนมารัก "น้อง" เอย
-- เพลงสระสม (ประชุมมโหรี : 106-107)
นางรำกรายกรอ่อนช้อยนุ่งแดงห่มเขียวตามตำรา "ความรัก" ที่ให้ไป ใครเล่าเป็นเจ้าของ แต่ "พระทอง" กลับไม่รู้สงวนในความรักที่เคยหยิบยื่นให้ ภาพแห่งความหลัง หมากพลูที่จีบเจียน แต่ละคำต้องติดมือคุณอุบลไป เพราะคุณพระท่านไม่เคยคลายมือ ยามหยดแป้งท่านอ่านหนังสือหยอกล้อพะนอกันแค่ไหน เหตุใดมีเพียงคุณอุบลที่จดจำ น้ำตาที่เสียไปมากเท่าใดใครที่ไหนจะจดจำ เพราะมีแต่คุณอุบลเท่านั้นที่ติดตรึงอยู่กับกาลเวลาที่หยุดนิ่ง โลกที่หยุดหมุน กับ ความทรงจำที่ชัดเจน ทรมานแค่ไหน ... ใครจะรู้ได้
หากเพียงแค่ความทรมานจากความรักควาทรงจำยังไม่เพียงพอ สโรชินียังต้องทุกข์กับหน้าที่อันเป็นเกียรติ หน้าที่ที่คนที่อยู่และกระทำเท่านั้นพึงเข้าใจ สายตาคลางแคลงวาจาที่เคลือบด้วยความสงสัย เธอต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้เสมอ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับหน้าที่ที่เธอได้พึงกระทำ ทำให้เธอเป็นสโรชินี ผู้หญิงที่ดูลึกลับ กระด้าง และ ทุกทนเหลือแสนมาจนถึงทุกวันนี้ หากเธอก็ตัดสินใจแน่วแน่หลังจากโลดลอยไปพักหนึ่งว่าใจของเขาสักส่วนเสี้ยวคงมีความปราณี
สุดท้ายมันก็เป็นคำหวานลม ๆ แล้ง ๆ ตามเคย
คำหวานที่เธอหลงเชื่อแล้วสุดท้ายต้องมอบชีวิตรวมทั้งวิญญาณ
กับหน้าที่อันมีเกียรติหากทรมานเหลือแสน
ชั่วกัปกัลป์
กล่าวเกลี้ยงคำหวาน
ล้ำน้ำตาลอันโอชา
อันว่ารศวาจา
ย่อมมาพลาดพลั้งน้ำใจ
รศน้ำตาลอันหวานฉ่ำ
จะเปรียบด้วยน้ำคำก็ไม่ได้
อารมณ์ก็ล่มอาไลย
ที่ในถ้อยคำหวานเอย
กล่าวเกลี้ยงคำหวาน
เจ้านงคราญผู้แนบเนื้อ
หวานแต่ปากน้องไม่อยากเชื่อ
คิดเฉลือคำชายเมื่อปลายมือ
แล้วจะกลายเป็นเปรี้ยวเฉลียวใจ
ว่าไว้นั้นยังกะไรฤๅ
แล้วหวานจะจืดอยู่ชืดชื้อ
น้องจะถามหารือเจ้าเอย
-- ร้องคำหวาน บทประชุมมโหรี 116
พิษสวาท (กึ่งวิพากษ์) : ชีวิตของ "สโรชินี"
ถึงแม้มันจะไม่อาจกลบฝังความแค้นเคืองให้หมดสิ้นไป ทั้งที่ยังเกลียด แต่ท้ายที่สุด ด้วยอารมณ์ใหม่และความเข้าใจใหม่ที่เกิดขึ้น หรือว่า "ความรัก" ยังอยู่ ณ ที่ตรงนั้น แน่นอนว่าเธอไม่อาจเสียเขาให้ใคร เธอได้สาบานไว้แล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นของเธอ ทั้งเนื้อตัว และ วิญญาณ หากคุณอุบลก็ยังคงคับข้องแล้ว "หัวใจ" เล่า หัวใจของเขาเป็นของเธอด้วยหรือไม่ ไม่ผิดใช่ไหมหากเธอจะ "คิด" เป็นอย่างอื่น จากเหตุการณ์เมื่อริมบึงวันนั้น ก็มิใช่เขาหรือที่มีน้ำตา ก็มิใช่เขาหรือที่เอ่ยวาจาปลอบประโลมเธอ ก็มิใช่เขาอีกหรือที่เกือบจะย้อนห้วงเวลากลับไปเมื่อวันวาน
เธอถูกกล่าวหา สายตามที่ทุกคนมองมาระแวงแคลงใจ "แย่งงั้นหรือ" คนที่เป็นเยี่ยงเรานี้หรือคือแย่ง คุณอัคนีไม่จำเป็นต้องตัดสิน เพราะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครคิด ในใจของเธอเมื่อยามมองไปที่เขา เหมือนกับที่คุณเอ่ยกับฉันที่ริมบึงนั่นอย่างไรเล่า .... ฉันเป็นผู้ที่มาก่อน หากคำตอบของเขา ทำให้เหตุการณ์ริมสระน้ำวันนั้นราวหยาดน้ำค้างสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน อารมณ์ที่ก่อตัวเข้มข้นจนทำให้หน้ากากของสตรีนามสโรชินีหลุดร่อน และ ทำให้อัคนีต้องเสียน้ำตาและเอื้อนเอ่ยวาจาที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจ ลืมสิ้นว่าปัจจุบันตัวเคยเป็นใคร กลับมีค่าเพียงคำว่า "เผลอ"
ใช่สินะ ... ไม่ว่าชาติที่แล้ว หรือ เวลานี้ นางรำหลวงเช่นอุบลมิเคยเป็นคนที่ "ใช่" ยามนั้นเขาก็คงเผลอไผลไปขอเธอมา และ ในวันนี้เขาก็คงเผลอไผลใช้เล่ห์ลิ้นลมลวงดังชาติภพที่ผ่านมา ใครจะรู้ถึงความนัยนี้ก็หาไม่ เมื่อคุณสโรชินีเอ่ยปากบอกออกไป "จะไม่ปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไร้สติเช่นนั้นอีกแล้ว" นี่เธอเผลอไปได้อย่างไรหรือที่คิดว่าเขาคงมีน้ำใจเมตตาปราณีให้กับเธอบ้าง แต่ที่จริงแล้ว "ไม่เลย" ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ตัวของเธอมีค่าแค่เพียงความพลั้งเผลอ เป็นอีกครั้งที่ดวงตาของเธอต้องชื้นไปด้วยน้ำตา จะต้องเจ็บอีกกี่ครั้งหรือจึงจะจำ ...
แรกปลูกไว้ในอ่างทอง
ทำให้ช้ำรักน้อง
พระทองไม่รู้สงวน
รักของพี่เอย
ทีนี้แลจะแปรปรวน
เจ้าของไม่รู้สงวน
ควรฤามารักน้องเอย
เจ้าเอยปลูกรัก
จะปลูกไว้ในอ่างแก้ว
ต้นรักพี่แล้ว
ปลายไปเร่รักเขาอื่น
จะเด็ดยอดเสีย
แล้วจะรดน้ำให้ชื่น
อย่าให้ไปเร่รักอื่น
ให้คืนมารัก "น้อง" เอย
-- เพลงสระสม (ประชุมมโหรี : 106-107)
นางรำกรายกรอ่อนช้อยนุ่งแดงห่มเขียวตามตำรา "ความรัก" ที่ให้ไป ใครเล่าเป็นเจ้าของ แต่ "พระทอง" กลับไม่รู้สงวนในความรักที่เคยหยิบยื่นให้ ภาพแห่งความหลัง หมากพลูที่จีบเจียน แต่ละคำต้องติดมือคุณอุบลไป เพราะคุณพระท่านไม่เคยคลายมือ ยามหยดแป้งท่านอ่านหนังสือหยอกล้อพะนอกันแค่ไหน เหตุใดมีเพียงคุณอุบลที่จดจำ น้ำตาที่เสียไปมากเท่าใดใครที่ไหนจะจดจำ เพราะมีแต่คุณอุบลเท่านั้นที่ติดตรึงอยู่กับกาลเวลาที่หยุดนิ่ง โลกที่หยุดหมุน กับ ความทรงจำที่ชัดเจน ทรมานแค่ไหน ... ใครจะรู้ได้
หากเพียงแค่ความทรมานจากความรักควาทรงจำยังไม่เพียงพอ สโรชินียังต้องทุกข์กับหน้าที่อันเป็นเกียรติ หน้าที่ที่คนที่อยู่และกระทำเท่านั้นพึงเข้าใจ สายตาคลางแคลงวาจาที่เคลือบด้วยความสงสัย เธอต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้เสมอ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับหน้าที่ที่เธอได้พึงกระทำ ทำให้เธอเป็นสโรชินี ผู้หญิงที่ดูลึกลับ กระด้าง และ ทุกทนเหลือแสนมาจนถึงทุกวันนี้ หากเธอก็ตัดสินใจแน่วแน่หลังจากโลดลอยไปพักหนึ่งว่าใจของเขาสักส่วนเสี้ยวคงมีความปราณี
คำหวานที่เธอหลงเชื่อแล้วสุดท้ายต้องมอบชีวิตรวมทั้งวิญญาณ
กับหน้าที่อันมีเกียรติหากทรมานเหลือแสน
ชั่วกัปกัลป์
ล้ำน้ำตาลอันโอชา
อันว่ารศวาจา
ย่อมมาพลาดพลั้งน้ำใจ
รศน้ำตาลอันหวานฉ่ำ
จะเปรียบด้วยน้ำคำก็ไม่ได้
อารมณ์ก็ล่มอาไลย
ที่ในถ้อยคำหวานเอย
กล่าวเกลี้ยงคำหวาน
เจ้านงคราญผู้แนบเนื้อ
หวานแต่ปากน้องไม่อยากเชื่อ
คิดเฉลือคำชายเมื่อปลายมือ
แล้วจะกลายเป็นเปรี้ยวเฉลียวใจ
ว่าไว้นั้นยังกะไรฤๅ
แล้วหวานจะจืดอยู่ชืดชื้อ
น้องจะถามหารือเจ้าเอย
-- ร้องคำหวาน บทประชุมมโหรี 116