พิษสวาท (กึ่งวิพากษ์) : "คืนเรือน"

สไบนางบางพลิ้วปลิวตามลม
แสดสีส้มขับผิวงามหนักหนา
อรชรอ้อนแอ้นจับนัยย์ตา
ใต้ร่มเงาไม้ป่าเขียวขจี

สะพายแล่งสร้อยทองดูเฉิดฉัน
งามครบครันลออองค์เจ้าส่งศรี
จะหาใดเทียบเล่าในภพตรี
ดังนารีนามอุบลโฉมยงค์เอย


"ขอต้อนรับขุนศึก .... สู่เหย้า" ความนัยแห่งถ้อยคำนั้นหากจะมีผู้ใดเข้าใจ คงจะมีแต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ประตูที่เปิดกว้างรอรับ บึงบัวสระใหญ่ และ สตรีงามสง่าห่มสไบเฉียงเฉิดฉันคนที่ "เขา" เอ่ยนามเธอว่า "อุบล" ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและอ่อนหวานเหลือแสน หากเพียงชั่วพริบตาอัคนีก็กลับคืนสู่ปัจจุบัน ในตอนนี้ผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าเขาคือ "คุณสโรชินี" แต่สิ่งที่เขาสลัดไม่หลุดคือความรู้สึกที่ว่า "ตนเอง" ได้ "คืนเรือน" ในวาระนี้ ไม่ว่าจะมองที่ใดก็เห็นเงาซ้อนทับจากอดีต ทั้ง "นั่น นี่ ซี้ซิกสัพยอก" ทั้ง "ไม้ดอกชื่นชื่นรื่นนาสา" ทุกอย่างบนเรือนหลังนี้ แม้จะลึกลับ หรือ พิศวงเพียงใด แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามีส่วนเสี้ยวของความ "ชื่นใจ" แฝงอยู่ ณ ที่นั้น ในน้ำเย็นชื่น ... เหมือนเช่นวันนั้นที่เคยรับขันน้ำจากมือใครคนหนึ่ง ในปลาแห้งแตงโม ... ของกินเล่นโบราณซึ่งคงเป็นของโปรดที่เธอผู้นั้นนำมาย้อนอดีต

แล้วก็เช่นกันไม่ว่ายามใด จะแค้นเพียงไหน ความรักก็คงเพิ่มพูนขึ้นมาพร้อมกัน สำรับอาหารว่างที่จัดวันนี้ จึงเป็นของโปรดของคุณพระ ที่คงไม่ได้รับมาเป็นเวลานาน สายตาของเธออ่อนลงเมื่อนึกถึงอดีตอันไกลโพ้น แวบหนึ่งเหมือนกันที่เธอวาง "ความเป็นสโรชินี" ลง และ กลายเป็นสตรีสาวรุ่นนางรำหลวงที่เพิ่งออกเรือน ทำหน้าที่ปรนนิบัตรสามีอย่างเต็มอกเต็มใจ เช่นเดียวกัน .... อัคนีได้ย้อนกลับไปในเวลาที่รื่นรมย์ เรือนที่ร้างลามานาน ความรู้สึกที่โหยหาอะไรบางอย่าง ได้รับการเติมเต็มจากผลไม้สลักที่วางอยู่ด้านหน้า สายตาที่บ่งให้รู้ว่าพอใจ กริยาที่ไม่เคยปฏิบัติกับใครคนไหนแม้แต่คู่หมั้น ราวกับเป็นภาษาที่ทั้งคู่ "รู้กัน" แค่เพียงสองคน

หากก็ไม่ใช่ความทรงจำ และ ตัวของ "อัคนี" เท่านั้นดอกที่ "คืนเรือน" ตัวตนในวาระแห่งกาลก่อนก็ "คืนเรือน" เช่นเดียวกัน ความแข็งกร้าวกราดเกรี้ยวแบบที่อัคนีไม่เคยเป็นได้กลับคืนมาเป็นเจ้าเรือนทีละน้อย คำหวานที่เรียกชื่ออุบล คำสั่งที่รัวถามเอากับจัน จนถึงน้ำเสียงเข้มดุเมื่อยามถามสโรชินีว่า "คัมภีร์" บนหลังตู่นั้นหายไปอยู่ที่ใด ตัวตนที่ทิพอาภาไม่เคยได้รู้จัก แต่คุณอุบลคุ้นชินเป็นอย่างดีได้เผยโฉม ทั้งที่ความทรงจำเหมือนภาพยนตร์ที่ขาด ๆ หาย ๆ แต่บุคคลิกและความเป็นพระอรรคราชบดินทร์หวนคืนมา และ มันค่อย ๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

การคืนเรือนในวันนี้ไม่เพียงแต่ "ทวงถามความทรงจำและกระตุ้นเตือนความรับผิดชอบ" แต่เป็นการ "คืน" บางสิ่งกลับไป ของที่เคยได้รับก็ควรกลับคืนไป เพราะมันถูกทำลายยับเยิน สายใยฉันมิตรความไว้วางใจดุจพี่น้องและญาติสนิทสำหรับทิพอาภาย่อมสิ้นสุดในวาระนี้ เช่นเดียวกับสายใยแห่งความรักที่ควรจะสะบั้นให้ขาด แต่แล้วเมื่อเสียงขับ "ลำนำ" นั้นดังขึ้นมา ความตั้งใจที่จะตัดขาดนั้นกลับหายไป กลายเป็นคำตัดพ้อ ลืมแล้วหรือไร ใครกันเทียบพักตร์ของอุบลคนนี้ว่างามกว่าจันทรา ความขื่นขมระทมใจพลุ่งขึ้นแน่นที่อกของคุณสโรชินี จนระบายออกมาเป็นถ้อยคำ

และเวลานั้นเช่นกันที่ความเป็น "พระอรรค" ได้กลับมายึดครองหัวใจและสมองของอัคนีอีกครั้ง คำถามที่แข็งกร้าว ที่ทำให้อุบลรู้สึกราวผู้เป็นสามีได้มายืนอยู่ตรงหน้า คำถามที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นคำสั่ง สายตาที่ดุดัน และ เจ้าตัวที่พร้อมก้าวเข้ามาราวจะดึงลำแขนเรียวระหงมาเขย่าเสียให้หัวสั่นหัวคลอน "เจ้า ... " อัคนีหยุดเพียงเท่านี้ แต่สโรชินีรู้ดีทีเดียว หากเชษฐาไม่ห้ามจะเกิดอะไรขึ้น ในความสาสมใจที่เขามีอารมณ์และแสดงความเป็นพระอรรค ก็ช้ำใจเหลือแสนที่เขาก็ยังคงเป็นเขาที่ไม่ถนอมซึ่งน้ำใจเมียอย่างหล่อน เขาที่ไม่เคยคิด หรือ จดจำได้เลยว่าเคยทำเธอเจ็บแค่ไหน และ อย่างไร น้ำเสียงที่มีอำนาจเหนือบีบคั้นและข่มขู่ราวสิ่งที่เธอทำนั้น "ผิด" มาตลอด และ "ผิด" ทุกอย่าง

ความโศกรันทดยังคงตามติดเธอมาเมื่อเธอจำเป็นต้องละจากเขาเพื่อทำหน้าที่ หน้าที่ที่เธอได้รับยัดเยียดจนเป็นเหตุให้เธอทวงถามความยุติธรรมจากเขาแม้จะต้องขุดอดีตขึ้นมาทำร้ายตัวเอง เอือมระอาที่ต้องต้องเข่นฆ่า สังเวชใจในวัตรปฏิบัติของผู้ที่เต็มไปด้วยความโลภ แต่แม้จะร้องขอชีวิตซักเท่าใด เธอผู้ทำหน้าที่ก็ไม่อาจมีความปราณี บัดนี้เธอชักนำเขากลับมาได้ บัดนี้ความเป็นพระอรรคได้กลับมาเช่นกัน อีกไม่นานแล้วกระมัง "การคืนเรือน" ครั้งสุดท้ายจะได้ตัดสินเสียที

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่