หลังจากรีวิวกิจกรรมลากแม่เที่ยวญี่ปุ่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ME,MOM AND JAPAN เมื่อลูกสาวพาแม่ลุยญี่ปุ่น >>> http://goo.gl/WuqLhc) คราวนี้ก็ถึงเกาหลี แดนกิมจิกันบ้าง ส่วนตัวเราเป็นคนค่อนข้างติ่งเกาหลีนิดนึง (สาบานได้ว่านิดเดียวจริงจริ๊ง #เสียงสูง) แต่คราวนี้มีบิดา มารดรมาด้วย ต้องพักต่อมบ้าเกาหลีไว้ชั่วคราว เพราะจะพาพ่อกับแม่ไปติ่งด้วยก็กระไรอยู่
จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้คือ ไป Double Date กับเพื่อนสาวคนสนิท แต่ไปไงมาไงกลายเป็น Triple Date ไปได้ เพราะมีพ่อกับแม่เรามาด้วย (ลูกสาวน่ารักน่าหวงก็งี้) เราก็ไม่ขัดศรัทธา เป็นการไปเที่ยวที่ แทบไม่ได้มีการเตรียมตัวใดๆ เพราะก่อนไปเรายุ่งมาก ได้แต่จองโรงแรม กับตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าไว้ พง แพลนอะไรไม่มี มีแค่ Landmark สำคัญๆ กับร้านบางร้านที่อยากไปกินไว้บ้าง การเดินทางกะว่าอาศัยคุณ Google Map เหมือนที่ญี่ปุ่น (และนั่นคือจุดเริ่มต้นความบรรลัยของทริปนี้) ส่วนคุณเพื่อนสาว เป็นคนละสาย นางสาย Fashion Shopping ก็เลยแยกกันเที่ยว แต่พักที่เดียวกัน ประหยัดค่าโรงแรม ไปครั้งนี้ เป็นทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ถือว่าพาพ่อแม่เปลี่ยนบรรยากาศแล้วกัน
ตั๋วเครื่องบินครั้งนี้เราบิน Air Asia มีโปรอยู่ ตกคนละ 8,000 ได้ ไม่รวมโหลดกระเป๋า และ Service อื่นๆ ไม่แพง แต่ก็ไม่ได้ถูกที่สุด ส่วนโรงแรมต้องปรบมือให้คุณแฟนที่หาที่พักดีๆได้ โจทย์คือ “ใกล้รถไฟฟ้า” ก็นั่งหากันทั้ง agoda booking.com Airbnb ตอนแรกจะได้ที่ Airbnb เป็นบ้านโบราณ อยู่ใน Hanok Village เลย แต่ตัดสินใจกันช้ากดจองไม่ทัน ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศการนอนบ้านโบราณของเกาหลีลองเข้าไปดู Airbnb ได้เลยนะ มีให้เลือกเยอะมาก แต่สุดท้ายเราได้ที่ Myengdong New Oriental Hotel อยู่ฝั่งตรงข้ามตลาด Myengdon เลย ติดรถไฟฟ้าใต้ดิน สะดวก สุดๆ
วันที่ 1 เร่ร่อนตะลอน Seoul
เราออกจากกรุงเทพฯ สนามบินดอนเมืองกลางคืน ถึงอินชอนเช้า ถึงสนามบินอันดับแรกก็หา Pocket-Wifi ก่อนเลย ตอนไปญี่ปุ่นเราใช้ของ Samurai Wifi แต่คราวนี้เราเทียบราคาและหลายๆอย่างแล้ว ตัดสินใจลองใช้ของ LG U+ ออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า จะอยู่เยื้องๆขวามือ ก็บอกเขาได้เลยว่าอยู่กี่วัน ส่วนเพื่อนเราซื้อซิมเอา ส่วนหนึ่งที่เราตัดสินใจใช้ Pocket Wifi เพราะใช้ทีเดียวหลายคน อาจจะต้องมีภาระแบกก้อน Wifi หน่อย แต่ก็โอเคเพราะเที่ยวนี้ไม่ต้องแบกเอง มีคนแบกให้ =w= ทั้งหมด 25,000 Won
ฝั่งตรงข้ามมีร้านสะดวกซื้อ สามารถซื้อบัตรรถไฟฟ้าแบบเติมเงินจากที่นี่ได้เลย ได้บัตรลาย Brown&Cony ในชุดฮันบก
เตรียมตัวเสร็จก็นั่งรถยาวเข้าเมือง เอาของไปเก็บที่พัก จองไปสามห้อง เรานอนกับเพื่อน แฟนเพื่อนนอนกะแฟนเรา พ่อกะแม่นอนด้วยกัน แต่ห้องไม่ได้ชั้นเดียวกัน เราได้ห้องแบบ ชั้น 4 5 6 ตำแหน่งเดียวกันแต่คนละชั้น เก็บของเสร็จก็ถึงคราวแยกย้าย เพื่อนสาวก็ไปตามทางของเธอและคุณแฟน ส่วนเราก็ถึงคราวลากพ่อกับแม่เที่ยวฮึบๆ
อ้อ! เกือบลืมปลั๊กบ้านเขาไม่เหมือนบ้านเรา เตรียมหัวปลั๊กไปด้วย ถ้าเที่ยวบ่อยก็ ซื้อไว้ไม่เสียหาย ปีนี้เราเดินทางเยอะทั้งงานทั้งเที่ยว เลยตัดสินใจซื้อ 450 บาท ใช้ได้ยาวๆเลย
เราเริ่มจากหาอะไรใส่ท้องเพราะจะเที่ยงแล้วยังไม่ได้กินอะไร ตอนแรกกะจะไปกินไก่ตุ๋โสมแถววังเคียงบก แต่ไม่ไหว หิวจัดเลยเดินข้ามฝั่งกันมาตลาดเมียงดง
ร้านนี้อยู่ในซอยหลืบๆมีคุณลุงใส่ชุดโบราณยืนเรียกลูกค้าอยู่ปากซอย ด้วยความหิวรีวงรีวิวไม่ต้องดู เดินเข้าไปเสี่ยงดูเลยแล้วกัน
ร้านชื่อ
Central Court Restaurant ดูเป็นร้านบ้านๆ ไม่ได้หะรูหะราอะไรมากมาย นั่งสั่งอาหารเสร็จ เครื่องเคียงก็ถูกยกมาวางเป็นเซ็ต ทั้งกิมจิ ผักดองอื่นๆ เห็ด และอะไรที่เราระบุสัญชาติไม่ได้ น่าจะหมึกหรือไข่ปลานี่แหละ = =“
บิบิมบับ (Bibimbap) ของแม่กับคุณแฟน มาพร้อมซุปถั่วงอก หน้าตาผักบ้านเขาดูดีมากกกกก ถั่วงอกบ้านเขาก็ไม่ได้เป็นถั่วเขียว แต่เป็นถั่วเลือก ใหญ่มาก และไม่มีกลิ่นของถั่วงอกเลย
เน็งมยอน (Naengmyeon) หรือหมี่เย็นของพ่อ มาพร้อมกับโคชูจังและซุปเย็น เวลายกมาเสิร์ฟ อาจุมม่า (Ajumma) หรือคุณป้าเขาจะถามว่าให้ตัดเส้นหมี่ไหม เพระาหมี่บ้านเขาเหมือนเป็นเส้นยาวๆ รวบมาทั้งก้อนใหญ่ๆ ไม่ได้ตัดมา ถ้าไม่ตัดจะกินยากนิดนึง ซึ่งพ่อเราไม่ตัดจ้า! และพ่อเรานึกว่าโคชูจังไม่เผ็ดมาก ก็ใส่ไปเต็มที่ สรุปกินได้ครึ่งชาม ทีเหลือทั้งอิ่มทั้งเผ็ดกินไม่ไหว
เทนจังจิเก (Doenjang jjigae) หรือ ซุปเต้าเจี้ยว เสิร์ฟเป็นชุดกับข้าวสวยร้อนๆ ของเราเอง ข้าวเขาจะคล้ายๆกับข้าวญี่ปุ่น แต่เขาจะหุงแฉะกว่านิดหน่อย ไม่มากนะ แค่นิดหน่อย ช่วงที่เราไปอากาศยังเย็นๆอยู่ พอได้ซดซุปร้อนๆเข้าไปนี่ สดชื่นสุดๆไปเลย
หลังจากอิ่มท้องแล้วอย่างที่บอกมาครั้งนี้ไร้ซึ่งแพลนใดๆทั้งสิ้น ก็เลยตัดสินใจเดินกันแถวตลาดเมียงดง เข้าซฮยนู้นออกซฮยนี้ จนเจอ Line Shop คนไม่เยอะมาก แต่ของเราว่าที่ญี่ปุ่นมีให้เลือกเยอะกว่า ด้วยความหวังน้ำบ่อหน้า เลยไม่ได้ซื้ออะไร เดินดูๆเล่นๆ แล้วรอไป Shop สาขาใหญ่ที่ Gangnum แทน
เดินเจอไดฟุกุกับสตอเบอร์รี่หน้าตาดีเลยซื้อมากิน แล้วไปแช่ตู้เก็บไว้กินที่โรงแรม
Design Space แหล่งเสียเงินชั้นเยี่ยมสำหรับขาแฟชั่น ขนาดเราไม่ใช่ยังเสียตังค์เลย เสื้อผ้า มีครบทุกสไตล์ ทั้งหญิงชาย หวานๆไปจนถึงฮิปฮอพเท่ห์ๆ
ในเมียงดงจะมีร้านทั้ง Shop แบรนใหญ่ แบรนเล็ก เครื่องสำอางอย่างเยอะ ทั้ง innisfree etude holika holika Skin Food อารมณ์เซเว่นบ้านเราที่ตั้งห่างกันไม่ถึงสองช่วงตึก แถมลดราคากระหน่ำ Summer sale มาก รู้สึกเหมือนคอยดักตีหัวเข้าร้านให้เสียทรัพย์ตลอดเวลา แต่สุดท้ายคนที่เสียตังค์คือคุณแฟน ได้รองเท้า Onitsuka มา 1 คู่ สนน เป็นราคาไทย 3,900 บาท (กลับมาดูราคาที่ไทย คู่นี้ 4,900 บาท โอเค ถือว่า Shop อย่ามีสติใช้ได้)
เดินไปเดินมา พ่อมีอาการเพลียจากการนั่งเครื่อง เลยแวะหาร้านนั่ง แต่ร้านนู้นคนก็เยอะร้านนี้คนก็มากมาย จำได้รางๆว่า แถวนี้มีคาเฟ่สุนัข เลยเสิร์จหา แล้วเดินจนเจอ
เป็นคาเฟ่เล็กๆอยู่ชั้นสี่ของตึก มีสุนัขพันธุ์ละตัว บางพันธุ์มีสองตัว มีสามตัวที่เขาไม่ให้จับ เขาบอกว่ามันดุจะงับมือ คาเฟ่สุนัขที่นี่แม้จะดูเก่าหน่อย แต่ดูเขาดูแลดี ไม่ให้อุ้มสุนัข แต่จะแจกผ้าขนหนูคนละผืน ถ้าอยากเล่นกับสุนัขให้นั่งพื้น แล้วปูผ้าขนหนูไว้บนตัก สุนัขเขาจะเข้ามาดมๆ แล้วนอนบนตักเราเอง
อย่างเจ้าตัวนี้ แฟนเราเป็นคนกลัวสุนัขเบาๆ เพราะเคยโดนกัน นางก็กล้าๆกลัวๆนั่งห่างออกมาจากดงสุนัขนิดหน่อย แล้วอิเจ้านี่ก็มาดมๆนั่งแพละ แล้วหลับ หลับไปเลย หลับนาน นานมาก ไม่ลุก ไม่ขยับใดๆทั้งสิ้น
ตัวนี้มาอยู่บนตักแม่เรา ระหว่างนั้นชิสุนางหนึ่งก็มานั่งสวยๆบนตักเรา พร้อมกับอปป้าเดินเข้ามามัดจุกให้มัน พร้อมสนทนากับเรานิดหน่อย คือ อปป้าที่นี่งานดีค่ะ >\\\< แต่ออกอาการมากไม่ได้คุณแฟนอยู่ข้างๆ อิอิ
สองตัวนี้นี่นางนอน ไม่สนใจใคร ชิล เช่นเดียวกับพ่ออิฉันที่นั่งกินกาแฟ พักขา ชิล ดูไอ่ตัวขาวนี้นอน เกาหัวให้มันไปสบายๆ แต่สำหรับเครื่องดื่ม ก็นะ = =“ ถ้าไม่คิดมากก็พอแหลกล่ายแหละ
เสร็จจากคาเฟ่น้องหมา พ่อยังไม่หายเพลียเลยแวะกลับเข้าโรงแรมให้เขานอนพัก ระหว่างพ่อนอนพัก เราก็หาที่กิน กับที่เที่ยวช่วงเย็นกลางคืน ตกลงปลงใจไป Dongdaemun โดยเราจะขึ้นไป Heunginjimun Gate ก่อนเดินย้อนมา Cheonggyechon (청계천) หรือคลองชองเกชอน จนถึง Dongdaemun Design Plaza เพื่อดู LED Rose Garden
เราไปถึง Heunginjimun Gate ช่วงเย็นๆ พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าดี ใน Seoul จะมีประตูเมืองตามทิศต่างๆอยู่ถึง 8 ประตูด้วยกัน Heunginjimun Gate เป็นประตูเมืองเก่าที่ได้รับเลือกให้เป็นสมบัติแห่งยเลข 1 (Korea's National Treasure No. 1.) สร้างตั้งแต่ 1398 สมัยโชซอน จะมีกำแพงล้อมเป็นวงกลมกั้นไว้อีกชั้น เพราะข้อเสียเปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ต่ำกว่านั่นเอง
ปัจจุบัน Heunginjimun Gate ถูกทลายกำแพงเมืองบางส่วนลง เพื่อนำไปพัฒนาเป็นอาคารบ้านเรือน กลายเป็นโบราณสถานท่ามกลางตึกสูง ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม
[CR] Seoul High - เข็นป๊าม๊า ขึ้นภูเขาแดนกิมจิ
หลังจากรีวิวกิจกรรมลากแม่เที่ยวญี่ปุ่น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ คราวนี้ก็ถึงเกาหลี แดนกิมจิกันบ้าง ส่วนตัวเราเป็นคนค่อนข้างติ่งเกาหลีนิดนึง (สาบานได้ว่านิดเดียวจริงจริ๊ง #เสียงสูง) แต่คราวนี้มีบิดา มารดรมาด้วย ต้องพักต่อมบ้าเกาหลีไว้ชั่วคราว เพราะจะพาพ่อกับแม่ไปติ่งด้วยก็กระไรอยู่
จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้คือ ไป Double Date กับเพื่อนสาวคนสนิท แต่ไปไงมาไงกลายเป็น Triple Date ไปได้ เพราะมีพ่อกับแม่เรามาด้วย (ลูกสาวน่ารักน่าหวงก็งี้) เราก็ไม่ขัดศรัทธา เป็นการไปเที่ยวที่ แทบไม่ได้มีการเตรียมตัวใดๆ เพราะก่อนไปเรายุ่งมาก ได้แต่จองโรงแรม กับตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าไว้ พง แพลนอะไรไม่มี มีแค่ Landmark สำคัญๆ กับร้านบางร้านที่อยากไปกินไว้บ้าง การเดินทางกะว่าอาศัยคุณ Google Map เหมือนที่ญี่ปุ่น (และนั่นคือจุดเริ่มต้นความบรรลัยของทริปนี้) ส่วนคุณเพื่อนสาว เป็นคนละสาย นางสาย Fashion Shopping ก็เลยแยกกันเที่ยว แต่พักที่เดียวกัน ประหยัดค่าโรงแรม ไปครั้งนี้ เป็นทริปสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ถือว่าพาพ่อแม่เปลี่ยนบรรยากาศแล้วกัน
ตั๋วเครื่องบินครั้งนี้เราบิน Air Asia มีโปรอยู่ ตกคนละ 8,000 ได้ ไม่รวมโหลดกระเป๋า และ Service อื่นๆ ไม่แพง แต่ก็ไม่ได้ถูกที่สุด ส่วนโรงแรมต้องปรบมือให้คุณแฟนที่หาที่พักดีๆได้ โจทย์คือ “ใกล้รถไฟฟ้า” ก็นั่งหากันทั้ง agoda booking.com Airbnb ตอนแรกจะได้ที่ Airbnb เป็นบ้านโบราณ อยู่ใน Hanok Village เลย แต่ตัดสินใจกันช้ากดจองไม่ทัน ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศการนอนบ้านโบราณของเกาหลีลองเข้าไปดู Airbnb ได้เลยนะ มีให้เลือกเยอะมาก แต่สุดท้ายเราได้ที่ Myengdong New Oriental Hotel อยู่ฝั่งตรงข้ามตลาด Myengdon เลย ติดรถไฟฟ้าใต้ดิน สะดวก สุดๆ
วันที่ 1 เร่ร่อนตะลอน Seoul
เราออกจากกรุงเทพฯ สนามบินดอนเมืองกลางคืน ถึงอินชอนเช้า ถึงสนามบินอันดับแรกก็หา Pocket-Wifi ก่อนเลย ตอนไปญี่ปุ่นเราใช้ของ Samurai Wifi แต่คราวนี้เราเทียบราคาและหลายๆอย่างแล้ว ตัดสินใจลองใช้ของ LG U+ ออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า จะอยู่เยื้องๆขวามือ ก็บอกเขาได้เลยว่าอยู่กี่วัน ส่วนเพื่อนเราซื้อซิมเอา ส่วนหนึ่งที่เราตัดสินใจใช้ Pocket Wifi เพราะใช้ทีเดียวหลายคน อาจจะต้องมีภาระแบกก้อน Wifi หน่อย แต่ก็โอเคเพราะเที่ยวนี้ไม่ต้องแบกเอง มีคนแบกให้ =w= ทั้งหมด 25,000 Won
ฝั่งตรงข้ามมีร้านสะดวกซื้อ สามารถซื้อบัตรรถไฟฟ้าแบบเติมเงินจากที่นี่ได้เลย ได้บัตรลาย Brown&Cony ในชุดฮันบก
เตรียมตัวเสร็จก็นั่งรถยาวเข้าเมือง เอาของไปเก็บที่พัก จองไปสามห้อง เรานอนกับเพื่อน แฟนเพื่อนนอนกะแฟนเรา พ่อกะแม่นอนด้วยกัน แต่ห้องไม่ได้ชั้นเดียวกัน เราได้ห้องแบบ ชั้น 4 5 6 ตำแหน่งเดียวกันแต่คนละชั้น เก็บของเสร็จก็ถึงคราวแยกย้าย เพื่อนสาวก็ไปตามทางของเธอและคุณแฟน ส่วนเราก็ถึงคราวลากพ่อกับแม่เที่ยวฮึบๆ
อ้อ! เกือบลืมปลั๊กบ้านเขาไม่เหมือนบ้านเรา เตรียมหัวปลั๊กไปด้วย ถ้าเที่ยวบ่อยก็ ซื้อไว้ไม่เสียหาย ปีนี้เราเดินทางเยอะทั้งงานทั้งเที่ยว เลยตัดสินใจซื้อ 450 บาท ใช้ได้ยาวๆเลย
เราเริ่มจากหาอะไรใส่ท้องเพราะจะเที่ยงแล้วยังไม่ได้กินอะไร ตอนแรกกะจะไปกินไก่ตุ๋โสมแถววังเคียงบก แต่ไม่ไหว หิวจัดเลยเดินข้ามฝั่งกันมาตลาดเมียงดง
ร้านนี้อยู่ในซอยหลืบๆมีคุณลุงใส่ชุดโบราณยืนเรียกลูกค้าอยู่ปากซอย ด้วยความหิวรีวงรีวิวไม่ต้องดู เดินเข้าไปเสี่ยงดูเลยแล้วกัน
ร้านชื่อ Central Court Restaurant ดูเป็นร้านบ้านๆ ไม่ได้หะรูหะราอะไรมากมาย นั่งสั่งอาหารเสร็จ เครื่องเคียงก็ถูกยกมาวางเป็นเซ็ต ทั้งกิมจิ ผักดองอื่นๆ เห็ด และอะไรที่เราระบุสัญชาติไม่ได้ น่าจะหมึกหรือไข่ปลานี่แหละ = =“
บิบิมบับ (Bibimbap) ของแม่กับคุณแฟน มาพร้อมซุปถั่วงอก หน้าตาผักบ้านเขาดูดีมากกกกก ถั่วงอกบ้านเขาก็ไม่ได้เป็นถั่วเขียว แต่เป็นถั่วเลือก ใหญ่มาก และไม่มีกลิ่นของถั่วงอกเลย
เน็งมยอน (Naengmyeon) หรือหมี่เย็นของพ่อ มาพร้อมกับโคชูจังและซุปเย็น เวลายกมาเสิร์ฟ อาจุมม่า (Ajumma) หรือคุณป้าเขาจะถามว่าให้ตัดเส้นหมี่ไหม เพระาหมี่บ้านเขาเหมือนเป็นเส้นยาวๆ รวบมาทั้งก้อนใหญ่ๆ ไม่ได้ตัดมา ถ้าไม่ตัดจะกินยากนิดนึง ซึ่งพ่อเราไม่ตัดจ้า! และพ่อเรานึกว่าโคชูจังไม่เผ็ดมาก ก็ใส่ไปเต็มที่ สรุปกินได้ครึ่งชาม ทีเหลือทั้งอิ่มทั้งเผ็ดกินไม่ไหว
เทนจังจิเก (Doenjang jjigae) หรือ ซุปเต้าเจี้ยว เสิร์ฟเป็นชุดกับข้าวสวยร้อนๆ ของเราเอง ข้าวเขาจะคล้ายๆกับข้าวญี่ปุ่น แต่เขาจะหุงแฉะกว่านิดหน่อย ไม่มากนะ แค่นิดหน่อย ช่วงที่เราไปอากาศยังเย็นๆอยู่ พอได้ซดซุปร้อนๆเข้าไปนี่ สดชื่นสุดๆไปเลย
หลังจากอิ่มท้องแล้วอย่างที่บอกมาครั้งนี้ไร้ซึ่งแพลนใดๆทั้งสิ้น ก็เลยตัดสินใจเดินกันแถวตลาดเมียงดง เข้าซฮยนู้นออกซฮยนี้ จนเจอ Line Shop คนไม่เยอะมาก แต่ของเราว่าที่ญี่ปุ่นมีให้เลือกเยอะกว่า ด้วยความหวังน้ำบ่อหน้า เลยไม่ได้ซื้ออะไร เดินดูๆเล่นๆ แล้วรอไป Shop สาขาใหญ่ที่ Gangnum แทน
เดินเจอไดฟุกุกับสตอเบอร์รี่หน้าตาดีเลยซื้อมากิน แล้วไปแช่ตู้เก็บไว้กินที่โรงแรม
Design Space แหล่งเสียเงินชั้นเยี่ยมสำหรับขาแฟชั่น ขนาดเราไม่ใช่ยังเสียตังค์เลย เสื้อผ้า มีครบทุกสไตล์ ทั้งหญิงชาย หวานๆไปจนถึงฮิปฮอพเท่ห์ๆ
ในเมียงดงจะมีร้านทั้ง Shop แบรนใหญ่ แบรนเล็ก เครื่องสำอางอย่างเยอะ ทั้ง innisfree etude holika holika Skin Food อารมณ์เซเว่นบ้านเราที่ตั้งห่างกันไม่ถึงสองช่วงตึก แถมลดราคากระหน่ำ Summer sale มาก รู้สึกเหมือนคอยดักตีหัวเข้าร้านให้เสียทรัพย์ตลอดเวลา แต่สุดท้ายคนที่เสียตังค์คือคุณแฟน ได้รองเท้า Onitsuka มา 1 คู่ สนน เป็นราคาไทย 3,900 บาท (กลับมาดูราคาที่ไทย คู่นี้ 4,900 บาท โอเค ถือว่า Shop อย่ามีสติใช้ได้)
เดินไปเดินมา พ่อมีอาการเพลียจากการนั่งเครื่อง เลยแวะหาร้านนั่ง แต่ร้านนู้นคนก็เยอะร้านนี้คนก็มากมาย จำได้รางๆว่า แถวนี้มีคาเฟ่สุนัข เลยเสิร์จหา แล้วเดินจนเจอ
เป็นคาเฟ่เล็กๆอยู่ชั้นสี่ของตึก มีสุนัขพันธุ์ละตัว บางพันธุ์มีสองตัว มีสามตัวที่เขาไม่ให้จับ เขาบอกว่ามันดุจะงับมือ คาเฟ่สุนัขที่นี่แม้จะดูเก่าหน่อย แต่ดูเขาดูแลดี ไม่ให้อุ้มสุนัข แต่จะแจกผ้าขนหนูคนละผืน ถ้าอยากเล่นกับสุนัขให้นั่งพื้น แล้วปูผ้าขนหนูไว้บนตัก สุนัขเขาจะเข้ามาดมๆ แล้วนอนบนตักเราเอง
อย่างเจ้าตัวนี้ แฟนเราเป็นคนกลัวสุนัขเบาๆ เพราะเคยโดนกัน นางก็กล้าๆกลัวๆนั่งห่างออกมาจากดงสุนัขนิดหน่อย แล้วอิเจ้านี่ก็มาดมๆนั่งแพละ แล้วหลับ หลับไปเลย หลับนาน นานมาก ไม่ลุก ไม่ขยับใดๆทั้งสิ้น
ตัวนี้มาอยู่บนตักแม่เรา ระหว่างนั้นชิสุนางหนึ่งก็มานั่งสวยๆบนตักเรา พร้อมกับอปป้าเดินเข้ามามัดจุกให้มัน พร้อมสนทนากับเรานิดหน่อย คือ อปป้าที่นี่งานดีค่ะ >\\\< แต่ออกอาการมากไม่ได้คุณแฟนอยู่ข้างๆ อิอิ
สองตัวนี้นี่นางนอน ไม่สนใจใคร ชิล เช่นเดียวกับพ่ออิฉันที่นั่งกินกาแฟ พักขา ชิล ดูไอ่ตัวขาวนี้นอน เกาหัวให้มันไปสบายๆ แต่สำหรับเครื่องดื่ม ก็นะ = =“ ถ้าไม่คิดมากก็พอแหลกล่ายแหละ
เสร็จจากคาเฟ่น้องหมา พ่อยังไม่หายเพลียเลยแวะกลับเข้าโรงแรมให้เขานอนพัก ระหว่างพ่อนอนพัก เราก็หาที่กิน กับที่เที่ยวช่วงเย็นกลางคืน ตกลงปลงใจไป Dongdaemun โดยเราจะขึ้นไป Heunginjimun Gate ก่อนเดินย้อนมา Cheonggyechon (청계천) หรือคลองชองเกชอน จนถึง Dongdaemun Design Plaza เพื่อดู LED Rose Garden
เราไปถึง Heunginjimun Gate ช่วงเย็นๆ พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าดี ใน Seoul จะมีประตูเมืองตามทิศต่างๆอยู่ถึง 8 ประตูด้วยกัน Heunginjimun Gate เป็นประตูเมืองเก่าที่ได้รับเลือกให้เป็นสมบัติแห่งยเลข 1 (Korea's National Treasure No. 1.) สร้างตั้งแต่ 1398 สมัยโชซอน จะมีกำแพงล้อมเป็นวงกลมกั้นไว้อีกชั้น เพราะข้อเสียเปรียบทางด้านภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ต่ำกว่านั่นเอง
ปัจจุบัน Heunginjimun Gate ถูกทลายกำแพงเมืองบางส่วนลง เพื่อนำไปพัฒนาเป็นอาคารบ้านเรือน กลายเป็นโบราณสถานท่ามกลางตึกสูง ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม