สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับทริปญี่ปุ่น 11 วัน ตะลุย 5 ภูมิภาค
กระทู้ภาพถ่าย:
http://ppantip.com/topic/35350196
พาร์ทหนึ่ง:
UNSEEN SHIKOKU http://ppantip.com/topic/35428493/
พาร์ทสอง:
FROM SAND DUNE กระทู้นี้
พาร์ทสาม(จุดหนึ่ง):
TO SNOW WALL http://ppantip.com/topic/35445128
พาร์ทสาม(จุดสอง):
THE JAPAN ALPS http://ppantip.com/topic/35455832
พาร์ทสี่:
FUJI FULL FRAME http://ppantip.com/topic/35519935
สำหรับพาร์ทสองนี้ เราจะพาไปเที่ยวภูมิภาคชูโกกุกันครับผ่าน 3 จังหวัด OKAYAMA, HIROSHIMA และ TOTTORI
เริ่มกันเลยครับ
DAY 4 | 「OKAYAMA x HIROSHIMA」
วันนี้เราก็ตื่นหกโมงเช้าเช่นเดิม หลังจากล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บข้าวของเสร็จก็ลากกระเป๋าลงมาทานอาหารเช้า และเช็คเอาท์จากโรงแรม เราฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าล็อคเกอร์ที่สถานี สำหรับเช้านี้เราจะไปเยี่ยม KORAKUEN อีกหนึ่งท็อปทรีสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุดในประเทศ หลังจากที่เมื่อวานเราไป สวน Ritsurin มาแล้ว
ออกจากโรงแรมเราเดินมาขึ้นรถบัสที่ข้างสถานีรถไฟ ขึ้นรถบัสสาย 18 ลงป้าย Korakuen-mae ¥140, ใช้เวลา 15 นาที
ตารางเดินรถไปสวน KORAKUEN
อันนี้แถมสำหรับคนที่จะไปปราสาท Okyama ก่อนครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ภาพจะเล็กหน่อยถ้าดูจากคอม แนะนำให้ copy ไปดูในโปรแกรมอื่นครับ
สวน KORAKUEN เริ่มก่อสร้างในปี คศ. 1687 และก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี คศ. 1700 โดยคำสั่งของไดเมียวตระกูล Ikeda ผู้ปกครองแคว้นในตอนนั้ สวน KORAKUEN แต่เดิมใช้เป็นสถานที่รับรองแขกของไดเมียว แต่เริ่มเปิดให้เป็นสวนสาธารณะให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ในปี คศ. 1884
สวนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในปี คศ. 1934 และการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้รับการบูรณะในเวลาต่อมา และในปี คศ. 1952 ก็ได้รับการประกาศให้เป็น Special Scenic Location ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองในฐานะสมบัติของชาติ นอกจากนี้สวน KORAKUEN ยังได้รับรางวัลระดับ 3 ดาวจาก Michelin Green Guide Japan เช่นเดียวกับสวน Ritsurin
การเข้าชมสวนต้องเสียค่าเข้าชมโดยมีทั้งแบบตั๋วเข้าชมสวนอย่างเดียวหรือตั๋วร่วมกับปราสาท Okayama รวมถึงตั๋วรวมอื่นๆเช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Hayashibara, พิพิธภัณฑ์จังหวัด Okayama เป็นต้น รายละเอียดตามภาพด้านล่างครับ
สรุปโดยย่อ (ราคาสำหรับผู้ใหญ่) คือ
- ตั๋วเข้าชมปราสาทอย่างเดียว ¥300
- ตั๋วเข้าชมสวนอย่างเดียว ¥400
- ตั๋วร่วมเข้าชมได้ทั้งสวนและปราสาท ¥560
นอกจากนี้สวนและปราสาทยังมีกิจกรรมที่จัดขึ้นตามช่วงต่างๆของปีให้เรามาเยี่ยมชมได้
ซื้อตั๋วเรียบร้อย เราก็เข้าไปชมสวนกันครับ มาดูว่าจะแตกต่างจากสวน Ritsurin อย่างไร
สวน Korakuen มองเห็นปราสาท Okayama อยู่ด้านหลัง
ทิวทัศน์สวนมองจากเนินบริเวณกลางสวน
แปลงปลูกชาภายในสวน
แวะจิบชายามเช้า
แปลงปลูกข้าว
พิธีชงชา
กรงเลี้ยงนกกระเรียน
นอกจากนี้ในสวนยังมีส่วนจัดแสดงอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายเช่น สวนเมเปิ้ลและสวนบ๊วยที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง, กรงเลี้ยงนกกระเรียน, ลานยิงธนู, โรงชา เป็นต้น เราสัมผัสบรรยากาศสวนในยามเช้าจนพอใจแล้วจึงมุ่งหน้าต่อไปยังประตูทิศใต้เพื่อชมปราสาท Okayama ให้ใกล้ขึ้น
จากสวนออกทางประตู South gate
ปราสาท Okayama ถูกสร้างโดยบัญชาของ Hideyoshi ผู้ปกครองญี่ปุ่นในยุคนั้น ปราสาทสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1597 และมีอีกชื่อหนึ่งว่า ปราสาทอีกา (เช่นเดียวกับปราสาท Matsumoto) น่าเสียดายที่ตัวปราสาทเดิมได้รับลูกหลงจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในปี ค.ศ. 1966 ก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ และมีสภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ปราสาท Okayama
รายละเอียดค่าเข้าชม ผมได้กล่าวไปแล้วด้านบนนะครับ ตัวปราสาทในปัจจุบันแบ่งเป็น 6 ชั้น ภายในมีนิทรรศการและกิจกรรมให้เราเข้าร่วมเช่น แต่งกายแบบไดเมียว ถ่ายภาพที่ระลึก ที่ชั้นบนเราสามารถชมวิวบรรยากาศโดยรอบปราสาทได้อย่างชัดเจน เราไม่ได้เข้าไปชมภายในปราสาทครับเพียงแต่ถ่ายภาพด้านนอก ถ่ายภาพเสร็จก็เดินออกมาด้านนอกเพื่อขึ้นรถรางกลับไปสถานีครับ ราคา ¥100
สถานที่น่าสนใจอื่นๆบริเวณรอบปราสาท Okayama
นั่ง tram กลับไปสถานี JR Okayama
กลับไปโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าและเตรียมขึ้นรถไฟเพื่อไปต่อเมืองถัดไป HIROSHIMA ครับ
ที่สถานีเราเจอทีมบรรเทาสาธารณภัยที่กำลังจะเดินทางไปคิวชูด้วยครับ (ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่คิวชูหนึ่งอาทิตย์ครับ ช่วงนั้นเปิดทีวีจะมีแต่ข่าวแผ่นดินไหวกับรถไฟฌินคันเซนตกราง)
จาก Okayama ไป Hiroshima สามารถเดินทางได้ด้วย Shinkansen ใช้เวลา 40 นาที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[10:11-10:51 | OKAYAMA - HIROSHIMA | SAKURA 549]
Sanyo Shinkansen ขบวน Sakura เดินรถร่วมระหว่าง JR West และ JR Kyushu
เกือบ 11 โมงเราก็มาถึงเมือง Hiroshima ครับ โดยจุดหมายถัดไปที่เราจะกันคือ A-Bomb dome และ Hiroshima Peace Memorial Museum เราฝากกระเป๋าที่สถานี จากนั้นก็ออกมาขึ้นรถรางโดยขึ้นรถสาย 2 หรือ 6 (สีแดงหรือสีเหลือง) ลงป้าย M10 Genbaku Dome-mae ราคา ¥160 ต่อเที่ยวต่อคน
รถราง Hiroshima
จากป้าย tram เดินต่ออีกนิดหน่อยเราก็มาถึง A-Bomb dome หรือ โดมปรมาณู อนุสรณ์สันติภาพ Hiroshima
A-Bomb Dome
โดมปรมาณู เดิมเป็นศูนย์การประชุมพาณิชยกรรมของเมือง Hiroshima สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1915 เป็นหนึ่งในอาคารไม่กี่หลังที่เหลือรอดจากการทิ้งระเบิดปรมาณู โดยอาคารหลังนี้อยู่ห่างจากศูนย์กลางการระเบิดหรือ Ground zero ไปเพียง 150 เมตรในแนวราบและ 600 เมตรในแนวดิ่ง หลังสงครามอาคารถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพอย่างนั้น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1966 คณะกรรมการเมืองตัดสินใจที่จะอนุรักษ์อาคารไว้ในฐานะอนุสรณ์สงคราม ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 องค์การ UNESCO ก็ขึ้นทะเบียนอาคารดังกล่าวเป็นมรดกโลกเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความโหดร้ายของการใช้ระเบิดปรมาณูและเป็นสื่อถึงสันติภาพต่อมวลมนุษยชาติ
Make love, not war
ถัดจากโดมปรมาณู เราก็เดินต่อไปยัง Peace Memorial Park ครับ ในบริเวณดังกล่าวมีหลายจุดให้เข้าไปเยี่ยม จุดแรกเราเดินมาเยี่ยมชม
Children's Peace Monument หรือ อนุสรณ์ Sadako ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเด็กๆที่จากไปจากการทิ้งระเบิดปรมาณูหรือเสียชีวิตจากอาการป่วยจากรังสีในภายหลัง
Sadako Sasaki
Sadoko มีอายุ 2 ขวบในวันที่ระเบิดถูกทิ้งลงมา เธออยู่ในบ้านซึ่งห่างจาก Ground zero ไป 69 กิโลเมตร ร่างของเธอปลิวออกนอกหน้าต่างเนื่องจากแรงระเบิดแต่เธอกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เธอได้รับรังสีจากฝนกัมมันตรังสีขณะที่หลบหนีออกจากเมือง เธอมีชีวิตอย่างปกติจนกระทั่งในปี 1954 ก็ตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อนร่วมหอผู้ป่วยเตียงข้างๆเธอก็เล่าให้เธอฟังว่าหากพับนกกระเรียนได้ครบ 1,000 ตัว จะสามารถขอพรให้หายจากอาการป่วยได้ เธอเสียชีวิตหลังต่อสู้กับอาการป่วยอยู่ 1 ปี ขณะมีอายุได้ 12 ปี แม้จะพับนกกระเรียนได้ครบแล้วก็ตาม
หลังการเสียชีวิตของ Sadako เพื่อนๆของเธอได้เขียนจดหมายระดมทุนเพื่อก่อสร้างอนุสรณ์รำลึกถึงเธอและเด็กๆที่ต้องจากไปจากผลกระทบของระเบิด อนุสรณ์ดังกล่าวเปิดในปี ค.ศ. 1958 ที่ฐานของอนุสรณ์มีจารึกซึ่งถอดความได้ว่า
"นี่คือเสียงร้องของเรา นี่คือคำอธิษฐานของเรา เพื่อสร้างสันติภาพบนโลกใบนี้"
โดยทุกๆปีเด็กๆจากทั่วทุกมุมโลกจะพับนกกระเรียนและส่งมายังอนุสรณ์แห่งนี้เพื่อสื่อถึงความปราถนาในสันติภาพบนโลกใบนี้
จากอนุสรณ์ Sadako เราเดินมายัง
Memorial Cenotaph ที่พำนักสุดท้ายของผู้เสียชีวิตจากระเบิด เปิดในปี ค.ศ. 1952 อนุสรณ์นี้เป็นอนุสรณ์จารึกชื่อผู้เสียชีวิตจากการระเบิด ที่ฐานมีป้ายจารึกไว้ว่า
"ขอให้ดวงวิญญาณเหล่านี้ไปสู่สุขคติ เพื่อว่า(พวกเรา)จะได้ไม่ทำผิดพลาดอีก"
ทั้งนี้หากเราไปยืนตรงหน้าอนุสรณ์ สามารถมองทะลุเห็น "เพลิงแห่งสันติภาพ" และ "โดมปรมาณู" ที่อยู่ในแนวเดียวกันได้
Memorial Cenotaph
[CR] JAPAN SPRING 2016 |「FROM SAND DUNE TO SNOW WALL」| Part 2: FROM SAND DUNE (Okayama, Hiroshima, Tottori, Osaka)
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับทริปญี่ปุ่น 11 วัน ตะลุย 5 ภูมิภาค
กระทู้ภาพถ่าย: http://ppantip.com/topic/35350196
พาร์ทหนึ่ง: UNSEEN SHIKOKU http://ppantip.com/topic/35428493/
พาร์ทสอง: FROM SAND DUNE กระทู้นี้
พาร์ทสาม(จุดหนึ่ง): TO SNOW WALL http://ppantip.com/topic/35445128
พาร์ทสาม(จุดสอง): THE JAPAN ALPS http://ppantip.com/topic/35455832
พาร์ทสี่: FUJI FULL FRAME http://ppantip.com/topic/35519935
สำหรับพาร์ทสองนี้ เราจะพาไปเที่ยวภูมิภาคชูโกกุกันครับผ่าน 3 จังหวัด OKAYAMA, HIROSHIMA และ TOTTORI
เริ่มกันเลยครับ
DAY 4 | 「OKAYAMA x HIROSHIMA」
วันนี้เราก็ตื่นหกโมงเช้าเช่นเดิม หลังจากล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บข้าวของเสร็จก็ลากกระเป๋าลงมาทานอาหารเช้า และเช็คเอาท์จากโรงแรม เราฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าล็อคเกอร์ที่สถานี สำหรับเช้านี้เราจะไปเยี่ยม KORAKUEN อีกหนึ่งท็อปทรีสวนญี่ปุ่นที่สวยที่สุดในประเทศ หลังจากที่เมื่อวานเราไป สวน Ritsurin มาแล้ว
ออกจากโรงแรมเราเดินมาขึ้นรถบัสที่ข้างสถานีรถไฟ ขึ้นรถบัสสาย 18 ลงป้าย Korakuen-mae ¥140, ใช้เวลา 15 นาที
อันนี้แถมสำหรับคนที่จะไปปราสาท Okyama ก่อนครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ภาพจะเล็กหน่อยถ้าดูจากคอม แนะนำให้ copy ไปดูในโปรแกรมอื่นครับ
สวน KORAKUEN เริ่มก่อสร้างในปี คศ. 1687 และก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี คศ. 1700 โดยคำสั่งของไดเมียวตระกูล Ikeda ผู้ปกครองแคว้นในตอนนั้ สวน KORAKUEN แต่เดิมใช้เป็นสถานที่รับรองแขกของไดเมียว แต่เริ่มเปิดให้เป็นสวนสาธารณะให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ในปี คศ. 1884
สวนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในปี คศ. 1934 และการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้รับการบูรณะในเวลาต่อมา และในปี คศ. 1952 ก็ได้รับการประกาศให้เป็น Special Scenic Location ซึ่งต้องได้รับการคุ้มครองในฐานะสมบัติของชาติ นอกจากนี้สวน KORAKUEN ยังได้รับรางวัลระดับ 3 ดาวจาก Michelin Green Guide Japan เช่นเดียวกับสวน Ritsurin
การเข้าชมสวนต้องเสียค่าเข้าชมโดยมีทั้งแบบตั๋วเข้าชมสวนอย่างเดียวหรือตั๋วร่วมกับปราสาท Okayama รวมถึงตั๋วรวมอื่นๆเช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Hayashibara, พิพิธภัณฑ์จังหวัด Okayama เป็นต้น รายละเอียดตามภาพด้านล่างครับ
สรุปโดยย่อ (ราคาสำหรับผู้ใหญ่) คือ
- ตั๋วเข้าชมปราสาทอย่างเดียว ¥300
- ตั๋วเข้าชมสวนอย่างเดียว ¥400
- ตั๋วร่วมเข้าชมได้ทั้งสวนและปราสาท ¥560
นอกจากนี้สวนและปราสาทยังมีกิจกรรมที่จัดขึ้นตามช่วงต่างๆของปีให้เรามาเยี่ยมชมได้
ซื้อตั๋วเรียบร้อย เราก็เข้าไปชมสวนกันครับ มาดูว่าจะแตกต่างจากสวน Ritsurin อย่างไร
นอกจากนี้ในสวนยังมีส่วนจัดแสดงอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายเช่น สวนเมเปิ้ลและสวนบ๊วยที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง, กรงเลี้ยงนกกระเรียน, ลานยิงธนู, โรงชา เป็นต้น เราสัมผัสบรรยากาศสวนในยามเช้าจนพอใจแล้วจึงมุ่งหน้าต่อไปยังประตูทิศใต้เพื่อชมปราสาท Okayama ให้ใกล้ขึ้น
ปราสาท Okayama ถูกสร้างโดยบัญชาของ Hideyoshi ผู้ปกครองญี่ปุ่นในยุคนั้น ปราสาทสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1597 และมีอีกชื่อหนึ่งว่า ปราสาทอีกา (เช่นเดียวกับปราสาท Matsumoto) น่าเสียดายที่ตัวปราสาทเดิมได้รับลูกหลงจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในปี ค.ศ. 1966 ก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ และมีสภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
รายละเอียดค่าเข้าชม ผมได้กล่าวไปแล้วด้านบนนะครับ ตัวปราสาทในปัจจุบันแบ่งเป็น 6 ชั้น ภายในมีนิทรรศการและกิจกรรมให้เราเข้าร่วมเช่น แต่งกายแบบไดเมียว ถ่ายภาพที่ระลึก ที่ชั้นบนเราสามารถชมวิวบรรยากาศโดยรอบปราสาทได้อย่างชัดเจน เราไม่ได้เข้าไปชมภายในปราสาทครับเพียงแต่ถ่ายภาพด้านนอก ถ่ายภาพเสร็จก็เดินออกมาด้านนอกเพื่อขึ้นรถรางกลับไปสถานีครับ ราคา ¥100
กลับไปโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าและเตรียมขึ้นรถไฟเพื่อไปต่อเมืองถัดไป HIROSHIMA ครับ
ที่สถานีเราเจอทีมบรรเทาสาธารณภัยที่กำลังจะเดินทางไปคิวชูด้วยครับ (ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่คิวชูหนึ่งอาทิตย์ครับ ช่วงนั้นเปิดทีวีจะมีแต่ข่าวแผ่นดินไหวกับรถไฟฌินคันเซนตกราง)
จาก Okayama ไป Hiroshima สามารถเดินทางได้ด้วย Shinkansen ใช้เวลา 40 นาที [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกือบ 11 โมงเราก็มาถึงเมือง Hiroshima ครับ โดยจุดหมายถัดไปที่เราจะกันคือ A-Bomb dome และ Hiroshima Peace Memorial Museum เราฝากกระเป๋าที่สถานี จากนั้นก็ออกมาขึ้นรถรางโดยขึ้นรถสาย 2 หรือ 6 (สีแดงหรือสีเหลือง) ลงป้าย M10 Genbaku Dome-mae ราคา ¥160 ต่อเที่ยวต่อคน
จากป้าย tram เดินต่ออีกนิดหน่อยเราก็มาถึง A-Bomb dome หรือ โดมปรมาณู อนุสรณ์สันติภาพ Hiroshima
โดมปรมาณู เดิมเป็นศูนย์การประชุมพาณิชยกรรมของเมือง Hiroshima สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1915 เป็นหนึ่งในอาคารไม่กี่หลังที่เหลือรอดจากการทิ้งระเบิดปรมาณู โดยอาคารหลังนี้อยู่ห่างจากศูนย์กลางการระเบิดหรือ Ground zero ไปเพียง 150 เมตรในแนวราบและ 600 เมตรในแนวดิ่ง หลังสงครามอาคารถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพอย่างนั้น จนกระทั่งปี ค.ศ. 1966 คณะกรรมการเมืองตัดสินใจที่จะอนุรักษ์อาคารไว้ในฐานะอนุสรณ์สงคราม ต่อมาในปี ค.ศ. 1996 องค์การ UNESCO ก็ขึ้นทะเบียนอาคารดังกล่าวเป็นมรดกโลกเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความโหดร้ายของการใช้ระเบิดปรมาณูและเป็นสื่อถึงสันติภาพต่อมวลมนุษยชาติ
ถัดจากโดมปรมาณู เราก็เดินต่อไปยัง Peace Memorial Park ครับ ในบริเวณดังกล่าวมีหลายจุดให้เข้าไปเยี่ยม จุดแรกเราเดินมาเยี่ยมชม Children's Peace Monument หรือ อนุสรณ์ Sadako ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเด็กๆที่จากไปจากการทิ้งระเบิดปรมาณูหรือเสียชีวิตจากอาการป่วยจากรังสีในภายหลัง
Sadoko มีอายุ 2 ขวบในวันที่ระเบิดถูกทิ้งลงมา เธออยู่ในบ้านซึ่งห่างจาก Ground zero ไป 69 กิโลเมตร ร่างของเธอปลิวออกนอกหน้าต่างเนื่องจากแรงระเบิดแต่เธอกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เธอได้รับรังสีจากฝนกัมมันตรังสีขณะที่หลบหนีออกจากเมือง เธอมีชีวิตอย่างปกติจนกระทั่งในปี 1954 ก็ตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อนร่วมหอผู้ป่วยเตียงข้างๆเธอก็เล่าให้เธอฟังว่าหากพับนกกระเรียนได้ครบ 1,000 ตัว จะสามารถขอพรให้หายจากอาการป่วยได้ เธอเสียชีวิตหลังต่อสู้กับอาการป่วยอยู่ 1 ปี ขณะมีอายุได้ 12 ปี แม้จะพับนกกระเรียนได้ครบแล้วก็ตาม
หลังการเสียชีวิตของ Sadako เพื่อนๆของเธอได้เขียนจดหมายระดมทุนเพื่อก่อสร้างอนุสรณ์รำลึกถึงเธอและเด็กๆที่ต้องจากไปจากผลกระทบของระเบิด อนุสรณ์ดังกล่าวเปิดในปี ค.ศ. 1958 ที่ฐานของอนุสรณ์มีจารึกซึ่งถอดความได้ว่า
โดยทุกๆปีเด็กๆจากทั่วทุกมุมโลกจะพับนกกระเรียนและส่งมายังอนุสรณ์แห่งนี้เพื่อสื่อถึงความปราถนาในสันติภาพบนโลกใบนี้
จากอนุสรณ์ Sadako เราเดินมายัง Memorial Cenotaph ที่พำนักสุดท้ายของผู้เสียชีวิตจากระเบิด เปิดในปี ค.ศ. 1952 อนุสรณ์นี้เป็นอนุสรณ์จารึกชื่อผู้เสียชีวิตจากการระเบิด ที่ฐานมีป้ายจารึกไว้ว่า
ทั้งนี้หากเราไปยืนตรงหน้าอนุสรณ์ สามารถมองทะลุเห็น "เพลิงแห่งสันติภาพ" และ "โดมปรมาณู" ที่อยู่ในแนวเดียวกันได้