คราวนี้เราใช้ JR pass ของ JR west ตัว Okayama-Hiroshima-Yamaguchi Area Pass หลักๆ ก็ใช้งานได้ตามนี้ ลองศึกษากันดูก่อนครับ
https://www.westjr.co.jp/global/th/ticket/pass/okayama_hiroshima_yamaguchi/
.
.
ขาไปบิน vietjet air
ออกจากสุวรรณภูมิตามตารางประมาณตี 1 แต่วันนั้น (คืนวันที่ 3 ต่อเช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2566) ด้วยอิทธิพลของน้องขนุน เที่ยวบินเลยช้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาถึงสนามบินฟุกุโอกะประมาณเกือบๆ 6 ชั่วโมง ส่วนขากลับเราใช้บริการของการบินไทยออกจากฟุกุโอกะเช่นกัน ออกสายๆ ของวันที่ 9 สิงหาคม และถึงสุวรรณภูมิในอีกประมาณ 6 ชั่วโมงถัดมา
.
Vietjet บินพร้อมสัมภาระติดตัว 7 กิโลกรัม ไม่มีน้ำหนักโหลดกระเป๋า ส่วนขากลับการบินไทยเป็น full service ครับ
.
การผ่าน ตม. ญี่ปุ่นและศุลกากร สามารถกรอกข้อมูลทาง visit Japan web ไปก่อน กระบวนการทั้งหมดจะง่ายขึ้นและเร็วขึ้นมาก แต่ถ้าไม่สะดวก จะเขียนเป็นกระดาษเขาก็ยังรับ แต่ก็เสียเวลามากนิดหน่อย
.
JR pass ซื้อผ่าน klook แล้วปริ้นกระดาษถือไปเพื่อแลกบัตรใช้ที่ญี่ปุ่น ในราคา 15,000 เยน โดยหลัง 1 ตุลาคมนี้จะขึ้นเป็น 17,000 เยน ส่วนจะคิดเป็นเงินไทยเท่าไหร่ ต้องลองดูเป็นวันๆ เนื่องจากค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (บางคนบอกว่าไม่ต้องปริ้นกระดาษไปก็ได้ เราสามารถแสกน QR code ทางหน้าจอมือถือได้เลย แต่เราไม่อยากเสี่ยงเลยปริ้นกระดาษไปดีกว่า และก็ได้ใช้จริงๆ) เราแลกที่สถานี JR Hakata โดยพยายามใช้เครื่องอัตโนมัติแล้ว ไม่สามารถแลกได้ (เครื่องที่ปกติสามารถใช้ได้อยู่บริเวณประตูเข้า shinkansen ข้างๆ เค้าเตอร์ขายตั๋ว เครื่องเดียวริมขวาสุด)
.
เรื่องการแลก JR pass ที่เครื่องอัตโนมัติ เราเคยทำแล้วครั้งนึงเมื่อคราวเดินทางเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระบวนการไม่ยากครับ หาตู้ที่สามารถใช้ได้ให้เจอ โดยตู้นี้จะขายตั๋วปกติด้วยแต่จะมีเครื่องสแกนหนังสือเดินทางอยู่ข้างๆ (ตู้อื่นที่ใช้ไม่ได้จะไม่มีเครื่องแสกนนี้) ก็คล้ายๆ กับการ reserve seat ชินกันเซ็น หาตู้ที่สามารถ reserve seat ให้เจอ (เอกสารของ JR ที่หน้าเว็ป มีแนะนำ) แล้วทำด้วยตนเอง
.
.
เจ้าหน้าที่ชี้ให้เราต่อคิวเพื่อทำรายการกับเค้าเตอร์
เราแพลนใช้ JR pass วันที่ 4-8 สิงหาคม รวม 5 วัน วันที่ 9 สิงหาคม วันกลับวางแผนนั่งแท็กซี่ ด้วยเพราะแพลนว่าอาจมีสัมภาระ รวมทั้งสนามบินฟุกุโอกะอยู่ไม่ห่างจากกลางเมือง ค่าแท็กซี่เรายังพอสู้ไหว แพลนที่พักและแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นหลังจากที่ได้ JR pass แล้ว
.
Mihara
เมือง Mihara จังหวัด Hiroshima อยู่ในระยะที่สามารถนั่งรถไฟชินกันเซ็นโดยใช้เวลาไม่มากเกินไปเพื่อไปยังเมืองใหญ่ใกล้ๆ ได้ โดยเฉพาะ Hiroshima รวมทั้งที่พักในคืนวันที่ 4 และวันที่ 5 ซึ่งเป็นคืนวันศุกร์และเสาร์ ที่พักใน Hiroshima ราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากมีการแข่งขันเบสบอลนัดสุดสัปดาห์ ใช่ครับ เราพักที่ Mihara 2 คืน และที่เราเริ่มใช้ JR pass ซึ่งก็คือเย็นของวันที่ 4 สิงหาคม ก็ด้วยเหตุที่ต้องนั่งชินกันเซ็นเข้าที่พักที่ Mihara นี่แหล่ะ
.
ปราสาทมิฮาระ และเมืองฝั่งตะวันตก
สถานีรถไฟอยู่ติดกับฐานของปราสาทมิฮาระ ซึ่งเหลือเพียงร่องรอยของฐานปราสาทเท่านั้น โดยสัญลักษณ์สำคัญของปราสาทนี้คือปลาคาร์ป และก็มีปลาคาร์ปว่ายอยู่ฝูงใหญ่ภายในสระรอบปราสาท ด้านบนของฐานปราสาทถูกปรับปรุงให้เป็นส่วนสาธารณะเล็กๆ ประชาชนสามารถขึ้นไปนั่งพักผ่อนได้ มองเห็นเมืองฝั่งตะวันตกนี้ไปได้ไกล ทางเข้าปราสาทคือทางออกหนึ่งของสถานีรถไฟครับ
.
.
โดยถ้ายึดเส้นทางรถไฟเป็นแกนกลาง เมืองจะถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นเทือกเขาและที่อยู่อาศัย รวมทั้งสถานที่ที่รองรับกิจกรรมของชาวเมือง ตั้งแต่โรงพยาบาล สถานที่ราชการ บ้าน อพาร์ทเม้นท์ โรงเรียนมัธยม สวนสาธารณะ วัด สุสาน ส่วนเมืองฝั่งตะวันออกจะติดทะเล และท่าเรือเมืองมิฮาระก็จะมีเรือเฟอร์รี่บริการเพื่อเดินทางไปยังเกาะต่างๆ ในบริเวณนั้นด้วย (ท่าเรือมิฮาระ = หมายเลข 1) และหนึ่งในนั้นคือเกาะกระต่าย okunoshima island (หมายเลข 4) แต่การเดินทางจากท่าเรือมิฮาระจะต้องโดยสารเรือที่จะแวะก่อนถึงเกาะกระต่าย 1 ครั้ง (จากหมายเลข 1 แวะ sunami หมายเลข 2) แล้วจึงเดินทางต่อ รอบเรือมีน้อย ค่าตั๋วเรือแพงกว่า ต่างกับถ้าเรานั่งรถไฟไปอีกสถานีหนึ่ง และขึ้นเรืออีกท่า (หมายเลข 3 สถานีรถไฟ JR Tadanoumi)
.
.
สถานี JR Tadanoumi station และเดินต่อไปราว 200 เมตรจะถึงท่าเรือที่มีรอบเรือค่อนข้างถี่กว่า ระยะในการนั่งเรือใกล้กว่ามาก ค่าโดยสารผู้ใหญ่ไปกลับ คนละ 720 เยน สามารถซื้อตั๋วเรือได้จากเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ ข้อมูลเพิ่มเติมของการเดินทางไปเกาะกระต่าย
http://rabbit-island.info/en/ ส่วนเวปภาษาไทย
https://www.jnto.or.th/newsletter/cute-rabbits-okunoshima-island/
.
เกาะกระต่ายหรือ okunoshima island
เกาะกลางทะเลห่างจากชายฝั่งเมืองมิฮาระในระยะเวลานั่งเรือไม่กี่นาที ที่เรียกว่าเกาะกระต่ายเนื่องจากมีกระต่ายป่าจำนวนมากอยู่บนเกาะ โดยกระต่ายเหล่านี้ว่ากันว่ามาจากกระต่ายในห้องทดลองที่ถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติในเวลาที่ห้องทดลองเหล่านั้นถูกยกเลิกการทำการทดลองไป
.
.
ใช่ครับ จริงๆ แล้วเกาะแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยย้อนกลับไปยุคจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ากันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดเกาะนี้ให้เป็นเขตหวงห้าม และสร้างโรงงานผลิตแก๊สพิษขึ้นมาเพื่อใช้ในสงคราม ถึงขนาดกับลบเกาะนี้ออกจากแผนที่ประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกรับทราบความเป็นไปภายในเกาะ เมื่อกำหนดให้เป็นเขตความมั่นคงสูง จึงมีการสร้างป้อมค่ายและอาคารทางการทหารไว้โดยทั่วไป ซึ่งยังมีร่องรอยให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันอยู่ และนี่ก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งของเกาะนี้ที่นอกจากเข้ามาชมกระต่ายป่าคือการศึกษาประวัติศาสตร์
.
นอกจากนี้ยังมีอาคารสถานที่ที่เกี่ยวกับการผลิตอาวุธชีวภาพ (แก๊สพิษ) ยังมีบางอาคารถูกบูรณะไว้เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ในการจัดแสดงภาพจำลองในอดีตของที่นี่ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เกาะนี้ก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนอีกครั้ง พร้อมทั้งการปลดปล่อยสัตว์ทดลอง (กระต่าย) ให้มีชีวิตอย่างอิสระจวบจนปัจจุบัน
.
หลังจากที่นั่งเรือจากท่าเรือมาถึง จะสามารถนั่งรถ shuttle bus ของโรงแรมซึ่งมีเพียง 1 แห่งบนเกาะแห่งนี้ จะพักค้างก็ได้ครับ หรือเพียงแค่เช่าจักรยานซึ่งให้บริการอยู่บริเวณหน้าโรงแรมก็ได้ หรือถ้าใครจะทำแบบเราและนักท่องเที่ยวอีกหลายๆ คนก็ได้ คือการเดินเท้า มีเส้นทางชัดเจน กระต่ายจะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับสภาพอากาศและอาหารในมือเรา เราซื้ออาหารเม็ดจากท่าเรือไปคนละ 1 ถุง ราคาถุงละ 100 เยน ซึ่งก็เพียงพอสำหรับกระต่ายที่เราเจอตลอดเส้นทาง กระต่ายมีมากบริเวณท่าเรือและแถวๆ สนามกีฬาซึ่งดูเหมือนจะร้างกิจกรรมมาสักระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่จะแอบอยู่ใต้ต้นไม้ หรือรูบ้านของเค้า ต้องลองสอดส่องสายตาสักหน่อย
.
(ต่อในคอมเมนต์นะครับ)
-------------------------
คุณหมูยอ
เดินทาง 4-9 สิงหาคม 2566
บันทึก 19 สิงหาคม 2566
-------------------------
เที่ยวญี่ปุ่นใต้ อาศัย JR west pass 4-8/8/2566 ทริปนี้มีเกาะกระต่าย:)
.
.
ขาไปบิน vietjet air
ออกจากสุวรรณภูมิตามตารางประมาณตี 1 แต่วันนั้น (คืนวันที่ 3 ต่อเช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2566) ด้วยอิทธิพลของน้องขนุน เที่ยวบินเลยช้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาถึงสนามบินฟุกุโอกะประมาณเกือบๆ 6 ชั่วโมง ส่วนขากลับเราใช้บริการของการบินไทยออกจากฟุกุโอกะเช่นกัน ออกสายๆ ของวันที่ 9 สิงหาคม และถึงสุวรรณภูมิในอีกประมาณ 6 ชั่วโมงถัดมา
.
Vietjet บินพร้อมสัมภาระติดตัว 7 กิโลกรัม ไม่มีน้ำหนักโหลดกระเป๋า ส่วนขากลับการบินไทยเป็น full service ครับ
.
การผ่าน ตม. ญี่ปุ่นและศุลกากร สามารถกรอกข้อมูลทาง visit Japan web ไปก่อน กระบวนการทั้งหมดจะง่ายขึ้นและเร็วขึ้นมาก แต่ถ้าไม่สะดวก จะเขียนเป็นกระดาษเขาก็ยังรับ แต่ก็เสียเวลามากนิดหน่อย
.
JR pass ซื้อผ่าน klook แล้วปริ้นกระดาษถือไปเพื่อแลกบัตรใช้ที่ญี่ปุ่น ในราคา 15,000 เยน โดยหลัง 1 ตุลาคมนี้จะขึ้นเป็น 17,000 เยน ส่วนจะคิดเป็นเงินไทยเท่าไหร่ ต้องลองดูเป็นวันๆ เนื่องจากค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (บางคนบอกว่าไม่ต้องปริ้นกระดาษไปก็ได้ เราสามารถแสกน QR code ทางหน้าจอมือถือได้เลย แต่เราไม่อยากเสี่ยงเลยปริ้นกระดาษไปดีกว่า และก็ได้ใช้จริงๆ) เราแลกที่สถานี JR Hakata โดยพยายามใช้เครื่องอัตโนมัติแล้ว ไม่สามารถแลกได้ (เครื่องที่ปกติสามารถใช้ได้อยู่บริเวณประตูเข้า shinkansen ข้างๆ เค้าเตอร์ขายตั๋ว เครื่องเดียวริมขวาสุด)
.
เรื่องการแลก JR pass ที่เครื่องอัตโนมัติ เราเคยทำแล้วครั้งนึงเมื่อคราวเดินทางเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระบวนการไม่ยากครับ หาตู้ที่สามารถใช้ได้ให้เจอ โดยตู้นี้จะขายตั๋วปกติด้วยแต่จะมีเครื่องสแกนหนังสือเดินทางอยู่ข้างๆ (ตู้อื่นที่ใช้ไม่ได้จะไม่มีเครื่องแสกนนี้) ก็คล้ายๆ กับการ reserve seat ชินกันเซ็น หาตู้ที่สามารถ reserve seat ให้เจอ (เอกสารของ JR ที่หน้าเว็ป มีแนะนำ) แล้วทำด้วยตนเอง
.
.
เจ้าหน้าที่ชี้ให้เราต่อคิวเพื่อทำรายการกับเค้าเตอร์
เราแพลนใช้ JR pass วันที่ 4-8 สิงหาคม รวม 5 วัน วันที่ 9 สิงหาคม วันกลับวางแผนนั่งแท็กซี่ ด้วยเพราะแพลนว่าอาจมีสัมภาระ รวมทั้งสนามบินฟุกุโอกะอยู่ไม่ห่างจากกลางเมือง ค่าแท็กซี่เรายังพอสู้ไหว แพลนที่พักและแหล่งท่องเที่ยวก็เป็นหลังจากที่ได้ JR pass แล้ว
.
Mihara
เมือง Mihara จังหวัด Hiroshima อยู่ในระยะที่สามารถนั่งรถไฟชินกันเซ็นโดยใช้เวลาไม่มากเกินไปเพื่อไปยังเมืองใหญ่ใกล้ๆ ได้ โดยเฉพาะ Hiroshima รวมทั้งที่พักในคืนวันที่ 4 และวันที่ 5 ซึ่งเป็นคืนวันศุกร์และเสาร์ ที่พักใน Hiroshima ราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากมีการแข่งขันเบสบอลนัดสุดสัปดาห์ ใช่ครับ เราพักที่ Mihara 2 คืน และที่เราเริ่มใช้ JR pass ซึ่งก็คือเย็นของวันที่ 4 สิงหาคม ก็ด้วยเหตุที่ต้องนั่งชินกันเซ็นเข้าที่พักที่ Mihara นี่แหล่ะ
.
ปราสาทมิฮาระ และเมืองฝั่งตะวันตก
สถานีรถไฟอยู่ติดกับฐานของปราสาทมิฮาระ ซึ่งเหลือเพียงร่องรอยของฐานปราสาทเท่านั้น โดยสัญลักษณ์สำคัญของปราสาทนี้คือปลาคาร์ป และก็มีปลาคาร์ปว่ายอยู่ฝูงใหญ่ภายในสระรอบปราสาท ด้านบนของฐานปราสาทถูกปรับปรุงให้เป็นส่วนสาธารณะเล็กๆ ประชาชนสามารถขึ้นไปนั่งพักผ่อนได้ มองเห็นเมืองฝั่งตะวันตกนี้ไปได้ไกล ทางเข้าปราสาทคือทางออกหนึ่งของสถานีรถไฟครับ
.
.
โดยถ้ายึดเส้นทางรถไฟเป็นแกนกลาง เมืองจะถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นเทือกเขาและที่อยู่อาศัย รวมทั้งสถานที่ที่รองรับกิจกรรมของชาวเมือง ตั้งแต่โรงพยาบาล สถานที่ราชการ บ้าน อพาร์ทเม้นท์ โรงเรียนมัธยม สวนสาธารณะ วัด สุสาน ส่วนเมืองฝั่งตะวันออกจะติดทะเล และท่าเรือเมืองมิฮาระก็จะมีเรือเฟอร์รี่บริการเพื่อเดินทางไปยังเกาะต่างๆ ในบริเวณนั้นด้วย (ท่าเรือมิฮาระ = หมายเลข 1) และหนึ่งในนั้นคือเกาะกระต่าย okunoshima island (หมายเลข 4) แต่การเดินทางจากท่าเรือมิฮาระจะต้องโดยสารเรือที่จะแวะก่อนถึงเกาะกระต่าย 1 ครั้ง (จากหมายเลข 1 แวะ sunami หมายเลข 2) แล้วจึงเดินทางต่อ รอบเรือมีน้อย ค่าตั๋วเรือแพงกว่า ต่างกับถ้าเรานั่งรถไฟไปอีกสถานีหนึ่ง และขึ้นเรืออีกท่า (หมายเลข 3 สถานีรถไฟ JR Tadanoumi)
.
.
สถานี JR Tadanoumi station และเดินต่อไปราว 200 เมตรจะถึงท่าเรือที่มีรอบเรือค่อนข้างถี่กว่า ระยะในการนั่งเรือใกล้กว่ามาก ค่าโดยสารผู้ใหญ่ไปกลับ คนละ 720 เยน สามารถซื้อตั๋วเรือได้จากเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ ข้อมูลเพิ่มเติมของการเดินทางไปเกาะกระต่าย http://rabbit-island.info/en/ ส่วนเวปภาษาไทย https://www.jnto.or.th/newsletter/cute-rabbits-okunoshima-island/
.
เกาะกระต่ายหรือ okunoshima island
เกาะกลางทะเลห่างจากชายฝั่งเมืองมิฮาระในระยะเวลานั่งเรือไม่กี่นาที ที่เรียกว่าเกาะกระต่ายเนื่องจากมีกระต่ายป่าจำนวนมากอยู่บนเกาะ โดยกระต่ายเหล่านี้ว่ากันว่ามาจากกระต่ายในห้องทดลองที่ถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติในเวลาที่ห้องทดลองเหล่านั้นถูกยกเลิกการทำการทดลองไป
.
.
ใช่ครับ จริงๆ แล้วเกาะแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยย้อนกลับไปยุคจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ากันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำหนดเกาะนี้ให้เป็นเขตหวงห้าม และสร้างโรงงานผลิตแก๊สพิษขึ้นมาเพื่อใช้ในสงคราม ถึงขนาดกับลบเกาะนี้ออกจากแผนที่ประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกรับทราบความเป็นไปภายในเกาะ เมื่อกำหนดให้เป็นเขตความมั่นคงสูง จึงมีการสร้างป้อมค่ายและอาคารทางการทหารไว้โดยทั่วไป ซึ่งยังมีร่องรอยให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันอยู่ และนี่ก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งของเกาะนี้ที่นอกจากเข้ามาชมกระต่ายป่าคือการศึกษาประวัติศาสตร์
.
นอกจากนี้ยังมีอาคารสถานที่ที่เกี่ยวกับการผลิตอาวุธชีวภาพ (แก๊สพิษ) ยังมีบางอาคารถูกบูรณะไว้เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ในการจัดแสดงภาพจำลองในอดีตของที่นี่ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เกาะนี้ก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนอีกครั้ง พร้อมทั้งการปลดปล่อยสัตว์ทดลอง (กระต่าย) ให้มีชีวิตอย่างอิสระจวบจนปัจจุบัน
.
หลังจากที่นั่งเรือจากท่าเรือมาถึง จะสามารถนั่งรถ shuttle bus ของโรงแรมซึ่งมีเพียง 1 แห่งบนเกาะแห่งนี้ จะพักค้างก็ได้ครับ หรือเพียงแค่เช่าจักรยานซึ่งให้บริการอยู่บริเวณหน้าโรงแรมก็ได้ หรือถ้าใครจะทำแบบเราและนักท่องเที่ยวอีกหลายๆ คนก็ได้ คือการเดินเท้า มีเส้นทางชัดเจน กระต่ายจะออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับสภาพอากาศและอาหารในมือเรา เราซื้ออาหารเม็ดจากท่าเรือไปคนละ 1 ถุง ราคาถุงละ 100 เยน ซึ่งก็เพียงพอสำหรับกระต่ายที่เราเจอตลอดเส้นทาง กระต่ายมีมากบริเวณท่าเรือและแถวๆ สนามกีฬาซึ่งดูเหมือนจะร้างกิจกรรมมาสักระยะหนึ่ง ส่วนใหญ่จะแอบอยู่ใต้ต้นไม้ หรือรูบ้านของเค้า ต้องลองสอดส่องสายตาสักหน่อย
.
(ต่อในคอมเมนต์นะครับ)
-------------------------
คุณหมูยอ
เดินทาง 4-9 สิงหาคม 2566
บันทึก 19 สิงหาคม 2566
-------------------------