เคเบิ้ลทีวีถอยไปสตรีมมิ่งมาแล้ว
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
โดย อรรถภูมิ อองกุลนะ
ตั้งแต่การเปลี่ยนมือของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดรายการฟุตบอลระดับโลก เมื่อ 4-5 ปีก่อน ดูเหมือน Content เจ๋งๆ เริ่มมีสัญญาณการกระจายตัวที่มากขึ้น
ใช่... ในอดีตมันเคยกระจุก เพราะบ้านเราเคยมียักษ์ใหญ่ที่ผูกขาดตลาด Content อยู่ไม่กี่ราย... อาจแค่หนึ่งหรือเป็นสอง และใครๆ ก็พร้อมจ่ายเงินเป็นค่าสมาชิก แต่เชื่อไหม.ยุคนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะ Content ดีๆ ถูกกระจายไป และแน่นอนมันคือทางเลือกใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นธุระของผู้บริโภคเองที่ต้องหาแพลตฟอร์มรองรับเนื้อหาเหล่านั้น
สตรีมมิ่งมาแรง
ยกตัวอย่างเอาแค่ฟุตบอลอย่างเดียวก่อนหน้านี้ ถ้าใครอยากดูพรีเมียร์ลีกต้องเป็นสมาชิกเคเบิ้ลทีวีเจ้าหนึ่ง ถ้าอยากดูบอลสเปนต้องไปอีกเจ้า หรือถ้าอยากดูฟุตบอลอิตาลี ก็ต้องมีเจ้าที่สาม นี่ยังไม่นับลิขสิทธิ์ทัวร์นาเมนท์ใหญ่ๆ อย่าง ฟุตบอลยูโร ฟุตบอลโลก ซึ่งก่อนจะเริ่มแข่งขัน ต้องถามกันก่อนว่า ใครได้ลิขสิทธิ์ไปแล้ว "ฟรีทีวีธรรมดาๆ จะดูได้ไหม"
จากสถานการณ์ข้างต้น เมื่อผสมเข้ากับความแรงของอินเทอร์เน็ตบ้าน มันจึงเป็นโอกาสของ Content Hub ที่แจ้งเกิด เป็นกระแสดูทีวีผ่านเว็บบราวเซอร์ เช่นเดียวกับผู้บริโภค "สายหนัง" ที่ยอมละทิ้งร้านวีดิโอ-ซีดี ใกล้บ้าน เพื่อพึ่งบารมีของการดูผ่านอินเทอร์เน็ต โหลดซีรีส์ผ่าน BitTorrent ในช่วงหนึ่ง จึงถือเป็นยุคทองของการโหลดของฟรีลงในฮาร์ดดิสก์ความจุเยอะๆ ที่แต่ละคนพกติดตัวไว้
ความป๊อปข้างต้นเกิดขึ้น และยังดำรงอยู่ แต่มีทีท่าว่าจะโบกมือลาในอีกไม่นานนี้ เมื่อกระแสการชมผ่านระบบ วิดีโอสตรีมมิ่ง (Video Streaming) มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Iflix ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย หรือจะเป็น Online Movie Store อย่าง iTunes ที่สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลา เป็นการชมแบบ On Demand ที่เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคนดู
นพปฎล พลศิลป์ บล็อกเกอร์ นักจัดรายการ และนักวิจารณ์บันเทิงบอกว่า วีดิโอสตรีมมิ่ง มีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเสพ Content เปลี่ยนไป เพราะเมื่อดูได้ 'ทุกที่-ทุกเวลา' สอดคล้องกับแพล็ตฟอร์มผ่าน 'สมาร์ทโฟนแทบเลต' ที่ใครๆ ก็มี กระทั่งเนื้อหาที่แต่ละแอพพลิเคชั่นอัพเดทนั่นก็ใหม่กว่า สดกว่า เช่นนี้ การดูทีวีซึ่งต้องตรึงตัวเองไว้บนโซฟา จึงมีที่ว่างน้อยลง
"เมื่อผู้ให้บริการ ตอบสนองความต้องการเรื่องของ Content เหล่านี้ได้ ตลาดการดูวีดิโอ สตรีมมิ่ง จึงโตขึ้น การซื้อซีดีจึงน้อยลง จะตัดสินใจซื้อก็ต่อเมื่อมันเป็นของสะสม เป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจ หรือต้องการดูเนื้อหา เช่น ซีนพิเศษ หรือเบื้องหลังที่มากไปกว่าเนื้อหาปกติ"
จากกล่องเคเบิ้ลทีวี-เครื่องเล่นซีดีที่วางใกล้โทรทัศน์ มันจึงกลายเป็นยุคของกล่องแอนดรอยด์ ที่เปลี่ยนให้โทรทัศน์กลายเป็นสมาร์ททีวี เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อชมสิ่งที่อยากดูทุกอย่างบนโลกนี้ แบบไม่ง้อกล่องเคเบิ้ลทีวี ที่เคยมีอภิสิทธิ์การเข้าถึงเนื้อหาเช่นในวันก่อน
IPTV กล่องทีวีสีเทา
นวัตกรรมอาจมีจุดเริ่มต้นจากไอเดียเล็กๆ ที่มุมใดมุมหนึ่งในร้านกาแฟ แต่เชื่อไหม. ไม่ว่าจะโลกสวยหรือมองในแง่ร้าย จุดสิ้นสุดของมันกลับอยู่ที่ตลาดไอทีใหญ่ๆ ในห้างสรรพสินค้า อย่าง พันทิพย์, ฟอร์จูน, เซียร์รังสิต ฯลฯ
เปล่า.เ ราไม่ได้ว่าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยของปลอม เพียงแต่เมื่อมันเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้าไอทีขนาดใหญ่ มันก็ย่อมเป็นไปได้ว่า จะเจอทางเลือกอะไรแปลกๆ สนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งที่ขาวสนิท หรือดำๆ เทาๆ
ลองคิดถึงแผ่นเพลง-แผ่นหนังที่จ่ายไม่ถึงร้อย ก็สามารถฟังเพลงฮิตได้ครบอัลบั้ม จากแผ่น mp3 คิดถึงเกมลิขสิทธิ์ที่ต้อง Crack ก่อนถึงจะได้เล่นเช่นเดียวกันกับกล่อง IPTV (Internet Protocol Television) ซึ่งทำหน้าที่สตรีมมิ่งเนื้อหา นี่ก็เช่นกัน ขณะนี้เกิดปรากฏการณ์มีพ่อค้าหัวใสดูดเนื้อหาจากหลายต้นทางเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ พร้อมปล่อยให้สมาชิกที่เสียค่าบริการรับชมไปแล้วแบบไม่อั้น ภายในระยะเวลาที่เสียค่าสมาชิก ไม่ต่างอะไรจากการรวมผู้ให้บริการวิดีโอ สตรีมมิ่งทุกเจ้าเข้าด้วยกัน
เจ้าของร้านขายกล่อง IPTV ในตลาดไอที บอกว่า มีผู้ซื้อเข้ามาสอบถามการติดตั้งกล่อง IPTV ทุกวัน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขายได้ประมาณ 3,000 กล่อง และดูมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาจากกระแสซีรีส์
"ใครๆ ก็อยากดูของดี และจ่ายถูก แค่กล่องเดียวมีครบ ดูบอลได้ทุกลีก จะดูซีรีส์ หรือดูหนังนั่นมีหมด คนในวงการรู้กันว่า ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยรวมๆ แล้วมีประมาณ 200 เจ้าได้ แต่ถ้าได้รับความนิยม และรู้จักกันดี ก็น่าจะมีสัก 10 กว่าราย ส่วนใหญ่เก็บค่าบริการเดือนละ 200-300 บาท ดูเท่าไรก็ได้ภายในระยะเวลา 30 วัน พอหมดแล้วก็ต่ออายุใหม่ ส่วนใครจ่ายเหมาเป็นราย 3-6 เดือน ก็จะมีโปรโมชั่นถูกกว่า"
ผู้ประกอบการอีกราย ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดไอที ตั้งแต่ยุค MP3, ยุคกล่องเคเบิ้ลทีวีเถื่อน และดรีมบ็อกซ์ วิเคราะห์ว่า คุณสมบัติของ IPTV เอื้อต่อผู้ให้บริการนอกระบบมากขึ้น เพราะระบบนี้ไม่มีความยุ่งยาก ไม่ต้องติดตั้งจานดาวเทียม โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมที่มีข้อจำกัดในพื้นที่ การใช้กล่อง IPTV จึงสะดวกกว่ามาก ผู้อยู่ในคอนโดจึงเป็นกลุ่มลูกค้าหลักๆ ของการติดตั้ง IPTV ทั้งที่จดทะเบียนถูกกฎหมาย และไม่จด
ส่วนกรณีดังกล่าวเชื่อว่าทุกคนรู้ดีเพราะนี่คือพื้นที่สีเทา ซึ่งต้องระวัง โดยเฉพาะผู้ให้บริการที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีได้ทุกเมื่อ นั่นหมายความว่าแม้ลูกค้าจะจ่ายค่าบริการครบถ้วนทุกเดือน หากแต่เมื่อผู้ประกอบการโดนจับ ก็ไม่มีกลไกเรียกร้องใดๆ จะรองรับทั้งสิ้น
ผู้ใช้บริการคนหนึ่ง สะท้อนว่า มัน "คุ้มค่า" มาก นั่นเพราะจ่ายค่ากล่อง IPTV ไม่เกิน 2,800 บาท บวกค่าสมาชิกไม่กี่ร้อย ก็จะได้ดูเนื้อหาที่ครบ ทั้งฟรีทีวีภาพยนตร์ ซีรีส์ กระทั่งผู้ประกอบการบางรายยังเอาใจลูกค้าด้วยการหา Content เด่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปวีดิโอบนยูทูบ ละครย้อนหลัง ไว้รองรับความต้องการ กล่อง IPTV จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
"ทุกคนรู้ว่าผิดกฎหมายครับ แต่ถามหน่อยครับ จ่ายแค่ 200-300 บาท ได้ดูทั้งบอล ทั้งหนัง คลิปในยูทูบ มันก็น่าเสี่ยงไม่ใช่เหรอ อย่าง Game of Throne ซีซั่น 6 ที่เพิ่งจบไป.ไปๆ มาๆ ดูในกล่อง IPTV ยังเร็วกว่าดูในเคเบิ้ลทีวีที่ผมเป็นสมาชิกมาก่อนด้วยซ้ำ ผมว่าทุกคนรู้ว่า มันไม่แน่นอน ไม่มีบริการสมาชิกหลังการขายเหมือนเคเบิ้ลทีวี แต่ก็พร้อมที่จะรับความเสี่ยงตรงนั้น เพราะเป็นราคาที่จ่ายได้ และอาจจะยืนยันได้ว่าคนไทยไม่ได้อยากดูแค่ของฟรีเท่านั้น ถ้ามันดีจริง ราคาน่าสนใจ ทุกคนก็พร้อม ไม่ว่ามันจะถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม"
ตลาดไอทีซึ่งคับคั่งไปด้วยอุปกรณ์รองรับความบันเทิงแบบ Home Entertainment จึงมีที่ว่างสำหรับกล่อง IPTV รอให้บรรดาลูกค้าสอบถาม และน่าจะเป็นกระแสนิยมอีกนานในยุคที่อินเทอร์เน็ตคือต้นทางของทุกอย่าง
จับตาตลาด IPTV
บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งที่ให้บริการกล่อง IPTV ให้ข้อมูลว่าหลังการเปิดตัวกล่อง IPTV เมื่อ3 ปีก่อน จนถึงปัจจุบัน (ก.ค.59) มียอดสมาชิกผู้ใช้บริการประมาณ 2 แสนราย โดยการทำตลาดของทีโอที จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตบ้าน จากนั้นจึงได้แพ็คเกจดูทีวีผ่านกล่อง ซึ่งรองรับได้ทั้งช่องทีวีดิจิตอล และช่องทีวีพื้นฐาน รวม กว่า 100 ช่อง รวมถึงภาพยนตร์และสารคดีที่ซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาส่วนจากนั้นหากใครอยากมีทางเลือกเพิ่มก็สามารถอัพเกรดแพ็กเกจเสริม ซึ่งมีราคาเพิ่มเติมตามโปรโมชั่นไป
ลักษณะข้างต้นนี้ คล้ายกับผู้ให้บริการที่มีอยู่ อาทิ กล่อง AIS PLAYBOX กล่อง 3 BB IPTV และอีกหลายผู้ประกอบการ ซึ่งจะเสนอโปรโมชั่นเปลี่ยนระบบอินเทอร์เน็ตบ้าน จาก ADSL เป็นผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานมัลติมีเดียเต็มรูปแบบ มีเสถียรภาพสูง ทำให้การดูโทรทัศน์ผ่านกล่อง IPTV กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ถึงเช่นนั้นผู้ประกอบการตามกฎหมายในประเทศยังต้องปรับอีกมาก ทั้งยังต้องเผชิญกับค่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ทั้งใหม่และเก่า ซึ่งมีราคาสูง ทำให้ยากในการเพิ่ม Content สนองความต้องการของผู้ชมได้แบบที่ผู้ประกอบการลักลอบทำ
จะพอมีที่ยืนได้ก็น่าจะเป็นเจ้าใหญ่จากต่างประเทศ อย่าง Netflix หรือ iflix ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเข้าถึงง่าย ราคาสมเหตุสมผล สามารถทดลองใช้บริการฟรีได้ 30 วัน โดยไม่เรียกหาตัวเลขบนบัตรเครดิต และแม้ภาพยนตร์ที่ให้บริการ จะไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่ก็มาพร้อมกับ Content ที่หาชมได้ยาก มีคำบรรยายภาษาไทย สำหรับกลุ่มผู้ชมในประเทศไทยโดยเฉพาะ
นอกจากกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์ของเนื้อหาแล้ว ผศ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ลักษณะการแข่งขันทางธุรกิจจึงพลิกโฉมไปด้วย ยกตัวอย่างการเกิดขึ้นของผู้ให้บริการวิดีโอ สตรีมมิ่งนอกระบบที่มากขึ้น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในระบบ เพราะมีผลต่อการแข่งขันและการเกิดขึ้นของผู้เล่นรายใหม่ในอนาคต
มันจึงเป็นการปรับตัวของผู้เกี่ยวข้องทุกส่วน บนเส้นทางของ "ความอยากดูพร้อมสนองตอบ" ซึ่งนำมาด้วยธุรกิจใหม่ๆ ในทุกยุค
"ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์ตรวจพบได้ เกิดการบล็อกสัญญาณทิ้ง ก็คงโดนลอยแพ วันนั้นค่อยกลับมาเลือกกล่อง IPTV ในระบบ ว่าเจ้าไหนดีกว่า มีหนังมากกว่า ถูกกว่า แต่ที่แน่ๆ กล่องเคเบิ้ลที่ดูกันเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาเลิกดูกันแล้ว" ผู้บริโภครายหนึ่ง ที่เคยมีกล่องสมาชิกเคเบิ้ลทีวีมากกว่า 4 กล่องบอก
ถึงบอกว่าอย่างอื่นหลบไปก่อน เพราะทีวีสตรีมมิ่งในกล่อง IPTV เขามาแรงจริง
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 1)
เคเบิ้ลทีวีถอยไปสตรีมมิ่งมาแล้ว
เคเบิ้ลทีวีถอยไปสตรีมมิ่งมาแล้ว
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
โดย อรรถภูมิ อองกุลนะ
ตั้งแต่การเปลี่ยนมือของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดรายการฟุตบอลระดับโลก เมื่อ 4-5 ปีก่อน ดูเหมือน Content เจ๋งๆ เริ่มมีสัญญาณการกระจายตัวที่มากขึ้น
ใช่... ในอดีตมันเคยกระจุก เพราะบ้านเราเคยมียักษ์ใหญ่ที่ผูกขาดตลาด Content อยู่ไม่กี่ราย... อาจแค่หนึ่งหรือเป็นสอง และใครๆ ก็พร้อมจ่ายเงินเป็นค่าสมาชิก แต่เชื่อไหม.ยุคนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะ Content ดีๆ ถูกกระจายไป และแน่นอนมันคือทางเลือกใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นธุระของผู้บริโภคเองที่ต้องหาแพลตฟอร์มรองรับเนื้อหาเหล่านั้น
สตรีมมิ่งมาแรง
ยกตัวอย่างเอาแค่ฟุตบอลอย่างเดียวก่อนหน้านี้ ถ้าใครอยากดูพรีเมียร์ลีกต้องเป็นสมาชิกเคเบิ้ลทีวีเจ้าหนึ่ง ถ้าอยากดูบอลสเปนต้องไปอีกเจ้า หรือถ้าอยากดูฟุตบอลอิตาลี ก็ต้องมีเจ้าที่สาม นี่ยังไม่นับลิขสิทธิ์ทัวร์นาเมนท์ใหญ่ๆ อย่าง ฟุตบอลยูโร ฟุตบอลโลก ซึ่งก่อนจะเริ่มแข่งขัน ต้องถามกันก่อนว่า ใครได้ลิขสิทธิ์ไปแล้ว "ฟรีทีวีธรรมดาๆ จะดูได้ไหม"
จากสถานการณ์ข้างต้น เมื่อผสมเข้ากับความแรงของอินเทอร์เน็ตบ้าน มันจึงเป็นโอกาสของ Content Hub ที่แจ้งเกิด เป็นกระแสดูทีวีผ่านเว็บบราวเซอร์ เช่นเดียวกับผู้บริโภค "สายหนัง" ที่ยอมละทิ้งร้านวีดิโอ-ซีดี ใกล้บ้าน เพื่อพึ่งบารมีของการดูผ่านอินเทอร์เน็ต โหลดซีรีส์ผ่าน BitTorrent ในช่วงหนึ่ง จึงถือเป็นยุคทองของการโหลดของฟรีลงในฮาร์ดดิสก์ความจุเยอะๆ ที่แต่ละคนพกติดตัวไว้
ความป๊อปข้างต้นเกิดขึ้น และยังดำรงอยู่ แต่มีทีท่าว่าจะโบกมือลาในอีกไม่นานนี้ เมื่อกระแสการชมผ่านระบบ วิดีโอสตรีมมิ่ง (Video Streaming) มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Iflix ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย หรือจะเป็น Online Movie Store อย่าง iTunes ที่สามารถดูได้ทุกที่ ทุกเวลา เป็นการชมแบบ On Demand ที่เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคนดู
นพปฎล พลศิลป์ บล็อกเกอร์ นักจัดรายการ และนักวิจารณ์บันเทิงบอกว่า วีดิโอสตรีมมิ่ง มีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเสพ Content เปลี่ยนไป เพราะเมื่อดูได้ 'ทุกที่-ทุกเวลา' สอดคล้องกับแพล็ตฟอร์มผ่าน 'สมาร์ทโฟนแทบเลต' ที่ใครๆ ก็มี กระทั่งเนื้อหาที่แต่ละแอพพลิเคชั่นอัพเดทนั่นก็ใหม่กว่า สดกว่า เช่นนี้ การดูทีวีซึ่งต้องตรึงตัวเองไว้บนโซฟา จึงมีที่ว่างน้อยลง
"เมื่อผู้ให้บริการ ตอบสนองความต้องการเรื่องของ Content เหล่านี้ได้ ตลาดการดูวีดิโอ สตรีมมิ่ง จึงโตขึ้น การซื้อซีดีจึงน้อยลง จะตัดสินใจซื้อก็ต่อเมื่อมันเป็นของสะสม เป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจ หรือต้องการดูเนื้อหา เช่น ซีนพิเศษ หรือเบื้องหลังที่มากไปกว่าเนื้อหาปกติ"
จากกล่องเคเบิ้ลทีวี-เครื่องเล่นซีดีที่วางใกล้โทรทัศน์ มันจึงกลายเป็นยุคของกล่องแอนดรอยด์ ที่เปลี่ยนให้โทรทัศน์กลายเป็นสมาร์ททีวี เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อชมสิ่งที่อยากดูทุกอย่างบนโลกนี้ แบบไม่ง้อกล่องเคเบิ้ลทีวี ที่เคยมีอภิสิทธิ์การเข้าถึงเนื้อหาเช่นในวันก่อน
IPTV กล่องทีวีสีเทา
นวัตกรรมอาจมีจุดเริ่มต้นจากไอเดียเล็กๆ ที่มุมใดมุมหนึ่งในร้านกาแฟ แต่เชื่อไหม. ไม่ว่าจะโลกสวยหรือมองในแง่ร้าย จุดสิ้นสุดของมันกลับอยู่ที่ตลาดไอทีใหญ่ๆ ในห้างสรรพสินค้า อย่าง พันทิพย์, ฟอร์จูน, เซียร์รังสิต ฯลฯ
เปล่า.เ ราไม่ได้ว่าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยของปลอม เพียงแต่เมื่อมันเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนสินค้าไอทีขนาดใหญ่ มันก็ย่อมเป็นไปได้ว่า จะเจอทางเลือกอะไรแปลกๆ สนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งที่ขาวสนิท หรือดำๆ เทาๆ
ลองคิดถึงแผ่นเพลง-แผ่นหนังที่จ่ายไม่ถึงร้อย ก็สามารถฟังเพลงฮิตได้ครบอัลบั้ม จากแผ่น mp3 คิดถึงเกมลิขสิทธิ์ที่ต้อง Crack ก่อนถึงจะได้เล่นเช่นเดียวกันกับกล่อง IPTV (Internet Protocol Television) ซึ่งทำหน้าที่สตรีมมิ่งเนื้อหา นี่ก็เช่นกัน ขณะนี้เกิดปรากฏการณ์มีพ่อค้าหัวใสดูดเนื้อหาจากหลายต้นทางเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ พร้อมปล่อยให้สมาชิกที่เสียค่าบริการรับชมไปแล้วแบบไม่อั้น ภายในระยะเวลาที่เสียค่าสมาชิก ไม่ต่างอะไรจากการรวมผู้ให้บริการวิดีโอ สตรีมมิ่งทุกเจ้าเข้าด้วยกัน
เจ้าของร้านขายกล่อง IPTV ในตลาดไอที บอกว่า มีผู้ซื้อเข้ามาสอบถามการติดตั้งกล่อง IPTV ทุกวัน โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขายได้ประมาณ 3,000 กล่อง และดูมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาจากกระแสซีรีส์
"ใครๆ ก็อยากดูของดี และจ่ายถูก แค่กล่องเดียวมีครบ ดูบอลได้ทุกลีก จะดูซีรีส์ หรือดูหนังนั่นมีหมด คนในวงการรู้กันว่า ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในประเทศไทยรวมๆ แล้วมีประมาณ 200 เจ้าได้ แต่ถ้าได้รับความนิยม และรู้จักกันดี ก็น่าจะมีสัก 10 กว่าราย ส่วนใหญ่เก็บค่าบริการเดือนละ 200-300 บาท ดูเท่าไรก็ได้ภายในระยะเวลา 30 วัน พอหมดแล้วก็ต่ออายุใหม่ ส่วนใครจ่ายเหมาเป็นราย 3-6 เดือน ก็จะมีโปรโมชั่นถูกกว่า"
ผู้ประกอบการอีกราย ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดไอที ตั้งแต่ยุค MP3, ยุคกล่องเคเบิ้ลทีวีเถื่อน และดรีมบ็อกซ์ วิเคราะห์ว่า คุณสมบัติของ IPTV เอื้อต่อผู้ให้บริการนอกระบบมากขึ้น เพราะระบบนี้ไม่มีความยุ่งยาก ไม่ต้องติดตั้งจานดาวเทียม โดยเฉพาะผู้อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมที่มีข้อจำกัดในพื้นที่ การใช้กล่อง IPTV จึงสะดวกกว่ามาก ผู้อยู่ในคอนโดจึงเป็นกลุ่มลูกค้าหลักๆ ของการติดตั้ง IPTV ทั้งที่จดทะเบียนถูกกฎหมาย และไม่จด
ส่วนกรณีดังกล่าวเชื่อว่าทุกคนรู้ดีเพราะนี่คือพื้นที่สีเทา ซึ่งต้องระวัง โดยเฉพาะผู้ให้บริการที่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีได้ทุกเมื่อ นั่นหมายความว่าแม้ลูกค้าจะจ่ายค่าบริการครบถ้วนทุกเดือน หากแต่เมื่อผู้ประกอบการโดนจับ ก็ไม่มีกลไกเรียกร้องใดๆ จะรองรับทั้งสิ้น
ผู้ใช้บริการคนหนึ่ง สะท้อนว่า มัน "คุ้มค่า" มาก นั่นเพราะจ่ายค่ากล่อง IPTV ไม่เกิน 2,800 บาท บวกค่าสมาชิกไม่กี่ร้อย ก็จะได้ดูเนื้อหาที่ครบ ทั้งฟรีทีวีภาพยนตร์ ซีรีส์ กระทั่งผู้ประกอบการบางรายยังเอาใจลูกค้าด้วยการหา Content เด่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปวีดิโอบนยูทูบ ละครย้อนหลัง ไว้รองรับความต้องการ กล่อง IPTV จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
"ทุกคนรู้ว่าผิดกฎหมายครับ แต่ถามหน่อยครับ จ่ายแค่ 200-300 บาท ได้ดูทั้งบอล ทั้งหนัง คลิปในยูทูบ มันก็น่าเสี่ยงไม่ใช่เหรอ อย่าง Game of Throne ซีซั่น 6 ที่เพิ่งจบไป.ไปๆ มาๆ ดูในกล่อง IPTV ยังเร็วกว่าดูในเคเบิ้ลทีวีที่ผมเป็นสมาชิกมาก่อนด้วยซ้ำ ผมว่าทุกคนรู้ว่า มันไม่แน่นอน ไม่มีบริการสมาชิกหลังการขายเหมือนเคเบิ้ลทีวี แต่ก็พร้อมที่จะรับความเสี่ยงตรงนั้น เพราะเป็นราคาที่จ่ายได้ และอาจจะยืนยันได้ว่าคนไทยไม่ได้อยากดูแค่ของฟรีเท่านั้น ถ้ามันดีจริง ราคาน่าสนใจ ทุกคนก็พร้อม ไม่ว่ามันจะถูกกฎหมายหรือไม่ก็ตาม"
ตลาดไอทีซึ่งคับคั่งไปด้วยอุปกรณ์รองรับความบันเทิงแบบ Home Entertainment จึงมีที่ว่างสำหรับกล่อง IPTV รอให้บรรดาลูกค้าสอบถาม และน่าจะเป็นกระแสนิยมอีกนานในยุคที่อินเทอร์เน็ตคือต้นทางของทุกอย่าง
จับตาตลาด IPTV
บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งที่ให้บริการกล่อง IPTV ให้ข้อมูลว่าหลังการเปิดตัวกล่อง IPTV เมื่อ3 ปีก่อน จนถึงปัจจุบัน (ก.ค.59) มียอดสมาชิกผู้ใช้บริการประมาณ 2 แสนราย โดยการทำตลาดของทีโอที จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตบ้าน จากนั้นจึงได้แพ็คเกจดูทีวีผ่านกล่อง ซึ่งรองรับได้ทั้งช่องทีวีดิจิตอล และช่องทีวีพื้นฐาน รวม กว่า 100 ช่อง รวมถึงภาพยนตร์และสารคดีที่ซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาส่วนจากนั้นหากใครอยากมีทางเลือกเพิ่มก็สามารถอัพเกรดแพ็กเกจเสริม ซึ่งมีราคาเพิ่มเติมตามโปรโมชั่นไป
ลักษณะข้างต้นนี้ คล้ายกับผู้ให้บริการที่มีอยู่ อาทิ กล่อง AIS PLAYBOX กล่อง 3 BB IPTV และอีกหลายผู้ประกอบการ ซึ่งจะเสนอโปรโมชั่นเปลี่ยนระบบอินเทอร์เน็ตบ้าน จาก ADSL เป็นผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานมัลติมีเดียเต็มรูปแบบ มีเสถียรภาพสูง ทำให้การดูโทรทัศน์ผ่านกล่อง IPTV กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ถึงเช่นนั้นผู้ประกอบการตามกฎหมายในประเทศยังต้องปรับอีกมาก ทั้งยังต้องเผชิญกับค่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ทั้งใหม่และเก่า ซึ่งมีราคาสูง ทำให้ยากในการเพิ่ม Content สนองความต้องการของผู้ชมได้แบบที่ผู้ประกอบการลักลอบทำ
จะพอมีที่ยืนได้ก็น่าจะเป็นเจ้าใหญ่จากต่างประเทศ อย่าง Netflix หรือ iflix ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการเข้าถึงง่าย ราคาสมเหตุสมผล สามารถทดลองใช้บริการฟรีได้ 30 วัน โดยไม่เรียกหาตัวเลขบนบัตรเครดิต และแม้ภาพยนตร์ที่ให้บริการ จะไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องใหม่ แต่ก็มาพร้อมกับ Content ที่หาชมได้ยาก มีคำบรรยายภาษาไทย สำหรับกลุ่มผู้ชมในประเทศไทยโดยเฉพาะ
นอกจากกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์ของเนื้อหาแล้ว ผศ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคและเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ลักษณะการแข่งขันทางธุรกิจจึงพลิกโฉมไปด้วย ยกตัวอย่างการเกิดขึ้นของผู้ให้บริการวิดีโอ สตรีมมิ่งนอกระบบที่มากขึ้น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในระบบ เพราะมีผลต่อการแข่งขันและการเกิดขึ้นของผู้เล่นรายใหม่ในอนาคต
มันจึงเป็นการปรับตัวของผู้เกี่ยวข้องทุกส่วน บนเส้นทางของ "ความอยากดูพร้อมสนองตอบ" ซึ่งนำมาด้วยธุรกิจใหม่ๆ ในทุกยุค
"ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์ตรวจพบได้ เกิดการบล็อกสัญญาณทิ้ง ก็คงโดนลอยแพ วันนั้นค่อยกลับมาเลือกกล่อง IPTV ในระบบ ว่าเจ้าไหนดีกว่า มีหนังมากกว่า ถูกกว่า แต่ที่แน่ๆ กล่องเคเบิ้ลที่ดูกันเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาเลิกดูกันแล้ว" ผู้บริโภครายหนึ่ง ที่เคยมีกล่องสมาชิกเคเบิ้ลทีวีมากกว่า 4 กล่องบอก
ถึงบอกว่าอย่างอื่นหลบไปก่อน เพราะทีวีสตรีมมิ่งในกล่อง IPTV เขามาแรงจริง
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 1)