ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้นทาง HP ได้ทำการเปิดตัวโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ออกมาหลายรุ่นด้วยกัน โดยหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจมากที่สุดคงจะหนี่ไม่พ้น HP Spectre ปี 2016 กับโน๊ตบุ๊คขนาดจอ 13.3 นิ้ว เป็น Ultrabook ที่มาพร้อมกับตัวเครื่องที่บางที่สุดในโลก ณ เวลานี้ ซึ่งอยู่ที่ 10.4 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่าได้กับขนาดของถ่านแบบ AAA เท่านั้นเอง เหนือสิ่งอื่นใด HP Spectre ปี 2016 ยังเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ใช้โลโก้ใหม่ของทาง HP อีกด้วย
ซึ่งนอกจากจะเป็นโน๊ตบุ๊คที่บางที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้แล้ว HP Spectre ยังมาพร้อมกับสเปคที่เรียกได้ว่าน่าจะพอใจผู้ใช้ในระดับบนหรือผู้ใช้ทางด้านธุรกิจ เพราะชิปประมวลผลเป็น Core i7 ที่ต้องการตัวเครื่องโน๊ตบุ๊คในการเพิ่มความหรูหราให้กับการทำงาน สนนราคาขายในไทยอยู่ที่ 69,990 บาท (ขายเพียงสเปกเดียว ราคาเดียวเท่านั้น)
HP Spectre เป็นโน๊ตบุ๊คชิปประมวลผล Core i7 ที่มีความบางที่สุดในโลก คือ ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะในส่วนของโน้ตบุ๊คที่เป็น Core m บางรุ่นนั้นจะมีความบางที่มากกว่านั่นเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าจากการที่ดีไซน์ไม่มีพัดลม (Fanless) ก็ทำให้ยังไงประสิทธิภาพการทำงานของ Core m นั้นสู้ Core i ไม่ได้เลย หากวัดกันจริงๆ โดยใช้เป็นรุ่น Intel Core i7-6500U (2.5GHz, turbo up to 3.1GHz) ที่แม้เป็นรหัส U แต่ความแรงก็พอตัว ส่วนสเปกอื่นของ HP Spectre ก็มีดังต่อไปนี้
หน่วยความจำแรมมีขนาดที่ 8GB และใช้ฮาร์ดดิสก์ SSD ความเร็วสูงแบบ PCIe ที่ความจุ 512GB แน่นอนว่าชิปกราฟิกเป็นแบบฝังบนหน่วยประมวลผล (ออนบอร์ด) ส่วนหน้าจอขนาด 13.3 นิ้วรองรับความละเอียดระดับ Full HD มาพร้อมกระจกกันจอของ Corning Gorilla รองรับระบบเชื่อมต่อไร้สาย 802.11 ac 2×2 Wi-Fi ที่สำคัญมาพร้อมกับ USB Type-C (Thunderbolt V3) จำนวนมากถึง 3 พอร์ท ระบบลำโพงเสียงจาก Bang & Olufsen
แบตเตอรี่ได้รับการออกแบบใหม่เป็นแบบ 2 ชั้นรองรับกับความบางของตัวเครื่องโดยสามารถที่จะใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 9.5 ชั่วโมง ทำให้ออกแบบตัวเครื่องให้มีความบางเพียง 10.4 มิลลิเมตรได้ และมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.11 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งถือว่าเบาแบบสุดๆ ไปเลยกับขนาดหน้าจอ 13.3" แบบนี้ มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 Professional ส่วนการรับประกันก็ 2 ปี แบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน เป็นอะไรที่ดีมากๆ
นอกไปจากความน่าประทับใจเรื่องของความบางและน้ำหนักแล้ว HP Spectre ยังมาพร้อมกับความหรูหราของตัวเครื่องเป็นอย่างมากเลยทีเดียว วัสดุที่เห็นจากด้านนอกก็คือคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีลักษณะผิวด้าน บวกกับแนวขอบบานพับที่เป็นโลหะเคลือบผิวทองแดงมันเงาที่ด้านหลัง และโลโก้ HP ที่มีการออกแบบมาใหม่เพื่อเครื่องระดับพรีเมี่ยมโดยเฉพาะ ทำให้รู้สึกหรูหราเหมือนเป็นเครื่องประดับมากกว่าที่จะเป็นเครื่องโน้ตบุ๊กปกติ
นอกจากนี้เรื่องของดีไซน์ขอบบานพับหน้าจอ ที่จะเป็นลักษณ์วงแหวน ยกจอขึ้นมาเป็นแนวโค้ง เก๋ไก๋ไฉไลสุดๆ ไม่เหมือนใคร ดูหรูหราเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนตัวหน้าจอก็จะเป็นกระจกแบบขอบชนขอบแผ่นเดียว จาก Corning Gorilla เพิ่มความหรูหราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวัสดุที่เลือกใช้ แต่ความละเอียดหน้าจอดูจะน้อยไปสักนิด เพราะระบุไว้เป็น Full HD เท่านั้น ดูจะน้อยไปหน่อยสำหรับเครื่องระดับ High End ในปัจจุบัน (แต่ก็เข้าใจว่าถ้ามากกว่านี้ อาจจะทำให้ระบบโดยรวมไม่ลื่นไหล)
ส่วนด้านในตัวเครื่องก็จะมีจุดเด่นที่ช่องลำโพงแนวยาวด้านข้างคีย์บอร์ดทั้งสองข้างเพิ่มความพรีเมี่ยมเข้าไปอีก โดยภายในก็ใช้ลำโพงจาก BANG & OLUFEN เจ้าประจำนั่นเองที่ให้เสียงคุณภาพและมีมิติเหนือกว่าลำโพงทั่วไปแบบรู้สึกได้ในการฟังครั้งแรก ส่วนคีย์บอร์ดก็ให้การตอบสนองในการพิมพ์ที่ดี แป้มพิมพ์มีขนาดใหญ่ ปุ่มเด้งรับกับนิ้วดีมาก และมีไฟ Backlit ส่องสว่างในที่มืดให้เห็นได้ชัดเจน สำหรับทัชแพดเป็นรูปแบบของกระจกที่ดูแล้วหรูหราสัมผัสดี มีความน่าประทับใจไม่แพ้กัน
ด้วยคุณสมบัติตามที่ว่ามานั้นทำให้ HP Spectre ค่อนข้างที่จะน่าพอใจเป็นอย่างมากเมื่อพูดถึงการใช้งานสำหรับนักธุรกิจที่ต้องการโน้ตบุ๊คที่บางเบาที่สุด แต่ยังคงประสิทธิภาพที่ดีที่สุดไว้อยู่ จากการเลือกใช้ Intel Core i แทนที่จะใช้ Intel Core m ทำให้เมื่อเทียบกับทางฝั่ง MacBook แล้วนั้น HP Spectre ดูจะน่าใช้งานมากกว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความร้อนในการใช้งานนั้นผู้ใช้ไม่มีความจำเป็นจะต้องกังวลแต่อย่างใดเนื่องจาก HP Spectre นั้นมาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Hyperbaric Cooling System ที่มีพัดลมระบายความร้อนสำหรับระบายความร้อนตัวเครื่องทางด้านล่างจำนวน 2 ตัวด้วยกัน
ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 4 เซลล์ที่ ซึ่งทาง HP อออกมามาใหม่นั้นทำให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานแบบต่อเนื่องได้ยาวนานกว่า 9 ชั่วโมง อีกทั้งบนตัวเครื่องยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีพอร์ตใหม่อย่าง USB Type-C จำนวน 3 พอร์ตซึ่งถือว่ารองรับการใช้งานได้อย่างครบครันผ่านทางตัวแปลงมากมายของทาง HP เอง
เปรียบเทียบในส่วนของความบางของตัวเครื่อง HP Spectre ที่เมื่อเทียบกับเครื่องรุ่นอื่นๆ แล้วถือว่าบางกว่าพอสมควรเลยทีเดียวสมกับเป็นจุดเด่นของ HP Spectre โดยสิ่งที่น่าพอใจเป็นอย่างมากนั้นก็คือเรื่องของระบบระบายความร้อนแบบ Hyperbaric Cooling System ที่ทำให้ HP Spectre นั้นยังคงสามารถที่จะมาพร้อมกับชิปประมวลผลที่แรงๆ อย่าง Intel Core i7 ได้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะบางมากก็ตามที
ส่วนอื่นๆ ที่น่าประทับใจไม่แพ้กันด็จะเป็นในส่วนของ บานพับแบบพิเศษซึ่งออกแบบมาได้เป็นอย่างดีทำให้ HP Spectre มีความแข็งแรงทนทานในเรื่องของบานพับแตกต่างไปจากโน๊ตบุ๊คแบบ Ultrabook เครื่องรุ่นอื่นๆ เรียกได้ว่าใครกำลังมองหาโน้ตบุ๊คประเภท Ultrabook ซึ่งมาชิปประมวลผล Core i7 ที่บางเบาที่สุดในโลก ณ เวลานี้อยู่ล่ะก็ HP Spectre ปี 2016 น่าจะตอบโจทย์ที่สุดแล้วล่ะ ในราคาที่คู่ควร โดยอยู่ที่ 69,990 บาท
จุดเด่น
เป็นโน้ตบุ๊กขนาด 13..3 นิ้ว มีความบางสุดน้ำหนักเบาที่สุด ที่เป็นชิป Core i7
มีประสิทธิภาพโดยรวมที่ดี ด้วยชิปประมวลผล Core i7, แรม 8GB และ SSD 512GB
หน้าจอจอความละเอียด Full HD พาเนล IPS ให้สีสันที่ดี มุมมองกว้าง
เปิดเครื่องหรือตื่นจากโหมด Sleep, Boot เครื่อง และเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้อย่างรวดเร็ว
ดีไซน์การออกแบบสวยและงานประกอบมีความประณีต ดูหรูหราและโดดเด่น
ใช้วัสดุชั้นดีอย่างคาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียมทำให้ตัวเครื่องแข็งแรง
มีไฟ Backlit Keyboard รวมถึงใช้งานได้เป็นอย่างดี
มีช่องทางเชื่อมต่อความเร็วสูงรุ่นล่าสุดอย่าง USB Type-C จำนวน 3 พอร์ต
ระบบระบายความร้อนทำงานได้เป็นอย่างดี
ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานประมาณ 9 ชั่วโมง
มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Professional ลิขสิทธิ์ใช้งานได้ทันที
รับประกันอยู่ที่ 2 ปี พร้อมบริการ On-site Service
ข้อสังเกต
สเปกไม่ค่อยมีความคุ้มค่ามากนัก เมื่อเทียบกับ Ultrabook รุ่นอื่นๆ
ไม่สามารถอัพเกรดใดๆ ได้เลยในภายหลัง
ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ
[SR] HP Spectre 2016 : Hi-end Ultrabook กับการ Beyond ไปสู่การเป็นโน้ตบุ๊ค Core i บางเบาที่สุดในโลก ! ราคา 69,990 บาท
ซึ่งนอกจากจะเป็นโน๊ตบุ๊คที่บางที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันนี้แล้ว HP Spectre ยังมาพร้อมกับสเปคที่เรียกได้ว่าน่าจะพอใจผู้ใช้ในระดับบนหรือผู้ใช้ทางด้านธุรกิจ เพราะชิปประมวลผลเป็น Core i7 ที่ต้องการตัวเครื่องโน๊ตบุ๊คในการเพิ่มความหรูหราให้กับการทำงาน สนนราคาขายในไทยอยู่ที่ 69,990 บาท (ขายเพียงสเปกเดียว ราคาเดียวเท่านั้น)
HP Spectre เป็นโน๊ตบุ๊คชิปประมวลผล Core i7 ที่มีความบางที่สุดในโลก คือ ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะในส่วนของโน้ตบุ๊คที่เป็น Core m บางรุ่นนั้นจะมีความบางที่มากกว่านั่นเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าจากการที่ดีไซน์ไม่มีพัดลม (Fanless) ก็ทำให้ยังไงประสิทธิภาพการทำงานของ Core m นั้นสู้ Core i ไม่ได้เลย หากวัดกันจริงๆ โดยใช้เป็นรุ่น Intel Core i7-6500U (2.5GHz, turbo up to 3.1GHz) ที่แม้เป็นรหัส U แต่ความแรงก็พอตัว ส่วนสเปกอื่นของ HP Spectre ก็มีดังต่อไปนี้
หน่วยความจำแรมมีขนาดที่ 8GB และใช้ฮาร์ดดิสก์ SSD ความเร็วสูงแบบ PCIe ที่ความจุ 512GB แน่นอนว่าชิปกราฟิกเป็นแบบฝังบนหน่วยประมวลผล (ออนบอร์ด) ส่วนหน้าจอขนาด 13.3 นิ้วรองรับความละเอียดระดับ Full HD มาพร้อมกระจกกันจอของ Corning Gorilla รองรับระบบเชื่อมต่อไร้สาย 802.11 ac 2×2 Wi-Fi ที่สำคัญมาพร้อมกับ USB Type-C (Thunderbolt V3) จำนวนมากถึง 3 พอร์ท ระบบลำโพงเสียงจาก Bang & Olufsen
แบตเตอรี่ได้รับการออกแบบใหม่เป็นแบบ 2 ชั้นรองรับกับความบางของตัวเครื่องโดยสามารถที่จะใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 9.5 ชั่วโมง ทำให้ออกแบบตัวเครื่องให้มีความบางเพียง 10.4 มิลลิเมตรได้ และมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.11 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งถือว่าเบาแบบสุดๆ ไปเลยกับขนาดหน้าจอ 13.3" แบบนี้ มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 Professional ส่วนการรับประกันก็ 2 ปี แบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน เป็นอะไรที่ดีมากๆ
นอกไปจากความน่าประทับใจเรื่องของความบางและน้ำหนักแล้ว HP Spectre ยังมาพร้อมกับความหรูหราของตัวเครื่องเป็นอย่างมากเลยทีเดียว วัสดุที่เห็นจากด้านนอกก็คือคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีลักษณะผิวด้าน บวกกับแนวขอบบานพับที่เป็นโลหะเคลือบผิวทองแดงมันเงาที่ด้านหลัง และโลโก้ HP ที่มีการออกแบบมาใหม่เพื่อเครื่องระดับพรีเมี่ยมโดยเฉพาะ ทำให้รู้สึกหรูหราเหมือนเป็นเครื่องประดับมากกว่าที่จะเป็นเครื่องโน้ตบุ๊กปกติ
นอกจากนี้เรื่องของดีไซน์ขอบบานพับหน้าจอ ที่จะเป็นลักษณ์วงแหวน ยกจอขึ้นมาเป็นแนวโค้ง เก๋ไก๋ไฉไลสุดๆ ไม่เหมือนใคร ดูหรูหราเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนตัวหน้าจอก็จะเป็นกระจกแบบขอบชนขอบแผ่นเดียว จาก Corning Gorilla เพิ่มความหรูหราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวัสดุที่เลือกใช้ แต่ความละเอียดหน้าจอดูจะน้อยไปสักนิด เพราะระบุไว้เป็น Full HD เท่านั้น ดูจะน้อยไปหน่อยสำหรับเครื่องระดับ High End ในปัจจุบัน (แต่ก็เข้าใจว่าถ้ามากกว่านี้ อาจจะทำให้ระบบโดยรวมไม่ลื่นไหล)
ส่วนด้านในตัวเครื่องก็จะมีจุดเด่นที่ช่องลำโพงแนวยาวด้านข้างคีย์บอร์ดทั้งสองข้างเพิ่มความพรีเมี่ยมเข้าไปอีก โดยภายในก็ใช้ลำโพงจาก BANG & OLUFEN เจ้าประจำนั่นเองที่ให้เสียงคุณภาพและมีมิติเหนือกว่าลำโพงทั่วไปแบบรู้สึกได้ในการฟังครั้งแรก ส่วนคีย์บอร์ดก็ให้การตอบสนองในการพิมพ์ที่ดี แป้มพิมพ์มีขนาดใหญ่ ปุ่มเด้งรับกับนิ้วดีมาก และมีไฟ Backlit ส่องสว่างในที่มืดให้เห็นได้ชัดเจน สำหรับทัชแพดเป็นรูปแบบของกระจกที่ดูแล้วหรูหราสัมผัสดี มีความน่าประทับใจไม่แพ้กัน
ด้วยคุณสมบัติตามที่ว่ามานั้นทำให้ HP Spectre ค่อนข้างที่จะน่าพอใจเป็นอย่างมากเมื่อพูดถึงการใช้งานสำหรับนักธุรกิจที่ต้องการโน้ตบุ๊คที่บางเบาที่สุด แต่ยังคงประสิทธิภาพที่ดีที่สุดไว้อยู่ จากการเลือกใช้ Intel Core i แทนที่จะใช้ Intel Core m ทำให้เมื่อเทียบกับทางฝั่ง MacBook แล้วนั้น HP Spectre ดูจะน่าใช้งานมากกว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของความร้อนในการใช้งานนั้นผู้ใช้ไม่มีความจำเป็นจะต้องกังวลแต่อย่างใดเนื่องจาก HP Spectre นั้นมาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Hyperbaric Cooling System ที่มีพัดลมระบายความร้อนสำหรับระบายความร้อนตัวเครื่องทางด้านล่างจำนวน 2 ตัวด้วยกัน
ด้วยแบตเตอรี่ขนาด 4 เซลล์ที่ ซึ่งทาง HP อออกมามาใหม่นั้นทำให้ตัวเครื่องสามารถใช้งานแบบต่อเนื่องได้ยาวนานกว่า 9 ชั่วโมง อีกทั้งบนตัวเครื่องยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีพอร์ตใหม่อย่าง USB Type-C จำนวน 3 พอร์ตซึ่งถือว่ารองรับการใช้งานได้อย่างครบครันผ่านทางตัวแปลงมากมายของทาง HP เอง
เปรียบเทียบในส่วนของความบางของตัวเครื่อง HP Spectre ที่เมื่อเทียบกับเครื่องรุ่นอื่นๆ แล้วถือว่าบางกว่าพอสมควรเลยทีเดียวสมกับเป็นจุดเด่นของ HP Spectre โดยสิ่งที่น่าพอใจเป็นอย่างมากนั้นก็คือเรื่องของระบบระบายความร้อนแบบ Hyperbaric Cooling System ที่ทำให้ HP Spectre นั้นยังคงสามารถที่จะมาพร้อมกับชิปประมวลผลที่แรงๆ อย่าง Intel Core i7 ได้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะบางมากก็ตามที
ส่วนอื่นๆ ที่น่าประทับใจไม่แพ้กันด็จะเป็นในส่วนของ บานพับแบบพิเศษซึ่งออกแบบมาได้เป็นอย่างดีทำให้ HP Spectre มีความแข็งแรงทนทานในเรื่องของบานพับแตกต่างไปจากโน๊ตบุ๊คแบบ Ultrabook เครื่องรุ่นอื่นๆ เรียกได้ว่าใครกำลังมองหาโน้ตบุ๊คประเภท Ultrabook ซึ่งมาชิปประมวลผล Core i7 ที่บางเบาที่สุดในโลก ณ เวลานี้อยู่ล่ะก็ HP Spectre ปี 2016 น่าจะตอบโจทย์ที่สุดแล้วล่ะ ในราคาที่คู่ควร โดยอยู่ที่ 69,990 บาท
จุดเด่น
เป็นโน้ตบุ๊กขนาด 13..3 นิ้ว มีความบางสุดน้ำหนักเบาที่สุด ที่เป็นชิป Core i7
มีประสิทธิภาพโดยรวมที่ดี ด้วยชิปประมวลผล Core i7, แรม 8GB และ SSD 512GB
หน้าจอจอความละเอียด Full HD พาเนล IPS ให้สีสันที่ดี มุมมองกว้าง
เปิดเครื่องหรือตื่นจากโหมด Sleep, Boot เครื่อง และเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้อย่างรวดเร็ว
ดีไซน์การออกแบบสวยและงานประกอบมีความประณีต ดูหรูหราและโดดเด่น
ใช้วัสดุชั้นดีอย่างคาร์บอนไฟเบอร์และอลูมิเนียมทำให้ตัวเครื่องแข็งแรง
มีไฟ Backlit Keyboard รวมถึงใช้งานได้เป็นอย่างดี
มีช่องทางเชื่อมต่อความเร็วสูงรุ่นล่าสุดอย่าง USB Type-C จำนวน 3 พอร์ต
ระบบระบายความร้อนทำงานได้เป็นอย่างดี
ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานประมาณ 9 ชั่วโมง
มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Professional ลิขสิทธิ์ใช้งานได้ทันที
รับประกันอยู่ที่ 2 ปี พร้อมบริการ On-site Service
ข้อสังเกต
สเปกไม่ค่อยมีความคุ้มค่ามากนัก เมื่อเทียบกับ Ultrabook รุ่นอื่นๆ
ไม่สามารถอัพเกรดใดๆ ได้เลยในภายหลัง
ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ