ถูกใจตั้งแต่พล็อตเรื่องที่แหวกแนวแล้ว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สองภาคแรกงานยุ่งจึงไม่มีโอกาสไประทึกในโรงภาพยนตร์ เมื่อรู้ว่าภาคจบจะเข้าฉายแล้วจึงต้องไปหาดูย้อนหลัง โอ้โหประหนึ่งกับไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพราะต้องนั่งลุ้นว่าจะหนีกันรอดไหม แถมยังโมโหตัวละครโง่ๆกับพวกขยะด้วย โดยส่วนตัวจะเป็นคนตัดสินใจดูหนังจากความทะยานอยากของตนเองเป็นหลัก และอ่านศึกษาจากแหล่งต่างๆเป็นข้อมูล เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนะคะที่เราปฏิเสธการดูเพียงเพราะคำวิจารณ์ เพราะความชอบและมุมมองแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน จึงอยากศึกษาข้อมูลเป็นแนวทางจะดีกว่า
The Purge Series ทั้ง 3 ภาค เขียนและกำกับโดย James DeMonaco มาย้อนรอยถึงสองภาคแรกกันสักหน่อยนะคะ
The Purge ภาคแรก ออกฉายในปี 2013 จุดเริ่มต้นการสร้างกฎใหม่ของผู้ปกครองที่ขนานนามตนเอง The New Founding Fathers of America หรือ NFFA ได้ออกกฏอันเหี้ยมโหดนั่นคือ คืนชำระบาป หรือ The Annual Purge ถูกจัดขึ้นเป็นเวลา 12 ชม. ตั้งเวลา 19.00-07.00 น. ประชาชนทุกคนจะเป็นอิสระจากกฎหมายมีสิทธิ์ก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบรวมทั้งการฆ่าคนโดยไม่ต้องรับบทลงโทษอันใด โดยผู้ออกกฎอ้างว่าการล้างบาปนี้เป็นการเสียสละให้อเมริกาดีขึ้น ทั้งๆที่เบื้องหลังความหฤโหดล้วนเป็นกลุ่มนายทุนเงินหนา ชนชั้นสูง ผู้มีอำนาจและผู้ต้องการกดขี่ข่มเหงชีวิตผู้อื่น เนื้อเรื่องพูดถึงครอบครัวแซนดินที่ประสพความสำเร็จเพราะหัวหน้าครอบครัวเป็นเซลแมนขายระบบความปลอดภัยให้กับคืนโหดนี้โดยเฉพาะแต่บังเอิญลูกชายดันช่วยเหลือให้ชายผิวสีที่ถูกไล่ฆ่าเข้ามาในบ้าน โดยที่กลุ่มผู้ล่าจะเอาคืนทั้งครอบครัวหากไม่ปล่อยเหยื่อออกมา ภาคแรกนี้จะสะท้อนให้เห็นสายสัมพันธ์ของครอบครัว การเหยียดสีผิว ความอิจฉาริษยา และการขุดค้นหาศีลธรรมความถูกต้องในหัวใจ โดยรวมการดิ้นรนเอาตัวรอดจึงอยู่เฉพาะในบ้าน
The Purge : Anarchy ภาคสอง ออกฉายในปี 2014 NFFA ได้วาระการเฉลิมฉลองคืนล้างบาปครั้งใหม่ เนื้อเรื่องพูดถึงตัวเอก ลีโอ ชายผู้นี้ดำดิ่งอยู่ในความทุกข์เพื่อหาทางแก้แค้นให้กับลูกชายที่ถูกคร่าชีวิตในคืนล้างบาป เขาขับรถตระเวนอย่างคลั่งแค้นไปทั่วจนกระทั่งพบสองแม่ลูกที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และอีกหนึ่งคู่ชีวิตที่กำลังตัดสินใจแยกทางกัน พวกเขาต่างเดินทางร่วมชะตากรรมกันแบบไม่มีใครได้คาดคิดมาก่อน ภาคนี้จะชี้ให้เห็นถึงมิตรภาพ ความแค้น การดับแค้น ความวิปริตของผู้มีอำนาจ และจุดเริ่มต้นของการต่อสู้กับอำนาจ พระเอกของเรื่องเท่ ดิบ เถื่อนดีค่ะ
The Purge : Election Year ภาคล่าสุด NFFA ยังคงสุขสนุกสนานกับการเฉลิมฉลองคืนล้างบาปครั้งใหม่ แต่หนนี้ดูจะไม่ง่ายเมื่อ ชาร์เลน สว.สาว เป็นผู้รอดชีวิตเดียวในคืนหฤโหดและต้องฝังใจกับการเห็นครอบครัวของตนเองถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เธอจึงต้องการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและยกเลิกกฎหมายคืนล้างบาปให้จงได้ ส่วนลีโอสุดยอดชายถึกสุดเจ๋งได้สมัครเป็นอารักขาให้กับเธอด้วยอุดมการณ์เดียวกัน ภาคจบนี้โดยความคิดส่วนตัวของโรสนับว่าเป็นการปิดฉากภารกิจคืนอำมหิตที่ลงตัว จากที่คนบริสุทธิ์ต้องรอคอยเป็นเหยื่อแต่หนนี้ได้เห็นการต่อสู้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน ได้เห็นว่าเบื้องหลังการก่อตั้งประเพณีอันโหดร้ายล้วนเป็นการสนองอำนาจตัณหาของคนมีอำนาจที่ไร้จิตสำนึก
The Purge จึงนับว่าเป็นหนังในใจอีกเรื่องของโรสและเป็นหนังโดนใจแฟนๆอีกหลายล้านคน เป็นหนังลงทุนน้อยแต่รายได้กลับสวยงามและประสพความสำเร็จเหนือความคาดหมาย บางท่านอาจจะไม่ชอบหนังแนวนี้เพราะมันเครียด แต่ในความเครียดนี้มันมีความสง่างามของปรัชญาแอบแฝง มันเป็นหนังเสียดสีสังคมที่มีดีมากกว่าเลือดสาดระทึกขวัญ แต่หนังต้องการบอกเราว่าการเข่นฆ่าเพื่อผลประโยชน์เป็นเรื่องที่โง่งมไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด เพราะหากติดตาดูทุกภาคจะเห็นแต่ความเสื่อมทรามและความดำดิ่ง สูญสิ้นความดีไร้ศรัทธาในชีวิต ได้เห็นความเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจ อำนาจจึงเป็นอาวุธสำหรับการทำลายล้างหากแม้อำนาจตกอยู่ในมือของคนเลวทราม
ในยามที่เจอความอยุติธรรมมีเพียงแต่ความยุติธรรมที่จะเข้าแก้ไข ในยามที่ทุกข์ร้อนมีแต่ความรักและสามัคคีที่จะช่วยเยียวยารักษา ในยามที่จนตรอกเรายังมีลมหายใจเพราะมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ และการชำระจิตวิญญาณล้างบาปที่ถูกต้องนั่นคือการทำดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ท้ายสุดการดับแค้นด้วยการให้อภัยคือการยกคุณค่าให้เรามีความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐค่ะ
The Purge : Election Year ภาคจบกับปีเลือกตั้งโหดที่ลงตัว...By Rose
ถูกใจตั้งแต่พล็อตเรื่องที่แหวกแนวแล้ว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่สองภาคแรกงานยุ่งจึงไม่มีโอกาสไประทึกในโรงภาพยนตร์ เมื่อรู้ว่าภาคจบจะเข้าฉายแล้วจึงต้องไปหาดูย้อนหลัง โอ้โหประหนึ่งกับไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพราะต้องนั่งลุ้นว่าจะหนีกันรอดไหม แถมยังโมโหตัวละครโง่ๆกับพวกขยะด้วย โดยส่วนตัวจะเป็นคนตัดสินใจดูหนังจากความทะยานอยากของตนเองเป็นหลัก และอ่านศึกษาจากแหล่งต่างๆเป็นข้อมูล เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนะคะที่เราปฏิเสธการดูเพียงเพราะคำวิจารณ์ เพราะความชอบและมุมมองแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน จึงอยากศึกษาข้อมูลเป็นแนวทางจะดีกว่า
The Purge Series ทั้ง 3 ภาค เขียนและกำกับโดย James DeMonaco มาย้อนรอยถึงสองภาคแรกกันสักหน่อยนะคะ
The Purge ภาคแรก ออกฉายในปี 2013 จุดเริ่มต้นการสร้างกฎใหม่ของผู้ปกครองที่ขนานนามตนเอง The New Founding Fathers of America หรือ NFFA ได้ออกกฏอันเหี้ยมโหดนั่นคือ คืนชำระบาป หรือ The Annual Purge ถูกจัดขึ้นเป็นเวลา 12 ชม. ตั้งเวลา 19.00-07.00 น. ประชาชนทุกคนจะเป็นอิสระจากกฎหมายมีสิทธิ์ก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบรวมทั้งการฆ่าคนโดยไม่ต้องรับบทลงโทษอันใด โดยผู้ออกกฎอ้างว่าการล้างบาปนี้เป็นการเสียสละให้อเมริกาดีขึ้น ทั้งๆที่เบื้องหลังความหฤโหดล้วนเป็นกลุ่มนายทุนเงินหนา ชนชั้นสูง ผู้มีอำนาจและผู้ต้องการกดขี่ข่มเหงชีวิตผู้อื่น เนื้อเรื่องพูดถึงครอบครัวแซนดินที่ประสพความสำเร็จเพราะหัวหน้าครอบครัวเป็นเซลแมนขายระบบความปลอดภัยให้กับคืนโหดนี้โดยเฉพาะแต่บังเอิญลูกชายดันช่วยเหลือให้ชายผิวสีที่ถูกไล่ฆ่าเข้ามาในบ้าน โดยที่กลุ่มผู้ล่าจะเอาคืนทั้งครอบครัวหากไม่ปล่อยเหยื่อออกมา ภาคแรกนี้จะสะท้อนให้เห็นสายสัมพันธ์ของครอบครัว การเหยียดสีผิว ความอิจฉาริษยา และการขุดค้นหาศีลธรรมความถูกต้องในหัวใจ โดยรวมการดิ้นรนเอาตัวรอดจึงอยู่เฉพาะในบ้าน
The Purge : Anarchy ภาคสอง ออกฉายในปี 2014 NFFA ได้วาระการเฉลิมฉลองคืนล้างบาปครั้งใหม่ เนื้อเรื่องพูดถึงตัวเอก ลีโอ ชายผู้นี้ดำดิ่งอยู่ในความทุกข์เพื่อหาทางแก้แค้นให้กับลูกชายที่ถูกคร่าชีวิตในคืนล้างบาป เขาขับรถตระเวนอย่างคลั่งแค้นไปทั่วจนกระทั่งพบสองแม่ลูกที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และอีกหนึ่งคู่ชีวิตที่กำลังตัดสินใจแยกทางกัน พวกเขาต่างเดินทางร่วมชะตากรรมกันแบบไม่มีใครได้คาดคิดมาก่อน ภาคนี้จะชี้ให้เห็นถึงมิตรภาพ ความแค้น การดับแค้น ความวิปริตของผู้มีอำนาจ และจุดเริ่มต้นของการต่อสู้กับอำนาจ พระเอกของเรื่องเท่ ดิบ เถื่อนดีค่ะ
The Purge : Election Year ภาคล่าสุด NFFA ยังคงสุขสนุกสนานกับการเฉลิมฉลองคืนล้างบาปครั้งใหม่ แต่หนนี้ดูจะไม่ง่ายเมื่อ ชาร์เลน สว.สาว เป็นผู้รอดชีวิตเดียวในคืนหฤโหดและต้องฝังใจกับการเห็นครอบครัวของตนเองถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา เธอจึงต้องการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและยกเลิกกฎหมายคืนล้างบาปให้จงได้ ส่วนลีโอสุดยอดชายถึกสุดเจ๋งได้สมัครเป็นอารักขาให้กับเธอด้วยอุดมการณ์เดียวกัน ภาคจบนี้โดยความคิดส่วนตัวของโรสนับว่าเป็นการปิดฉากภารกิจคืนอำมหิตที่ลงตัว จากที่คนบริสุทธิ์ต้องรอคอยเป็นเหยื่อแต่หนนี้ได้เห็นการต่อสู้ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน ได้เห็นว่าเบื้องหลังการก่อตั้งประเพณีอันโหดร้ายล้วนเป็นการสนองอำนาจตัณหาของคนมีอำนาจที่ไร้จิตสำนึก
The Purge จึงนับว่าเป็นหนังในใจอีกเรื่องของโรสและเป็นหนังโดนใจแฟนๆอีกหลายล้านคน เป็นหนังลงทุนน้อยแต่รายได้กลับสวยงามและประสพความสำเร็จเหนือความคาดหมาย บางท่านอาจจะไม่ชอบหนังแนวนี้เพราะมันเครียด แต่ในความเครียดนี้มันมีความสง่างามของปรัชญาแอบแฝง มันเป็นหนังเสียดสีสังคมที่มีดีมากกว่าเลือดสาดระทึกขวัญ แต่หนังต้องการบอกเราว่าการเข่นฆ่าเพื่อผลประโยชน์เป็นเรื่องที่โง่งมไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างใด เพราะหากติดตาดูทุกภาคจะเห็นแต่ความเสื่อมทรามและความดำดิ่ง สูญสิ้นความดีไร้ศรัทธาในชีวิต ได้เห็นความเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจ อำนาจจึงเป็นอาวุธสำหรับการทำลายล้างหากแม้อำนาจตกอยู่ในมือของคนเลวทราม
ในยามที่เจอความอยุติธรรมมีเพียงแต่ความยุติธรรมที่จะเข้าแก้ไข ในยามที่ทุกข์ร้อนมีแต่ความรักและสามัคคีที่จะช่วยเยียวยารักษา ในยามที่จนตรอกเรายังมีลมหายใจเพราะมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ และการชำระจิตวิญญาณล้างบาปที่ถูกต้องนั่นคือการทำดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ท้ายสุดการดับแค้นด้วยการให้อภัยคือการยกคุณค่าให้เรามีความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐค่ะ