[หนังโรงเรื่องที่ 148] The Purge: Election Year - โชคดีประเทศไทยไม่มีเลือกตั้ง ; (James DeMonaco, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : อย่างที่รู้กันดีว่าในดินแดนเสรีอย่างอเมริกานั้น ทุกๆปีจะมีประเพณีอย่างหนึ่งที่เรียกว่า 'การชำระบาป' (Purge) ซึ่งจะทำให้ภายในเวลา 12 ชั่วโมงนั้นอาชญากรรมทุกชนิดจะถูกกฏหมาย! ซึ่งนั่นทำให้วุฒิสมาชิกชาร์ลี (Elizabeth Mitchell) ต้องเสียครอบครัวทั้งหมดไปใน 18 ปีก่อน ซึ่งมาวันนี้เธอก็ประกาศกร้าวจะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพร้อมออกนโยบายยกเลิกวันชำระบาป ซึ่งแน่นอนก็ไปขัดขาบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายจนเธอถูกหมายหัว ... และในคืนล้างบาปปีนี้ เธอจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้
คงเป็นหนึ่งในหนังภาคต่อที่ขึ้นหิ้งไปแล้วสำหรับ The Purge Saga ที่นำเสนอพล็อตใหม่แหวกแนวมาให้คอหนังได้ฮือฮามาจนถึงภาคที่สาม ซึ่งความน่าสนใจก็คือยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ไอเดียของความชอบธรรมในวันชำระบาปนั้นมันก็ดู 'ใกล้ความเป็นจริง' ขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น คือมันดูเป็นอะไรที่ไม่ไกลตัวเลยในแนวคิดที่ว่าหากมีคืนนึงที่ประเทศปล่อยให้สังหารกันได้เสรีมันจะเป็นยังไง ซึ่งนั่นผมถือว่าเสน่ห์ของไอเดียดิสโทเปียอันนี้นะ
แน่นอนตามสไตล์การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้คือหนังจะเริ่มจากการพาเราไปดูภาพรวมของหลายๆกลุ่มคนที้ล้วนมีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ก็ซวยต้องจับพลัดจับผลูมาร่วมเทศกาลสังหารซึ่งเส้นทางของแต่ละตัวละครก็จะมาบรรจบในเส้นเดียวกันในที่สุด แต่สิ่งที่ผิดแปลกคือในภาคนี้หนังค่อนข้างจะมีสโคปที่แคบขึ้นมาก (ถ้าเทียบกับภาคสองที่กว้างงงงงงงงสุดลูกหูลูกตา) ซึ่งมันก็ดีอย่างเสียอย่างในแง่ที่ว่าคนดูจะได้จดจ่อกับความเป็นอยู่ของตัวละครได้ง่ายขึ้นนี่แหละ
สิ่งที่โดนใจอีกเรื่องก็คือการที่หนังนำเสนอ 'ความป่วย' ของสังคมอเมริกาออกมาได้แสบสันต์แบบยกระดับจากเดิมขึ้นโข จากภาคก่อนๆที่ว่าเพี้ยนแล้วภาคนี้ก็จะพาลงลึกไปอีกขั้น! สิ่งที่เห็นได้ชัดคือยิ่งสังคมอยู่ร่วมกับ 'การชำระบาป' มานานเท่าไหร่, เส้นบางๆที่กั้นระหว่างศีลธรรมก็จะค่อยๆจางหายไปเท่านั้น ที่แปลกใหม่ขึ้นคือหนังจะพาเราไปพบกับกลุ่มระดับผู้นำของ 'พระบิดาผู้ก่อตั้งใหม่' หรือ NFFA ชนิดลงลึกมากกว่าที่เคย ซึ่งรับรองว่าคนธาตุไม่แข็งอาจจะขนลุกขนชันได้แน่ๆกับความเพี้ยนเกินพิกัดของภาคนี้
ส่วนที่ไม่ชอบคือโมเม้นต์ทรหดของหนังเรื่องนี้มันหายไป จากเดิมที่เป็นการเอาตัวรอดจากฆาตกรซึ่งก็เป็นมือใหม่พอๆกับเหยื่อนั้น กลายเป็นการตะลุมบอนของหน่วยเจ้าหน้าที่พิเศษของสองฝ่ายที่เรียกง่ายๆว่า 'เป็นงาน' อยู่แล้ว คิวบู๊มันเลยดูรวบรัดกระชับเกินกว่าที่อิพวกบ้าบอบนถนนมันจะดูเป็นพิษเป็นภัยได้ แถมยังมีผู้ช่วยตัวเอกเยอะแยะไปหมด กลายเป็นหนทางออกจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งไอ้ความลำบากของการเอาตัวรอดเนี่ยผมถือว่ามันเป็นเสน่ห์ของ The Purge ที่ผ่านมาเลยนะ
แน่นอนว่าจุดเด่นในเรื่องงานภาพสวยๆที่ขยันยัดความเป็น symbolic เข้ามาของผู้กำกับคนนี้ก็ยังอยู่ไม่หายไปไหน หนังยังมีลูกเล่นในการใส่ภาพเหล่านี้เข้ามาได้อย่างแนบเนียนและน่าสนใจ กระทั่งคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง ลุงแซม,ลินคอล์น,วอชิงตัน และบรรดาเอกบุรุษที่โด่งดังในอดีตมากมายที่ถูกนำมาทำเป็นหน้ากากและคอสตูมที่น่าขนลุก หรือจะเป็นการฆาตกรรมแบบมีศิลปะ (?) ที่สรรหามาใส่ฉากเหลือเกินและสำหรับคอบู๊ก็คงจะสนุกสะใจกันเพราะในภาคนี้ถือว่าจัดหนักจัดเต็มมาก บางทีก็แอบตกใจว่าฉากนี้ไมเคิลเบย์มากำกับรึเปล่าทำไมมันถึงยิงได้หูดับตับไหม้ขนาดนั้น
สรุปคือสำหรับ The Purge: Election Year นั้นก็ยังเป็นหนังที่รักษามาตรฐานตัวเองและยังซื่อสัตย์กับ message ที่ตัวเองพยายามสื่อมาตั้งแต่ภาคแรกได้ดี แต่มันก็ยังมีองค์ประกอบบางอย่างที่ยังทำให้เรารู้สึกว้าวไม่ได้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว เรียกได้ว่าถ้าเทียบเป็นกราฟมันก็คงนิ่งน่าดู แต่กระนั้นถ้าใครที่ยังติดใจกับความเพี้ยนของ 'American's Way' ก็คงถูกอกถูกใจได้ไม่ยาก.
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] The Purge: Election Year - โชคดีประเทศไทยไม่มีเลือกตั้ง by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 148] The Purge: Election Year - โชคดีประเทศไทยไม่มีเลือกตั้ง ; (James DeMonaco, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B+ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : อย่างที่รู้กันดีว่าในดินแดนเสรีอย่างอเมริกานั้น ทุกๆปีจะมีประเพณีอย่างหนึ่งที่เรียกว่า 'การชำระบาป' (Purge) ซึ่งจะทำให้ภายในเวลา 12 ชั่วโมงนั้นอาชญากรรมทุกชนิดจะถูกกฏหมาย! ซึ่งนั่นทำให้วุฒิสมาชิกชาร์ลี (Elizabeth Mitchell) ต้องเสียครอบครัวทั้งหมดไปใน 18 ปีก่อน ซึ่งมาวันนี้เธอก็ประกาศกร้าวจะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพร้อมออกนโยบายยกเลิกวันชำระบาป ซึ่งแน่นอนก็ไปขัดขาบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายจนเธอถูกหมายหัว ... และในคืนล้างบาปปีนี้ เธอจะต้องเอาชีวิตรอดให้ได้
คงเป็นหนึ่งในหนังภาคต่อที่ขึ้นหิ้งไปแล้วสำหรับ The Purge Saga ที่นำเสนอพล็อตใหม่แหวกแนวมาให้คอหนังได้ฮือฮามาจนถึงภาคที่สาม ซึ่งความน่าสนใจก็คือยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ไอเดียของความชอบธรรมในวันชำระบาปนั้นมันก็ดู 'ใกล้ความเป็นจริง' ขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น คือมันดูเป็นอะไรที่ไม่ไกลตัวเลยในแนวคิดที่ว่าหากมีคืนนึงที่ประเทศปล่อยให้สังหารกันได้เสรีมันจะเป็นยังไง ซึ่งนั่นผมถือว่าเสน่ห์ของไอเดียดิสโทเปียอันนี้นะ
แน่นอนตามสไตล์การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้คือหนังจะเริ่มจากการพาเราไปดูภาพรวมของหลายๆกลุ่มคนที้ล้วนมีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ก็ซวยต้องจับพลัดจับผลูมาร่วมเทศกาลสังหารซึ่งเส้นทางของแต่ละตัวละครก็จะมาบรรจบในเส้นเดียวกันในที่สุด แต่สิ่งที่ผิดแปลกคือในภาคนี้หนังค่อนข้างจะมีสโคปที่แคบขึ้นมาก (ถ้าเทียบกับภาคสองที่กว้างงงงงงงงสุดลูกหูลูกตา) ซึ่งมันก็ดีอย่างเสียอย่างในแง่ที่ว่าคนดูจะได้จดจ่อกับความเป็นอยู่ของตัวละครได้ง่ายขึ้นนี่แหละ
สิ่งที่โดนใจอีกเรื่องก็คือการที่หนังนำเสนอ 'ความป่วย' ของสังคมอเมริกาออกมาได้แสบสันต์แบบยกระดับจากเดิมขึ้นโข จากภาคก่อนๆที่ว่าเพี้ยนแล้วภาคนี้ก็จะพาลงลึกไปอีกขั้น! สิ่งที่เห็นได้ชัดคือยิ่งสังคมอยู่ร่วมกับ 'การชำระบาป' มานานเท่าไหร่, เส้นบางๆที่กั้นระหว่างศีลธรรมก็จะค่อยๆจางหายไปเท่านั้น ที่แปลกใหม่ขึ้นคือหนังจะพาเราไปพบกับกลุ่มระดับผู้นำของ 'พระบิดาผู้ก่อตั้งใหม่' หรือ NFFA ชนิดลงลึกมากกว่าที่เคย ซึ่งรับรองว่าคนธาตุไม่แข็งอาจจะขนลุกขนชันได้แน่ๆกับความเพี้ยนเกินพิกัดของภาคนี้
ส่วนที่ไม่ชอบคือโมเม้นต์ทรหดของหนังเรื่องนี้มันหายไป จากเดิมที่เป็นการเอาตัวรอดจากฆาตกรซึ่งก็เป็นมือใหม่พอๆกับเหยื่อนั้น กลายเป็นการตะลุมบอนของหน่วยเจ้าหน้าที่พิเศษของสองฝ่ายที่เรียกง่ายๆว่า 'เป็นงาน' อยู่แล้ว คิวบู๊มันเลยดูรวบรัดกระชับเกินกว่าที่อิพวกบ้าบอบนถนนมันจะดูเป็นพิษเป็นภัยได้ แถมยังมีผู้ช่วยตัวเอกเยอะแยะไปหมด กลายเป็นหนทางออกจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งไอ้ความลำบากของการเอาตัวรอดเนี่ยผมถือว่ามันเป็นเสน่ห์ของ The Purge ที่ผ่านมาเลยนะ
แน่นอนว่าจุดเด่นในเรื่องงานภาพสวยๆที่ขยันยัดความเป็น symbolic เข้ามาของผู้กำกับคนนี้ก็ยังอยู่ไม่หายไปไหน หนังยังมีลูกเล่นในการใส่ภาพเหล่านี้เข้ามาได้อย่างแนบเนียนและน่าสนใจ กระทั่งคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง ลุงแซม,ลินคอล์น,วอชิงตัน และบรรดาเอกบุรุษที่โด่งดังในอดีตมากมายที่ถูกนำมาทำเป็นหน้ากากและคอสตูมที่น่าขนลุก หรือจะเป็นการฆาตกรรมแบบมีศิลปะ (?) ที่สรรหามาใส่ฉากเหลือเกินและสำหรับคอบู๊ก็คงจะสนุกสะใจกันเพราะในภาคนี้ถือว่าจัดหนักจัดเต็มมาก บางทีก็แอบตกใจว่าฉากนี้ไมเคิลเบย์มากำกับรึเปล่าทำไมมันถึงยิงได้หูดับตับไหม้ขนาดนั้น
สรุปคือสำหรับ The Purge: Election Year นั้นก็ยังเป็นหนังที่รักษามาตรฐานตัวเองและยังซื่อสัตย์กับ message ที่ตัวเองพยายามสื่อมาตั้งแต่ภาคแรกได้ดี แต่มันก็ยังมีองค์ประกอบบางอย่างที่ยังทำให้เรารู้สึกว้าวไม่ได้มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว เรียกได้ว่าถ้าเทียบเป็นกราฟมันก็คงนิ่งน่าดู แต่กระนั้นถ้าใครที่ยังติดใจกับความเพี้ยนของ 'American's Way' ก็คงถูกอกถูกใจได้ไม่ยาก.
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..