▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ชีวิตในต่างแดน
บันทึกนักเดินทาง
แผนที่เดินทาง
เที่ยววัด
เที่ยวต่างประเทศ
[CR] ท่องไปในอิตาลี่ ตอน BOLOGNA
2 ครั้งที่นั่งรถไฟจากฟิเรนเซ่ผ่านโบโลนญ่าไปยังเวนิส มองเห็นตึกรามบ้านช่องและสถาปัตยกรรมใหญ่โต ผ่านหน้าต่างสถานีรถไฟ แต่ยังไม่ได้แวะชื่นชมสักครั้ง ในใจก็เก็บไว้ว่า เมืองนี่ต้องมีอะไรน่าสนใจแน่ถึงแม้ไม่ได้มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวหรือกรุ๊ปทัวร์มากนักแต่ว่าเป็นสถานีหยุดรถด่วนของเส้นทางจากทัสคานี่ มายังภาคเหนือของอิตาลี่ ก็ต้องมีอะไรน่าสนใจแน่ๆ
จนมาวันหนึ่งได้รู้จักมักจี่กับน้องสาวที่มาเรียนที่อิตาลี่คนหนึ่ง ชื่อน้อง Coke น้องสาวน่ารักคนนี้แหละ ทำให้เราดั้นด้นมาจนได้ด้วยอยากเจอน้องเค้าและเค้าก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโบโลนญ่าพอดี อะไรจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนั้น
แล้วเราก็ได้นัดพบกันที่นี่ โบโลนญ่า ( Bologna ) เมืองนี้ชื่อเหมือนไส้กรอกไหมคะ ก็ไส้กรอกแผ่นๆที่บ้านเราเรียนว่าโบโลน่านี่แหละ เรานั่งรถไฟจากวิเชนซ่า เป็นรถธรรมดา ไปที่ Verona หรือจะไปที่ Padova ก็ได้เพื่อจะต่อรถด่วน Frecciarossa ถ้ามาจากเวนิสก็นั่งรถด่วนมาได้เลย ราคาก็ 30 – 40 ยูโรแล้วแต่ช่วงเวลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง(จากเวนิส ) และถ้ารถไฟธรรมดา 12 – 13 ยูโร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง มากกว่าแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ราคาน่าคบหาค่ะ
พอถึงสถานีรถไฟเดินข้ามถนนมาไม่นานก็พบกับน้อง Coke หลังจากทักทายกันอย่างร่าเริงแล้วน้องสาวสุดน่ารัก ก็พามาร้านขนมที่อร่อยมากๆร้านนึง เป็นร้านกาแฟ ILLY นี่เอง ขนมหลากหลายอร่อยมากค่ะ หลังจากนั้นเราก็เดินๆๆไปยังถิ่นมหาวิทยาลัย สถานที่เรียนของน้อง Coke
ทำไมต้องไปเดินเที่ยวในมหาวิทยาลัยหรือคะ ก็ที่นี่คือมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่ยังมีการเรียนการสอนอยู่นั่นเอง ห้องเรียนห้องแรก ที่มีนักศึกษามาเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาก็อยู่ที่นี่ ภายในมหาวิทยาลัยมีบรรยากาศน่าสบาย มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตึกเก่าๆใหญ่โตมีสเน่ห์และมนต์ขลัง น่าเรียนมากๆ มีกราฟฟิตี้ของนักศึกษาศิลปะ แหมือนที่มหาวิทยาลัยศิลปากรของเราเลย บนเพดาน บนผนัง ก็มีตรา ( Badges )ประจำรุ่นต่างๆของนักศึกษาติดไว้ เราจินตนาการไปว่าเหมือนโรงเรียนเวทย์มนต์เลยแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในอังกฤษแบบเรื่อง แฮรี่พอตเตอร์ก็ตาม
ใครชอบสถานที่เก่าแก่อันสวยงามแถมเรื่องราวในประวัติซาสตร์ต้องไม่พลาดเลยค่ะ ณ ที่นี่เราก็เข้าไปนั่งในห้องเรียนห้องแรกด้วย โครงสร้างห้องเป็นไม้ทั้งหมด มีคอกสำหรับผู้บรรยายอยู่ตรงกลางห้อง รอบๆเป็น Step สำหรับนักศีกษานั่งเรียน ที่นี่เสียค่าเข้าด้วยนะคะ แต่ไม่แพงค่ะ ลืมไปแล้วว่ากี่ยูโร ^^
จากนั้นเราก็เดินไปด้านหลังของมหาวิทยาลัย เป็นทางเดินไปยังหอเอนคู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ เราไม่รู้มาก่อนนะเนี่ยว่าสิ่งที่เอนๆเนี่ยนอกจากปิซ่าแล้ว ที่นี่ก็มีเหมือนกัน หออันสูงชื่อ Asinelli และอันเตี้ยชื่อ Garisenda ค่ะ และดันเต้มหากวีดังของอิตาลี่ก็มีกล่าวบทกวีถึงหอเอียงคู่นี้ด้วยนะคะ ใน INFERNO
Ciò che sembra la Garisenda
sotto 'l chinato, quando va una nuvola
su di essa, sì, che lei si blocca incontro;
Questo parve Anteo a me che stava a bada
per vederlo chinare ...
(Dante Alighieri, La Divina Commedia, Inferno, XXXI, 136-140)
จากหอเอียงคู่ เราก็เดินต่อไปยัง Il complesso di Santo Stefano หรือ The basilica of Santo Stefano ที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมยุคกลางที่มีความซับซ้อนสวยงามมาก เราเที่ยวโบสถ์มาก็เยอะ แต่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนสร้างโบสถ์เล็กๆหลายโบสถ์ไว้ได้ในที่เดียวกันอย่างน่าทึ่งแบบนี้ ซึ่งที่นี่เรียกรวมกันว่า The Sette Chiese ("Seven Churches") of Piazza Santo Stefano .... 7 Churches หรือโบสถ์เล็กๆรวมตัวกันอย่างสวยงามและน่าสนใจมากๆ ดูตามแปลนนะคะ ส่วนภายในก็จะเป็นแนวโบสถ์ยุคกลางที่ไม่เน้นประดับประดามากมาย และจะมีบรรยากาศที่ขรึมขลัง สงบเงียบ ได้ความรู้สึกถึงพลังของศาสนสถานมากกว่าโบสถ์ที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ ใครชอบแนวนี้รับรองว่ากินใจมากๆค่ะ ค่าเข้าไม่เสียและรอบๆโบสถ์ก็จัดช่องแสงได้สวยงามน่าชม ตามมาดูกันค่ะ
จากที่เดินๆๆกันมาสักพักก็เริ่มหิว น้องง Coke จึงพาแวะตลาดดูของกินและหาของกิน เราไปกินกันที่ศูนย์อาหาร ที่เหมือนตลาดกลายๆ มีที่นั่งทาน มีห้องน้ำให้เข้า เราเลือกทานพาสต้าเพสโต้ซอส และปลาค้อดในซอสอะไรสักอย่าง อิ่มสบายท้องไปเลย จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อค่ะ พลังงานมาละ
นอกจากห้องเรียนห้องแรกแล้วก็ยังมี โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างใน คศ.ที่15 (หรือโบสถ์ยุคกลางที่สร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุด) โบสถ์สำคัญของโบโลนญ่า Basilica di San Petronio อยู่ในจตุรัสมักโจเร ( Piazza Maggiore ) ตัวโบสถ์ก็อย่างที่เห็นน่ะค่ะเรียบง่าย ยิ่งใหญ่ เป็นแบบกอธิคแท้ๆ แบบยุคกลาง มีหลายนักออกแบบและศิลปินที่จะพยายามสร้าง facade ให้เสร็จสวย แต่ก็ไม่เสร็จจนแล้วจนรอด ถ้าเสร็จเราคิดว่าน่าจะคล้ายๆ Santa Croce ที่ฟิเรนเซ่ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะไม่เสร็จเราก็ชอบความมีสเน่ห์แบบยุคกลางนี้ที่เป็นเอกลักษณ์ ดูขรึม ขลัง ไม่เหมือนใครค่ะ
ที่ Piazza Maggiore นี้นอกจากจะมีโบสถ์ใหญ่แล้ว รอบๆยังมีประติมากรรมและสถาปัตยกรรมสวยๆอีก เช่น ประติมากรรม รูปโพไซดอน แบบที่ฟิเรนเซ่ และหอสมุดสวยๆที่มีพื้นแก้ว แวะมาชมกันค่ะ
จากห้องสมุดพื้นแก้วที่มองเห็นชั้นล่างที่เป็นห้องสมุดเก่าโบราณที่เขาอนุรักษ์ไว้ เราก็เดินอออกไปยังจตุรัส และเดินต่อเข้าไปชมใน Basilica di San Petronio ที่นี่เข้าฟรีได้ แต่ถ้าใครอยากถ่ายรูปเสียเงินค่าถ่ายรูปนิดหน่อยประมาณ 3 ยูโรมั้งคะ เขาจะให้ปลอกแขนเหมือนเป็นตากล้อง อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ เงินที่ได้ก็ได้ไปอนุรักษณ์โบสถ์ก็จ่ายไปเถิด ถูกมากๆค่ะ ในโบสถ์ก็ไม่ได้ประดับประดาอะไรมากตามแบบยุคกลาง แต่มนต์ขลังของศาสนสถานและความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม ก็ทำให้เราซาบซึ้งมาก เหมือนดังว่าแม้เราจะเป็นคนตัวเล็กๆ ทัยบกับงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ไม่ได้เลย แต่หากเราหลายๆคนมีโอกาสได้มาชื่นชมงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำให้เรารักงานศิลปะมากขึ้น รักประวัติศาสตร์ และการอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ชั่วลูกหลาน แม้ศาสนสถานที่เมืองไทยก็เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้มีคุณค่าทั้งปัจจุบันและอนาคต มาช่วยกันชื่นชมและดุแลนะคะ
เดินเที่ยวเมืองต่อกับน้อง Coke กันต่อ ขาดไม่ได้คือเจลาโต้ น้องโค้กแนะนำรส Salt Caramel อร่อยมากจริงๆ...และ แวะกินโกโก้ กันอย่างเพลิดเพลิน เดินเรื่อยๆกลับกันมายังสถานีรถไฟอีกครั้งเพื่อนั่งรถกลับ แถวสถานีรถไฟค่อนข้างจอแจไม่เหมือนในเมือง แต่โบโลนญ่าก็เป็นเมืองใหญ่ที่น่าสนุก น้อง Coke ว่าคราวหน้าต้องมาชมบรรยากาศกลางคืนที่นี่ว่าสวยจับใจอย่างไร และเราก็บอกในใจตัวเองไว้ว่าอยากกลับไปหาน้องสาวคนนี้ที่ไปโบโลนญ่า อีกสักครั้ง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น