เกริ่นนำก่อนว่าเราเป็นนศ.จบใหม่ค่ะ เรียนมาทางด้านคอมฯ ก่อนที่จะจบเราก็เริ่มหางานเริ่มไปฝากประวัติตามเว็บต่างๆ ส่งเมล โทรไปถาม บางที่ก็เงียบ บางที่ก็โทรมาให้ไปสัมภาษณ์และตอนเย็นโทรมาบอกว่าขอโทษนะคะ ทางเราได้คนแล้วคุณขอโทษจริงๆนะคะ เราก็ทำได้แค่ตอบกลับไปว่าไม่เป็นไรค่ะ แต่นึกในใจให้กรูไปทำไมหะ??เปลืองค่ารถ บางที่โทรมาบอกว่าให้ไปสัมฯพอไปถึงกรอกใบสมัครเสร็จก็ให้รอแล้ว hr ก็เดินมาบอกว่าคือน้องจบไม่ตรงสายและไม่มีประสบการณ์อะพี่ให้เทสไม่ได้หรอกนะน้อง แล้วก็เชิญเรากลับ อะอ้าว!!!แบบนี้ไม่ได้นะพี่ ค่ารถหนูอะ หรือแม้แต่ให้ไปสัมฯ รอผล 2 อาทิตย์แล้วก็เงียบหายไปกลับสายลม เจอแบบนี้รวมๆแล้วเป็นสิบๆที่ ภายในระยะเวลาเกือบๆ 2 เดือน (เราเริ่มหาตั้งแต่มี.ค)
ตอนนั้นเราเริ่มหมดแรงกับการหางาน ท้อ แต่ก็ส่งพอร์ต ส่งเรซูเม่ไปอยู่เรื่ิอยๆ แต่ก็ไม่ได้หวังเหมือนแรกๆ จนกระทั่งมีที่หนึ่งที่เราส่งพอร์ตไปโทรมาบอกว่าสนใจและอยากนัดสัมฯ เราก็โอเคค่ะ นัดแนะเวลาเรียบร้อย ส่งแผนที่มา พอถึงวันสัมฯเราก็เดินทางไปตามแผนที่ ปรากฎว่าไอ..ี้ยนี่ไม่ได้หลงใช่มั้ยหะ?? แผนที่บอกว่าเดินจาก mrt ไปบริษัทระยะทาง 500m นี่มันไม่ใช่คุณหลอกดาว เดินจาก mrt ไปหน้าปากซอยบริษัทร่วมๆ 2 โลพอเข้าไปแล้วเราเจอแต่บ้านคนที่เป็นทาวเฮาส์จนต้องโทรถามเบอร์ที่ให้ไว้ซึ่งเค้าก็บอกว่าเห็นบ้านสีส้มๆมีรถจอดมั้ยคะ นั่นแหละค่ะ เราก็เดินหา พอเจอเราสตั๊นไป 3 วิ นี่แม่มไม่ใช่รูปที่กรูเห็นในเว็ปพี่เอาไปโพส การเข้าไปในตัวบ้าน(อย่าเรียกบริษัทเลย) ต้องตะแคงตัวเข้าเพราะรถจอดบัง (ขอให้นึกถึงบ้านทาวเฮาส์ที่ไม่ได้กว้าง) พอเข้าไปถึงเงิบ 2 คือบริษัทนี้มีพนักงานอยู่ 7 คน และทุกคนต้องทำได้ทุกอย่าง ไม่มีการเทรนให้ให้ไปหาเรียนเอง หะ??? แต่เอาจริงๆใครจะมาเทรนให้มีกันอยู่แค่ 7 คนเนี่ย เราก็เอาเถอะไหนๆก็มาแล้ว ก็นั่งเทสไป เทสแบบรีบทำรีบกลับ พอกันทีกลับบริษัทนี้ (จนกระทั่งตอนนี้เราก็ยังเห็นบริษัทนี้ประกาศรับคนอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับที่เราสมัคร) พอเทสเสร็จออกมาแล้วเคว้งมาก นี่กรูต้องมาเจออะไรเนี่ย เอาอีกแล้วววว พอกลับมาถึงบ้านอาบน้ำขึ้นบ้าน ร้องไห้ ร้องออกมาแบบไม่มีสาเหตุ วันนั้นจำได้ว่าร้องจนหลับ
ผ่านมาจนถึงปลายเือนพ.ค เราก็ยังไม่มีงานทำ เพื่อนในกลุ่มก็เริ่มมีงานมีการทำกันหมดแล้ว เหลือเรากับเพื่อนเราอีกคน จนกระทั่งวันหนึ่งมีบริษัทแห่งหนึ่งโทรมา ตอนนั้นเรากำลังหลับอยู่ก็รับโทรศัพท์แบบมึนๆอะค่ะ ใจความก็คือไปเจอประวัติเราในเว็บๆหนึ่ง สนใจให้เราไปสัมภาษณ์ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์นะ เราก็ตกลงโอเคค่ะ พอถึงวันสัมฯ บริษัทนี้เช่าตึกแถวอยู่พ่วงด้วยเป็นโรงงาน สภาพบรรยากาศในบริษัทจะเรียกว่านรกแตกได้หรือไม่คือมันถูกกั้นแค่พนังระหว่างพนักงานออฟฟิสกับพนักงานฝ่ายผลิต และทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีดนตรีเป็นที่ยึดเหนี่ยว โดยไม่มีการใส่หูฟังใดๆทั้งนั้น ปล่อยมันออกมาผ่านลำโพงคอมฯและวิทยุเหมือนห้องนี้มีแค่ตัวเองคนเดียว ซักพักก็มี hr เรียกให้เราไปเทส และมีการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษหลังจากเทสเสร็จก็เดินออกมาและมั่นใจ 200% ว่ากรูทำเทสผิดหมดทุกข้อ โดยบริษัทแจ้งว่าจะแจ้งผลวันจันทร์นะคะ พอถึงวันจันทร์ตอนช่วง9 โมงเช้าก็มีโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าเรามาจากบริษัทนี้นะคะ (ทำไมชอบโทรมาตอนนอนวะบริษัทนี้) บอกว่าผ่านการคัดเลือก ได้เข้ามาทำงานแล้ว ด้วยความที่มึนๆอะคะ ก็ตอบตกลงไปบอกโอเคค่ะ เริ่มงานจันทร์หน้าเลย แล้ววางสายไป พอซักพักสร่างและตั้งสติได้ตอนคุยเบลอๆฟังชื่อบริษัทไม่ชัดและประกอบกับว่าไปสัมฯหลายที่จนลืมชื่อบริษัทแล้ว เลยเอาเบอร์ไปหาในกูเกิ้ล ปรากฎว่าเห..ดครกนี่มันโรงงานผับนี่หว่า เอาไงดีวะ หลังจากนั้นก็คุยทั้งกับครอบครัวและเพื่อน ก็มีทั้งลองๆไปก่อนเอาประสบการณ์ กับอย่าเลยเมิงโปรแกรมเมอร์ไรวะเงินเดือน 15k จนสุดท้ายเอาวะทำๆเอาประสบการณ์ก่อน หลังจากนั้นบริษัทก็นัดให้เราไปเซ็นสัญญาและคุยเกี่ยวกับกฎบริษัทซึ่งส่วนมากเจอกห้ามๆๆๆ ห้ามใส่กระโปรงห้ามพกมือถือกางเกงแสลกก็ไม่ให้ใส่ ให้ใส่แต่ยีนส์ ก็คุยกันไปเรื่อยๆอะค่ะ จนกระทั่งเจอประโยคแซบแคปให้ด้วยจากหัวหน้า hr ว่า "ออกอีกแล้ว ทำไมลาออกกันบ่อยจัง" แล้วนางก็กดเมาส์นางต่อไป แล้วหลังจากนั้นนางก็ให้เราไปเปิดบัญชีธนาคารที่แม่มสาขาน้อยแถมตู้ก็ไม่มี พอถึงวันเริ่มงาน hr ก็พาเราไปแนะนำคนนู้นคนนี้ เจอจิกใส่บ้าง ไหว้เสร็จหันไปหัวเราะกับเพื่อนบ้าง ไม่สนใจบ้าง เออเอาเถอะแล้วแต่เมิงเลย พอถึงโต๊ะก็มีพี่แผนกซึ่งแผนกมีอยู่ 3 แต่เอาจริงๆเราเป็นโปรแกรมเมอร์คนเดียวในบริษัทเพราะที่เหลือจะแค่จัดการโค้ดบางส่วนและทำอะไรไม่ได้มาก คนมาสอนงานพาเราไปเจ้หัวหน้าทีม เราก็ยกมือไหว้ แต่เจ้แกเหลือบตาขึ้นมามองแล้วมองคอมของนางต่อ ไอเราก็เงิบนิดๆงงหน่อยๆ แล้วหันไปยิ้มกับพี่ที่มาเทรนงานให้ พอซักพักพี่เค้าก็มาสอนเราใช้นู่นนี่ พี่เค้าก็บอกว่าแกช่วงนี้พี่อาจไม่ได้มาสอนงานนะงานเยอะ มีอะไรไปถามเจ้หัวหน้าทีมนะ เพราะเค้าจะเป็นคนรับงาน เราก็โอเคค่ะ ระหว่างนั้นก็นั่งดูโค้ดที่พี่เทรนงานส่งมาให้ ให้อ่านบัค ลองย้ายนู่นย้ายนี่ ซักพักเจ้หัวหน้าทีมเดินมาบอกว่าน้องๆ ไปช่วยงานพี่ A ไปตอนนี้ยังไม่มีงานให้น้องทำ แล้วเจ้แกก็เดินสะบัดตูนกลับโต๊ะไป เราก็ค่ะๆ แล้วเดินไปหาพี่คนนั้นแล้วก็อยู่ช่วยงานพี่เค้าจนเสร็จ สรุปวันแรกกรูมานั่งตรวจสายแลนเพราะสายแลนฝั่งโปรดัคชั่นใช้ไม่ได้ วันแรกผ่านไปกับบรรยากาศที่โค-ตะ-ระอึดอัด นึกในใจแบบโลกสวยว่ากรูจูนกลับคนอื่นไม่ได้หรอวะเนี่ย วันที่ 2 เราก็พยายามวิ่งเข้าหา ยิ้มให้ ไหว้ สรุปเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่มีใครไปกินข้าวด้วย พอถึงตอนเที่ยงทุกคนเดินอย่างไว ปล่อยให้ชั้นยืนงงว่าจะไปไหนดี แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าไปซื้อข้าว 7-11 แล้วเอามานั่งกินหน้าบริษัทคนเดียว เราใช้ชีวิตแบบนั้นมา 1 สัปดาห์ บ่นให้เพื่อนฟังบ้างพ่อแม่ฟังบ้าง ทุกคนก็ล้วนแต่บอกว่าเอาเหอะเมิง เดี๊ยวมันก็ผ่านไป เราไปทำงานก็เหมือนเราว่างงานอะค่ะ เข้าไปถามว่ามีงานอะไรให้ทำมั้ยก็ตอบเราว่าไม่มีบ้างให้เราไปช่วยงานที่ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งงานบ้าง ตอนนั้นเราก็เริ่มหางานใหม่ไว้บ้าง เพราะนึกในใจกรูไม่รอดและต้องมีสักวันที่ทนไม่ไหวแน่ๆ เราทำงานเป็นแบบนี้อยู่ 2 อาทิตย์ จนกระทั่งมาถึงวันที่เราฟิวส์ขาด วันนั้นเราเดินไปถามเจ้หัวหน้าทีมพี่ๆมีอะไรให้หนูช่วยมั้ย เหมือนวันนั้นเจ้ประจำเดือนไม่มาหรือสามีไม่ทำการบ้านไม่รู้ตอบกลับมาว่า แล้วชั้นจะรู้มั้ยงานเธอก็เรื่องของเธอสิ ไม่เห็นหรือไงงานชั้นกองสุมหัวอยู่เนี่ย ไม่รู้งานก็ออกไป หะ??เจ้ว่าอะไรนะคะ คำพูดเจ้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายสำหรับบริษัทนี้ แล้วเราเป็นพวกถ้าโมโหจะแก่ขนาดไหนถ้าไม่มีเหตุกรูใส่เต็มหมด เราเลยบอกว่าเรื่องของเจ้แล้วงานชี้นมั้ยก๋บอกเองไม่ใช่หรอว่าให้มาถามอะ ก็มาถามแล้วไง แล้วจะเอาอะไรอีก เจ้เป็นอะไรกับชั้นหรอ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแล้วอะ?? หลังจากปล่อยระเบิดเสร็จเราก็เก็บของกลับบ้านเลย วันรุ่งขึ้นเราก็โทรไปบอก hr ว่าหนูลาออกแล้วนะคะเดี๋ยวไปส่งใบลากับคืนกุญแจล็อกเกอร์ให้ ด้วยความที่ตอนนั้นมีงานใหม่ชวนให้เราไปทำงานพอดี ทั้งๆที่ตอนแรกเรากะจะอยู่ต่อให้ครบอาทิตย์แล้วค่อยออก วันรุ่งขึ้นเราไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ พอตกบ่ายเราก็กลับมายื่นใบลาออกแล้วจะมาเอาของออก สรุปเราทำได้แค่ยื่นใบลาออกค่ะ ของเราโดนอิเจ้ยึดไปเรียบร้อย เราก็ทำได้แค่มองหน้าและด่าในใจแล้วออกจากบริษัททันที เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนก็บอกว่าทำบุญเยอะๆนะเมิงง
มาที่ใหม่บ้างเราได้งานที่ใหม่แต่สายงานเดิม บรรยากาศต่างกันคนละขั้ว พี่ที่บริษัทเป็นกันเองจนบางครั้งเราก็เกรงใจในความกันเอง มีอะไรเราสามารถพูดคุยกันได้ เราเคยเล่าสิ่งที่เราเจอมาให้พี่เค้าฟัง พี่เค้าบอกว่ามันก็มีทุกที่อะน้อง แต่น้องโชคร้ายที่เจอเร็วไป
ที่เราเอามาโพสเราอยากเอามาแชร์ให้คนที่กำลังหางานอยู่ ตกงานหรือเจอปัญหาในที่ทำงาน เราอยากให้ทุกคนอย่าพึ่งรีบร้อนในการหางาน บรรยากาศในที่ทำงานเป็นอีกสิ่งที่สำคัญในการทำงาน เราถือคติตลอดเวลาคับที่อยู่ง่ายคับใจอยู่ยาก อย่างแรกเลยลองสมมติตัวเองว่าถ้าเราไปอยู่ในนั้นจริงๆเราจะทนอยู่ได้มั้ย อย่างที่ 2 คือตัวงานเราสามารถทนกับมันได้จริงๆหรือเปล่า และอย่าทนกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำแล้วเราไม่มีความสุขก็ออกมาเถอะค่ะ
อยากแชร์ประสบการณ์สำหรับคนที่หางาน ตกงาน หรือกำลังจะเริ่มทำงานใหม่
ตอนนั้นเราเริ่มหมดแรงกับการหางาน ท้อ แต่ก็ส่งพอร์ต ส่งเรซูเม่ไปอยู่เรื่ิอยๆ แต่ก็ไม่ได้หวังเหมือนแรกๆ จนกระทั่งมีที่หนึ่งที่เราส่งพอร์ตไปโทรมาบอกว่าสนใจและอยากนัดสัมฯ เราก็โอเคค่ะ นัดแนะเวลาเรียบร้อย ส่งแผนที่มา พอถึงวันสัมฯเราก็เดินทางไปตามแผนที่ ปรากฎว่าไอ..ี้ยนี่ไม่ได้หลงใช่มั้ยหะ?? แผนที่บอกว่าเดินจาก mrt ไปบริษัทระยะทาง 500m นี่มันไม่ใช่คุณหลอกดาว เดินจาก mrt ไปหน้าปากซอยบริษัทร่วมๆ 2 โลพอเข้าไปแล้วเราเจอแต่บ้านคนที่เป็นทาวเฮาส์จนต้องโทรถามเบอร์ที่ให้ไว้ซึ่งเค้าก็บอกว่าเห็นบ้านสีส้มๆมีรถจอดมั้ยคะ นั่นแหละค่ะ เราก็เดินหา พอเจอเราสตั๊นไป 3 วิ นี่แม่มไม่ใช่รูปที่กรูเห็นในเว็ปพี่เอาไปโพส การเข้าไปในตัวบ้าน(อย่าเรียกบริษัทเลย) ต้องตะแคงตัวเข้าเพราะรถจอดบัง (ขอให้นึกถึงบ้านทาวเฮาส์ที่ไม่ได้กว้าง) พอเข้าไปถึงเงิบ 2 คือบริษัทนี้มีพนักงานอยู่ 7 คน และทุกคนต้องทำได้ทุกอย่าง ไม่มีการเทรนให้ให้ไปหาเรียนเอง หะ??? แต่เอาจริงๆใครจะมาเทรนให้มีกันอยู่แค่ 7 คนเนี่ย เราก็เอาเถอะไหนๆก็มาแล้ว ก็นั่งเทสไป เทสแบบรีบทำรีบกลับ พอกันทีกลับบริษัทนี้ (จนกระทั่งตอนนี้เราก็ยังเห็นบริษัทนี้ประกาศรับคนอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับที่เราสมัคร) พอเทสเสร็จออกมาแล้วเคว้งมาก นี่กรูต้องมาเจออะไรเนี่ย เอาอีกแล้วววว พอกลับมาถึงบ้านอาบน้ำขึ้นบ้าน ร้องไห้ ร้องออกมาแบบไม่มีสาเหตุ วันนั้นจำได้ว่าร้องจนหลับ
ผ่านมาจนถึงปลายเือนพ.ค เราก็ยังไม่มีงานทำ เพื่อนในกลุ่มก็เริ่มมีงานมีการทำกันหมดแล้ว เหลือเรากับเพื่อนเราอีกคน จนกระทั่งวันหนึ่งมีบริษัทแห่งหนึ่งโทรมา ตอนนั้นเรากำลังหลับอยู่ก็รับโทรศัพท์แบบมึนๆอะค่ะ ใจความก็คือไปเจอประวัติเราในเว็บๆหนึ่ง สนใจให้เราไปสัมภาษณ์ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์นะ เราก็ตกลงโอเคค่ะ พอถึงวันสัมฯ บริษัทนี้เช่าตึกแถวอยู่พ่วงด้วยเป็นโรงงาน สภาพบรรยากาศในบริษัทจะเรียกว่านรกแตกได้หรือไม่คือมันถูกกั้นแค่พนังระหว่างพนักงานออฟฟิสกับพนักงานฝ่ายผลิต และทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีดนตรีเป็นที่ยึดเหนี่ยว โดยไม่มีการใส่หูฟังใดๆทั้งนั้น ปล่อยมันออกมาผ่านลำโพงคอมฯและวิทยุเหมือนห้องนี้มีแค่ตัวเองคนเดียว ซักพักก็มี hr เรียกให้เราไปเทส และมีการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษหลังจากเทสเสร็จก็เดินออกมาและมั่นใจ 200% ว่ากรูทำเทสผิดหมดทุกข้อ โดยบริษัทแจ้งว่าจะแจ้งผลวันจันทร์นะคะ พอถึงวันจันทร์ตอนช่วง9 โมงเช้าก็มีโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าเรามาจากบริษัทนี้นะคะ (ทำไมชอบโทรมาตอนนอนวะบริษัทนี้) บอกว่าผ่านการคัดเลือก ได้เข้ามาทำงานแล้ว ด้วยความที่มึนๆอะคะ ก็ตอบตกลงไปบอกโอเคค่ะ เริ่มงานจันทร์หน้าเลย แล้ววางสายไป พอซักพักสร่างและตั้งสติได้ตอนคุยเบลอๆฟังชื่อบริษัทไม่ชัดและประกอบกับว่าไปสัมฯหลายที่จนลืมชื่อบริษัทแล้ว เลยเอาเบอร์ไปหาในกูเกิ้ล ปรากฎว่าเห..ดครกนี่มันโรงงานผับนี่หว่า เอาไงดีวะ หลังจากนั้นก็คุยทั้งกับครอบครัวและเพื่อน ก็มีทั้งลองๆไปก่อนเอาประสบการณ์ กับอย่าเลยเมิงโปรแกรมเมอร์ไรวะเงินเดือน 15k จนสุดท้ายเอาวะทำๆเอาประสบการณ์ก่อน หลังจากนั้นบริษัทก็นัดให้เราไปเซ็นสัญญาและคุยเกี่ยวกับกฎบริษัทซึ่งส่วนมากเจอกห้ามๆๆๆ ห้ามใส่กระโปรงห้ามพกมือถือกางเกงแสลกก็ไม่ให้ใส่ ให้ใส่แต่ยีนส์ ก็คุยกันไปเรื่อยๆอะค่ะ จนกระทั่งเจอประโยคแซบแคปให้ด้วยจากหัวหน้า hr ว่า "ออกอีกแล้ว ทำไมลาออกกันบ่อยจัง" แล้วนางก็กดเมาส์นางต่อไป แล้วหลังจากนั้นนางก็ให้เราไปเปิดบัญชีธนาคารที่แม่มสาขาน้อยแถมตู้ก็ไม่มี พอถึงวันเริ่มงาน hr ก็พาเราไปแนะนำคนนู้นคนนี้ เจอจิกใส่บ้าง ไหว้เสร็จหันไปหัวเราะกับเพื่อนบ้าง ไม่สนใจบ้าง เออเอาเถอะแล้วแต่เมิงเลย พอถึงโต๊ะก็มีพี่แผนกซึ่งแผนกมีอยู่ 3 แต่เอาจริงๆเราเป็นโปรแกรมเมอร์คนเดียวในบริษัทเพราะที่เหลือจะแค่จัดการโค้ดบางส่วนและทำอะไรไม่ได้มาก คนมาสอนงานพาเราไปเจ้หัวหน้าทีม เราก็ยกมือไหว้ แต่เจ้แกเหลือบตาขึ้นมามองแล้วมองคอมของนางต่อ ไอเราก็เงิบนิดๆงงหน่อยๆ แล้วหันไปยิ้มกับพี่ที่มาเทรนงานให้ พอซักพักพี่เค้าก็มาสอนเราใช้นู่นนี่ พี่เค้าก็บอกว่าแกช่วงนี้พี่อาจไม่ได้มาสอนงานนะงานเยอะ มีอะไรไปถามเจ้หัวหน้าทีมนะ เพราะเค้าจะเป็นคนรับงาน เราก็โอเคค่ะ ระหว่างนั้นก็นั่งดูโค้ดที่พี่เทรนงานส่งมาให้ ให้อ่านบัค ลองย้ายนู่นย้ายนี่ ซักพักเจ้หัวหน้าทีมเดินมาบอกว่าน้องๆ ไปช่วยงานพี่ A ไปตอนนี้ยังไม่มีงานให้น้องทำ แล้วเจ้แกก็เดินสะบัดตูนกลับโต๊ะไป เราก็ค่ะๆ แล้วเดินไปหาพี่คนนั้นแล้วก็อยู่ช่วยงานพี่เค้าจนเสร็จ สรุปวันแรกกรูมานั่งตรวจสายแลนเพราะสายแลนฝั่งโปรดัคชั่นใช้ไม่ได้ วันแรกผ่านไปกับบรรยากาศที่โค-ตะ-ระอึดอัด นึกในใจแบบโลกสวยว่ากรูจูนกลับคนอื่นไม่ได้หรอวะเนี่ย วันที่ 2 เราก็พยายามวิ่งเข้าหา ยิ้มให้ ไหว้ สรุปเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่มีใครไปกินข้าวด้วย พอถึงตอนเที่ยงทุกคนเดินอย่างไว ปล่อยให้ชั้นยืนงงว่าจะไปไหนดี แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าไปซื้อข้าว 7-11 แล้วเอามานั่งกินหน้าบริษัทคนเดียว เราใช้ชีวิตแบบนั้นมา 1 สัปดาห์ บ่นให้เพื่อนฟังบ้างพ่อแม่ฟังบ้าง ทุกคนก็ล้วนแต่บอกว่าเอาเหอะเมิง เดี๊ยวมันก็ผ่านไป เราไปทำงานก็เหมือนเราว่างงานอะค่ะ เข้าไปถามว่ามีงานอะไรให้ทำมั้ยก็ตอบเราว่าไม่มีบ้างให้เราไปช่วยงานที่ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งงานบ้าง ตอนนั้นเราก็เริ่มหางานใหม่ไว้บ้าง เพราะนึกในใจกรูไม่รอดและต้องมีสักวันที่ทนไม่ไหวแน่ๆ เราทำงานเป็นแบบนี้อยู่ 2 อาทิตย์ จนกระทั่งมาถึงวันที่เราฟิวส์ขาด วันนั้นเราเดินไปถามเจ้หัวหน้าทีมพี่ๆมีอะไรให้หนูช่วยมั้ย เหมือนวันนั้นเจ้ประจำเดือนไม่มาหรือสามีไม่ทำการบ้านไม่รู้ตอบกลับมาว่า แล้วชั้นจะรู้มั้ยงานเธอก็เรื่องของเธอสิ ไม่เห็นหรือไงงานชั้นกองสุมหัวอยู่เนี่ย ไม่รู้งานก็ออกไป หะ??เจ้ว่าอะไรนะคะ คำพูดเจ้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายสำหรับบริษัทนี้ แล้วเราเป็นพวกถ้าโมโหจะแก่ขนาดไหนถ้าไม่มีเหตุกรูใส่เต็มหมด เราเลยบอกว่าเรื่องของเจ้แล้วงานชี้นมั้ยก๋บอกเองไม่ใช่หรอว่าให้มาถามอะ ก็มาถามแล้วไง แล้วจะเอาอะไรอีก เจ้เป็นอะไรกับชั้นหรอ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแล้วอะ?? หลังจากปล่อยระเบิดเสร็จเราก็เก็บของกลับบ้านเลย วันรุ่งขึ้นเราก็โทรไปบอก hr ว่าหนูลาออกแล้วนะคะเดี๋ยวไปส่งใบลากับคืนกุญแจล็อกเกอร์ให้ ด้วยความที่ตอนนั้นมีงานใหม่ชวนให้เราไปทำงานพอดี ทั้งๆที่ตอนแรกเรากะจะอยู่ต่อให้ครบอาทิตย์แล้วค่อยออก วันรุ่งขึ้นเราไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ พอตกบ่ายเราก็กลับมายื่นใบลาออกแล้วจะมาเอาของออก สรุปเราทำได้แค่ยื่นใบลาออกค่ะ ของเราโดนอิเจ้ยึดไปเรียบร้อย เราก็ทำได้แค่มองหน้าและด่าในใจแล้วออกจากบริษัททันที เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนก็บอกว่าทำบุญเยอะๆนะเมิงง
มาที่ใหม่บ้างเราได้งานที่ใหม่แต่สายงานเดิม บรรยากาศต่างกันคนละขั้ว พี่ที่บริษัทเป็นกันเองจนบางครั้งเราก็เกรงใจในความกันเอง มีอะไรเราสามารถพูดคุยกันได้ เราเคยเล่าสิ่งที่เราเจอมาให้พี่เค้าฟัง พี่เค้าบอกว่ามันก็มีทุกที่อะน้อง แต่น้องโชคร้ายที่เจอเร็วไป
ที่เราเอามาโพสเราอยากเอามาแชร์ให้คนที่กำลังหางานอยู่ ตกงานหรือเจอปัญหาในที่ทำงาน เราอยากให้ทุกคนอย่าพึ่งรีบร้อนในการหางาน บรรยากาศในที่ทำงานเป็นอีกสิ่งที่สำคัญในการทำงาน เราถือคติตลอดเวลาคับที่อยู่ง่ายคับใจอยู่ยาก อย่างแรกเลยลองสมมติตัวเองว่าถ้าเราไปอยู่ในนั้นจริงๆเราจะทนอยู่ได้มั้ย อย่างที่ 2 คือตัวงานเราสามารถทนกับมันได้จริงๆหรือเปล่า และอย่าทนกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำแล้วเราไม่มีความสุขก็ออกมาเถอะค่ะ