ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมพึ่งจะขึ้น ม1 ละมีการเข้าค่ายลูกเสือ
ที่จังหวัด สระบุรี ค่ายที่เข้านี้อยู่บนภูเขา พอมาถึงค่ายก่อนที่จะทำกิจกรรมต่างๆ
คุณครูที่รับผิดชอบกิจกรรม ลูกเสือ นี้พาเด็กประมาณ 311 คน มาไหว้ต้นไม้ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันคือต้นอะไร ซึ่งมาทราบทีหลังนี้ว่ามันคือต้นตะเคียน แต่ความวิเศษของมันคือการที่มันเป็นต้นตะเคียนที่มีตาซึ่งลักษณะมันจะเป็นลำต้นตะเคียน นอนราบกับพื้น แล้วระหว่างกลางลำต้นจะเป็นลูกกะตา1ดวง ซึ่งผมมองไปแวบแรกนี้ก็รู้สึกๆเฉยซึ่งตอนเขาทำพิธีผมก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร แถมยังพูดตลกกับเพื่อน ซึ่งไม่ใช่แค่ผมที่เป็นแบบนี้เพื่อนๆบางกลุ่มหรือ พี่ ม2-3 ก็เหมือนกันซึ่ง หลังจากที่ทำพิธีเสร็จ คุณครูที่เป็นผู้รับผิดชอบเขาก็พูดดัก พวกที่ชอบ ปากกล้าลบหลู่ คุณครูได้เตือนว่า ที่ค่ายแห่งนี้ มีนางตะเคียน อยู่จริงซึ่งก่อนหน้านี้ที่เรามา ก็มี โรงเรียนอื่นมาเข้าค่ายเหมือนเราซึ่งมันเป็นปกติของเด็กวัยรุ่นซึ่งปากพูดไม่คิดลบหลู่ต้นตะเคียนพูดตะโกนโวกเวกโวย คืนนั้น วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเดินเล่นกันข้างนอก ทั้งๆที่มีกิจกรรมและคุณครูของวัยรุ่นพวกนี้ก็ได้พูดเตือนกลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ไว้แล้วว่าห้ามเที่ยวเล่นหรือส่งเสียงดังเวลากลางคืนเพราะเป็นการรบกวนเจ้าป่าเจ้าเขาและที่สำคัญต้นตะเคียนที่มีนางตะเคียนสิงสถิตค่อยปกปักรักษาค่ายแห่งนี้อยู่ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ก็ดันเล่นพิเรนท์ ปิดประตูแกล้งเพื่อนในห้องน้ำซึ่ง น่าจะรู้นะครับว่าห้องน้ำที่ค่ายช่วงมืดนี้เป็นอย่างไร เด็กพวกนี้หลังจากแกล้งเพื่อนคนนี้เสร็จก็กลับไปทำกิจกรรมปกติจนได้เวลาเข้านอนทุกคนก็นอนแต่ไม่มีใครจำเพื่อนคนนี้ที่แกล้งไว้ได้เลย ตกดึกช่วง ตี2 เพื่อนของเด็กกลุ่มนี้ปวดท้องเข้าห้องน้ำจึงชักชวนเพื่อนไปด้วยการที่เป็นคืนแรกเด็กที่นอนต่างสถานที่ทุกคนต้องเป็นอาการนอนแปลกที่จึงไม่แปลกที่จะนอนไม่หลับ สรุป ก็ไปกันทั้งกลุ่ม ระหว่างทางเดินมาห้องน้ำต้องผ่านป่าที่ทำกิจกรรมซึ่งก็มืดมาก มีเพียงเสียงนกฮูกและลมเย็นพอไปถึงห้องน้ำต้องอึ้งกับสิ่งที่พวกมันเห็นเพราะเพื่อนคนที่มันแกล้งยืนชี้หน้าพวกมันอยู่ตะโกนออกมาดังๆว่า สนุกมากมั้ย? ืำให้เด็กพวกนี้ที่เป็นผู้ชายร้องลั่น จนเด็กๆและครูต่างพากันออกมาช่วยเหลือแต่เห็นเด็กที่ถูกนอนสลบอยู่ในห้องน้ำทั้งๆที่ก่อนหน้านี้วันรุ่นพวกนี้เห็นเด็กคนนี้ออกมาชี้หน้า จนเด็กกลุ่มนี้ถูกส่งกลับบ้านก่อน
พอฟังเสร็จ ผมก็กลัวนะแต่ไม่คิดไรทำกิจกรรมเปิดค่ายปกติ
ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ตกดึกคืนนั้น มีกิจกรรม ปิดตาละจับเชือกไปตามฐานต่างๆซึ่งเราก็ใช้ผ้าพันคอเนียเป็นผ้าผิดตา ซึ่งคุณครูเขาจะปล่อยนักเรียนไปทีละ 4หมู่ เนตรนารี 2 ลูกเสือ 2 ซึ่งผมได้ออกหมู่กลางๆ ระหว่างทางหมู่ผมก็โวกเวกโวยสบถคำหยาบจนคุณครูต้องจำพวกผมไปพักตรงต้นไม้จนพวกผมเงียบได้5นาทีเขาจึงให้พวกผมไปทำกิจกรรมต่อแต่ครั้งนี้แยกกันไปทั้งหมู่ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะทำกิจกรรมอีกครั้งก็มีบางหมู่ทำกิจกรรมเสร็จแล้วรอที่ห้องโถงสว่างๆ ซึ่ง พอผมได้กลับไปทำกิจกรรมอีกครั้งผมได้ไปกับเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนผมคนนี้มันได้เดินนำผมแต่ระหว่างนะมีเล็บมาขูดผมซึ่งผมก็ไม่คิดอะไรเพราะปกติก็จะมีคุณครูแกล้งผมอยู่แล้วเพราะผมเป็นคนที่กวนพอมีโอกาสคุณครูจะแกล้งก็ปกติ ผมเดินจับเชือกไปสักพักเพื่อนผมที่เดินนำหน้าผมมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้แล้วที่สำคัญเชือกที่ผมจับอยู่มันก็มาสุดทางมันแย่มากเลยใช่มั้ยละ? แต่เหมือนสวรรค์บรรดาลมามีครูยื่นท่อนไม้มาให้ผมซึ่งในใจก็คิดว่าสงสัยอยากให้ผมรีบทำกิจกรรมเพราะเกินเวลาผมก็เดินมาเรื่อยๆซึ่งมันเริ่มนานแสงไฟสลัวๆที่ผ่านเข้ามากระทบกับผ้าของผมเริ่มหาย ในใจผมก็นึกว่าครูแกล้งซึ่งผมก็เอาผ้าออกซึ่งมันมืดมากผมออกมาไกลจากห้องโถงจุดรวมนักเรียนประมาณ 200เมตร แต่แวบแรกที่ผมเห็นแค่ เป็นคนงานใส่เสื้อลายสก็อตส่วนสูงทุกคนแตกต่างกันไปใส่ยูนิฟรอมแบบคนงาน 100% และสิ่งที่ผมจับอยู่คือท่อนไม้บ๊องใหญ่ๆมีหนามแต่ช่วงที่ผมจับกลับไม่รู้สึกอะไร ผมรีบเดินกลับมาที่ห้องโถงใช้ครับผมเป็นคนสุดท้าย ทุกคนเคยอยู่ที่มืดนานๆมั้ยครับพอเห็นแสงสายตาจะปรับตัวไม่ทันแล้วมันจะมัวๆพอผมมองกลับไปที่ผมเดินออกมาคนงานเหล่านั้นที่ผมเห็นกลับไม่อยู่แต่ผมก็ไม่คิดอะไรเพราะพอสายตาผมกลับมาเป็นปกติผมก็ลืมเรื่องพวกนี้ละเตรียมเข้านอนเพราะถึงเวลาที่จะต้องนอนผมทำกิจกรรมเสร็จช่วง เที่ยงคืนพอดี อีก2วันที่เหลือ ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลกเกิกขึ้นอีกเลยพอผ่านมาได้2-3เดือนผมจึงถามพวกกองร้อยที่ไปค่ายบ่อยๆ ผมเล่าเรื่องให้มันฟังมันบอกว่าที่ผมพูดจริงมั้ย เพราะที่ค่ายนั้นไม่มีคนงานนอกจากแม่บ้านที่ทำกับข้าวให้กินและลูกแม่บ้านอีก2คนซึ่งเวลานั้นไม่น่าจะไปอยู่ตรงนั้น และตอนนั้นมันก็เห็นผมเดินไปทางน้ำตก มันก็คิดว่าผมแกล้ง มันบอกว่าผมโชคดีที่เปิดตามาก่อนเพราะถ้าตกไปน้ำที่ไหลเชี่ยวและประกอบว่าเป็นตอนกลางคืนผมคงไม่รอด ผมฟังแบบนั้นผมนี้ขนลุกเลยครับ
#ทั้งหมดคือเรื่องจริงแต่มีการ ปรับแต่งนิดหน่อยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน
เคยไปค่ายนี้มั้ยครับ?
ที่จังหวัด สระบุรี ค่ายที่เข้านี้อยู่บนภูเขา พอมาถึงค่ายก่อนที่จะทำกิจกรรมต่างๆ
คุณครูที่รับผิดชอบกิจกรรม ลูกเสือ นี้พาเด็กประมาณ 311 คน มาไหว้ต้นไม้ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันคือต้นอะไร ซึ่งมาทราบทีหลังนี้ว่ามันคือต้นตะเคียน แต่ความวิเศษของมันคือการที่มันเป็นต้นตะเคียนที่มีตาซึ่งลักษณะมันจะเป็นลำต้นตะเคียน นอนราบกับพื้น แล้วระหว่างกลางลำต้นจะเป็นลูกกะตา1ดวง ซึ่งผมมองไปแวบแรกนี้ก็รู้สึกๆเฉยซึ่งตอนเขาทำพิธีผมก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร แถมยังพูดตลกกับเพื่อน ซึ่งไม่ใช่แค่ผมที่เป็นแบบนี้เพื่อนๆบางกลุ่มหรือ พี่ ม2-3 ก็เหมือนกันซึ่ง หลังจากที่ทำพิธีเสร็จ คุณครูที่เป็นผู้รับผิดชอบเขาก็พูดดัก พวกที่ชอบ ปากกล้าลบหลู่ คุณครูได้เตือนว่า ที่ค่ายแห่งนี้ มีนางตะเคียน อยู่จริงซึ่งก่อนหน้านี้ที่เรามา ก็มี โรงเรียนอื่นมาเข้าค่ายเหมือนเราซึ่งมันเป็นปกติของเด็กวัยรุ่นซึ่งปากพูดไม่คิดลบหลู่ต้นตะเคียนพูดตะโกนโวกเวกโวย คืนนั้น วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเดินเล่นกันข้างนอก ทั้งๆที่มีกิจกรรมและคุณครูของวัยรุ่นพวกนี้ก็ได้พูดเตือนกลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ไว้แล้วว่าห้ามเที่ยวเล่นหรือส่งเสียงดังเวลากลางคืนเพราะเป็นการรบกวนเจ้าป่าเจ้าเขาและที่สำคัญต้นตะเคียนที่มีนางตะเคียนสิงสถิตค่อยปกปักรักษาค่ายแห่งนี้อยู่ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ก็ดันเล่นพิเรนท์ ปิดประตูแกล้งเพื่อนในห้องน้ำซึ่ง น่าจะรู้นะครับว่าห้องน้ำที่ค่ายช่วงมืดนี้เป็นอย่างไร เด็กพวกนี้หลังจากแกล้งเพื่อนคนนี้เสร็จก็กลับไปทำกิจกรรมปกติจนได้เวลาเข้านอนทุกคนก็นอนแต่ไม่มีใครจำเพื่อนคนนี้ที่แกล้งไว้ได้เลย ตกดึกช่วง ตี2 เพื่อนของเด็กกลุ่มนี้ปวดท้องเข้าห้องน้ำจึงชักชวนเพื่อนไปด้วยการที่เป็นคืนแรกเด็กที่นอนต่างสถานที่ทุกคนต้องเป็นอาการนอนแปลกที่จึงไม่แปลกที่จะนอนไม่หลับ สรุป ก็ไปกันทั้งกลุ่ม ระหว่างทางเดินมาห้องน้ำต้องผ่านป่าที่ทำกิจกรรมซึ่งก็มืดมาก มีเพียงเสียงนกฮูกและลมเย็นพอไปถึงห้องน้ำต้องอึ้งกับสิ่งที่พวกมันเห็นเพราะเพื่อนคนที่มันแกล้งยืนชี้หน้าพวกมันอยู่ตะโกนออกมาดังๆว่า สนุกมากมั้ย? ืำให้เด็กพวกนี้ที่เป็นผู้ชายร้องลั่น จนเด็กๆและครูต่างพากันออกมาช่วยเหลือแต่เห็นเด็กที่ถูกนอนสลบอยู่ในห้องน้ำทั้งๆที่ก่อนหน้านี้วันรุ่นพวกนี้เห็นเด็กคนนี้ออกมาชี้หน้า จนเด็กกลุ่มนี้ถูกส่งกลับบ้านก่อน
พอฟังเสร็จ ผมก็กลัวนะแต่ไม่คิดไรทำกิจกรรมเปิดค่ายปกติ
ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ตกดึกคืนนั้น มีกิจกรรม ปิดตาละจับเชือกไปตามฐานต่างๆซึ่งเราก็ใช้ผ้าพันคอเนียเป็นผ้าผิดตา ซึ่งคุณครูเขาจะปล่อยนักเรียนไปทีละ 4หมู่ เนตรนารี 2 ลูกเสือ 2 ซึ่งผมได้ออกหมู่กลางๆ ระหว่างทางหมู่ผมก็โวกเวกโวยสบถคำหยาบจนคุณครูต้องจำพวกผมไปพักตรงต้นไม้จนพวกผมเงียบได้5นาทีเขาจึงให้พวกผมไปทำกิจกรรมต่อแต่ครั้งนี้แยกกันไปทั้งหมู่ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะทำกิจกรรมอีกครั้งก็มีบางหมู่ทำกิจกรรมเสร็จแล้วรอที่ห้องโถงสว่างๆ ซึ่ง พอผมได้กลับไปทำกิจกรรมอีกครั้งผมได้ไปกับเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนผมคนนี้มันได้เดินนำผมแต่ระหว่างนะมีเล็บมาขูดผมซึ่งผมก็ไม่คิดอะไรเพราะปกติก็จะมีคุณครูแกล้งผมอยู่แล้วเพราะผมเป็นคนที่กวนพอมีโอกาสคุณครูจะแกล้งก็ปกติ ผมเดินจับเชือกไปสักพักเพื่อนผมที่เดินนำหน้าผมมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้แล้วที่สำคัญเชือกที่ผมจับอยู่มันก็มาสุดทางมันแย่มากเลยใช่มั้ยละ? แต่เหมือนสวรรค์บรรดาลมามีครูยื่นท่อนไม้มาให้ผมซึ่งในใจก็คิดว่าสงสัยอยากให้ผมรีบทำกิจกรรมเพราะเกินเวลาผมก็เดินมาเรื่อยๆซึ่งมันเริ่มนานแสงไฟสลัวๆที่ผ่านเข้ามากระทบกับผ้าของผมเริ่มหาย ในใจผมก็นึกว่าครูแกล้งซึ่งผมก็เอาผ้าออกซึ่งมันมืดมากผมออกมาไกลจากห้องโถงจุดรวมนักเรียนประมาณ 200เมตร แต่แวบแรกที่ผมเห็นแค่ เป็นคนงานใส่เสื้อลายสก็อตส่วนสูงทุกคนแตกต่างกันไปใส่ยูนิฟรอมแบบคนงาน 100% และสิ่งที่ผมจับอยู่คือท่อนไม้บ๊องใหญ่ๆมีหนามแต่ช่วงที่ผมจับกลับไม่รู้สึกอะไร ผมรีบเดินกลับมาที่ห้องโถงใช้ครับผมเป็นคนสุดท้าย ทุกคนเคยอยู่ที่มืดนานๆมั้ยครับพอเห็นแสงสายตาจะปรับตัวไม่ทันแล้วมันจะมัวๆพอผมมองกลับไปที่ผมเดินออกมาคนงานเหล่านั้นที่ผมเห็นกลับไม่อยู่แต่ผมก็ไม่คิดอะไรเพราะพอสายตาผมกลับมาเป็นปกติผมก็ลืมเรื่องพวกนี้ละเตรียมเข้านอนเพราะถึงเวลาที่จะต้องนอนผมทำกิจกรรมเสร็จช่วง เที่ยงคืนพอดี อีก2วันที่เหลือ ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลกเกิกขึ้นอีกเลยพอผ่านมาได้2-3เดือนผมจึงถามพวกกองร้อยที่ไปค่ายบ่อยๆ ผมเล่าเรื่องให้มันฟังมันบอกว่าที่ผมพูดจริงมั้ย เพราะที่ค่ายนั้นไม่มีคนงานนอกจากแม่บ้านที่ทำกับข้าวให้กินและลูกแม่บ้านอีก2คนซึ่งเวลานั้นไม่น่าจะไปอยู่ตรงนั้น และตอนนั้นมันก็เห็นผมเดินไปทางน้ำตก มันก็คิดว่าผมแกล้ง มันบอกว่าผมโชคดีที่เปิดตามาก่อนเพราะถ้าตกไปน้ำที่ไหลเชี่ยวและประกอบว่าเป็นตอนกลางคืนผมคงไม่รอด ผมฟังแบบนั้นผมนี้ขนลุกเลยครับ
#ทั้งหมดคือเรื่องจริงแต่มีการ ปรับแต่งนิดหน่อยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน