(จากบางส่วนของบทความ ท่านนาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย)
... ผมได้เสนอความคิดไปแล้วว่า ถ้าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ประกาศสละสิทธิ์เสีย
ก็จะเป็นการยุติปัญหา ทั้งเปิดทางให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างปลอดโปร่งใจ
มีเสียงแย้งว่า เมื่อมันเป็นสิทธิ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปสละสิทธิ์ ด้วยเหตุผลนั่นนี่โน่น
ไม่สละ ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะสละสิทธิ์หรือไม่สละสิทธิ์ก็ได้
แต่ผมมีความเชื่อว่า การเคลื่อนไหวเพื่อกดดันหรือเรียกร้องไม่ว่าจะโดยรูปแบบใดๆ หรือโดยอ้างสิทธิใดๆ ก็ตาม
มีแต่จะทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชห่างไกลออกไปทุกที
และพร้อมกันนั้นก็ขยายภาพที่น่าเกลียดน่าชังให้ใหญ่ขึ้นและชัดขึ้นไปทุกที โดยที่ผู้กระทำการหาได้รู้สึกหรือมองเห็นไม่
เมื่อความปรารถนาเข้าครอบงำ คำเตือนก็ไร้ค่า
ผมรู้สึกว่า พูดอะไรไปก็เหนื่อยเปล่า
... ก่อนหน้านั้น เหตุผลของฝ่ายค้านที่พูดๆ กันก็คือ
กรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งอื้อฉาวเกี่ยวกับเรื่องทุจริตการเงินถึงขั้นเห็นกันว่า
ต้องอาบัติปาราชิกข้ออทินนาทานไปแล้ว แต่มหาเถรสมาคม โดยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นผู้นำ
ก็พยายามปกป้องว่าไม่มีความผิด
ทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจทั้งในตัวท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นส่วนตัว
ทั้งลามไปถึงองค์คณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นส่วนรวมอีกด้วย
ผมเข้าใจว่ากรณีธรรมกายนี้น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่
ทั้งนี้เพราะวัดพระธรรมกายนั้นไม่ใช่วัดธรรมดา แต่มีลักษณะเป็นบริษัทพาณิชย์ มีนโยบายเอาทรัพยากร
ในพระพุทธศาสนาออกมาแปรรูปเป็นสินค้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อสะสมความมั่งคั่ง
เช่น จัดกิจกรรมเดินธุดงค์ ตักบาตรพระหมื่นรูป บวชพระแสนรูป เป็นต้น
หลักคำสอนก็วิปริตจากพระธรรมวินัย เช่น
สอนว่านิพพานเป็นอัตตา มีดินแดนเรียกว่า “พระนิพพาน” ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไปประทับรวมกันอยู่
มีพิธีกลั่นอาหารทิพย์ขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้า เป็นต้น
สรุปว่าวัดพระธรรมกายนั้นมีความสามารถในการสร้างภาพ สร้างกิจกรรมที่น่าศรัทธา
แล้วก็ใช้ศรัทธานั้นเป็นทางดูดความมั่งคั่งมาสู่สำนักต่อไป
ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้สังคมตั้งข้อสงสัย มีการต่อต้าน และโดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ที่อื้อฉาว
ทำให้วัดพระธรรมกายตกอยู่ในฐานะจำเลยสังคม
เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ แสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกับวัดพระธรรมกาย
(วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้องกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน-ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ กล่าวไว้เองเช่นนี้)
จึงเป็นเหตุให้สังคมที่คัดค้านวัดพระธรรมกายพลอยคัดค้านท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำไปด้วย
ผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่หากท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ สละสิทธิ์ ก็คือ
จะเป็นการสละหรือสลัดลัทธิธรรมกายให้หลุดออกไปจากตัวท่านได้อย่างนุ่มนวลและแนบเนียน
หมายความว่าอย่างไร
ก็หมายความว่า
เป็นที่เห็นกันชัดแจ้งแล้วว่า ที่ธรรมกายหนุนให้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ได้เป็นพระสังฆราชนั้น
ความประสงค์ที่แท้จริงก็คือจะได้อาศัยบารมีความเป็นสังฆราชเบิกทางไปสู่การขยายอิทธิพลและกอบโกยความมั่งคั่ง
ได้หนักหน่วงยิ่งขึ้นนั่นเอง
ดังคำที่หลายๆ ฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ถ้าวัดปากน้ำได้เป็นสังฆราช ธรรมกายก็จะผงาดขึ้นเฟื่องฟุ้ง
ถ้าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ สละสิทธิ์ ความหวังของธรรมกายก็หมดไปด้วย ถึงตอนนั้น (ถ้ามีตอนนั้น)
ธรรมกายนั่นเองที่จะเป็นฝ่ายสลัดวัดปากน้ำเพราะไม่เห็นทางที่จะได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว
แต่ไม่ว่าธรรมกายจะตีจากหรือจะยังคงช่วยเหลือเกื้อกูลวัดปากน้ำอยู่ต่อไป ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ก็จะเป็นอิสระมากขึ้น
ธรรมกายย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาขอให้ท่านอำนวยประโยชน์อะไรให้อีก และตัวท่านเจ้าพระคุณเองก็ย่อมจะไม่มีข้อผูกมัดที่
จะต้องอำนวยประโยชน์อะไรให้ธรรมกาย นอกจากในฐานะศิษย์-อาจารย์ธรรมดาๆ ท่านยังจะเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายหรือ
ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อสังฆมณฑล
นี่คือผลพลอยได้ที่มีความหมายมากที่สุด
นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย
... ถ้าวัดปากน้ำได้เป็นสังฆราช ธรรมกายก็จะผงาดขึ้นเฟื่องฟุ้ง ...
... ผมได้เสนอความคิดไปแล้วว่า ถ้าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ประกาศสละสิทธิ์เสีย
ก็จะเป็นการยุติปัญหา ทั้งเปิดทางให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างปลอดโปร่งใจ
มีเสียงแย้งว่า เมื่อมันเป็นสิทธิ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปสละสิทธิ์ ด้วยเหตุผลนั่นนี่โน่น
ไม่สละ ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะสละสิทธิ์หรือไม่สละสิทธิ์ก็ได้
แต่ผมมีความเชื่อว่า การเคลื่อนไหวเพื่อกดดันหรือเรียกร้องไม่ว่าจะโดยรูปแบบใดๆ หรือโดยอ้างสิทธิใดๆ ก็ตาม
มีแต่จะทำให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชห่างไกลออกไปทุกที
และพร้อมกันนั้นก็ขยายภาพที่น่าเกลียดน่าชังให้ใหญ่ขึ้นและชัดขึ้นไปทุกที โดยที่ผู้กระทำการหาได้รู้สึกหรือมองเห็นไม่
เมื่อความปรารถนาเข้าครอบงำ คำเตือนก็ไร้ค่า
ผมรู้สึกว่า พูดอะไรไปก็เหนื่อยเปล่า
... ก่อนหน้านั้น เหตุผลของฝ่ายค้านที่พูดๆ กันก็คือ
กรณีพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งอื้อฉาวเกี่ยวกับเรื่องทุจริตการเงินถึงขั้นเห็นกันว่า
ต้องอาบัติปาราชิกข้ออทินนาทานไปแล้ว แต่มหาเถรสมาคม โดยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นผู้นำ
ก็พยายามปกป้องว่าไม่มีความผิด
ทำให้สังคมเกิดความคลางแคลงใจทั้งในตัวท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เป็นส่วนตัว
ทั้งลามไปถึงองค์คณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นส่วนรวมอีกด้วย
ผมเข้าใจว่ากรณีธรรมกายนี้น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่
ทั้งนี้เพราะวัดพระธรรมกายนั้นไม่ใช่วัดธรรมดา แต่มีลักษณะเป็นบริษัทพาณิชย์ มีนโยบายเอาทรัพยากร
ในพระพุทธศาสนาออกมาแปรรูปเป็นสินค้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อสะสมความมั่งคั่ง
เช่น จัดกิจกรรมเดินธุดงค์ ตักบาตรพระหมื่นรูป บวชพระแสนรูป เป็นต้น
หลักคำสอนก็วิปริตจากพระธรรมวินัย เช่น
สอนว่านิพพานเป็นอัตตา มีดินแดนเรียกว่า “พระนิพพาน” ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไปประทับรวมกันอยู่
มีพิธีกลั่นอาหารทิพย์ขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้า เป็นต้น
สรุปว่าวัดพระธรรมกายนั้นมีความสามารถในการสร้างภาพ สร้างกิจกรรมที่น่าศรัทธา
แล้วก็ใช้ศรัทธานั้นเป็นทางดูดความมั่งคั่งมาสู่สำนักต่อไป
ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้สังคมตั้งข้อสงสัย มีการต่อต้าน และโดยเฉพาะกรณีเกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ที่อื้อฉาว
ทำให้วัดพระธรรมกายตกอยู่ในฐานะจำเลยสังคม
เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ แสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกับวัดพระธรรมกาย
(วัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่วัดน้องกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน-ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ กล่าวไว้เองเช่นนี้)
จึงเป็นเหตุให้สังคมที่คัดค้านวัดพระธรรมกายพลอยคัดค้านท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำไปด้วย
ผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่หากท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ สละสิทธิ์ ก็คือ
จะเป็นการสละหรือสลัดลัทธิธรรมกายให้หลุดออกไปจากตัวท่านได้อย่างนุ่มนวลและแนบเนียน
หมายความว่าอย่างไร
ก็หมายความว่า
เป็นที่เห็นกันชัดแจ้งแล้วว่า ที่ธรรมกายหนุนให้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ได้เป็นพระสังฆราชนั้น
ความประสงค์ที่แท้จริงก็คือจะได้อาศัยบารมีความเป็นสังฆราชเบิกทางไปสู่การขยายอิทธิพลและกอบโกยความมั่งคั่ง
ได้หนักหน่วงยิ่งขึ้นนั่นเอง
ดังคำที่หลายๆ ฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าวัดปากน้ำได้เป็นสังฆราช ธรรมกายก็จะผงาดขึ้นเฟื่องฟุ้ง
ถ้าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ สละสิทธิ์ ความหวังของธรรมกายก็หมดไปด้วย ถึงตอนนั้น (ถ้ามีตอนนั้น)
ธรรมกายนั่นเองที่จะเป็นฝ่ายสลัดวัดปากน้ำเพราะไม่เห็นทางที่จะได้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว
แต่ไม่ว่าธรรมกายจะตีจากหรือจะยังคงช่วยเหลือเกื้อกูลวัดปากน้ำอยู่ต่อไป ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ก็จะเป็นอิสระมากขึ้น
ธรรมกายย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาขอให้ท่านอำนวยประโยชน์อะไรให้อีก และตัวท่านเจ้าพระคุณเองก็ย่อมจะไม่มีข้อผูกมัดที่
จะต้องอำนวยประโยชน์อะไรให้ธรรมกาย นอกจากในฐานะศิษย์-อาจารย์ธรรมดาๆ ท่านยังจะเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายหรือ
ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อสังฆมณฑล
นี่คือผลพลอยได้ที่มีความหมายมากที่สุด
นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย