เมื่อจะทำกรรมให้ดี เราต้องมาทำความเข้าใจ ถึงธรรมชาติของกรรมด้วย เพราะคนหรือสัตว์โลกทั้งหลาย มีกรรมเป็นของตนเอง ซึ่งคุณสมบัติของกรรมมีดังนี
ข้อที่ ๑ มีกรรมเป็นของตน
ข้อที่ ๒ มีกรรมเป็นทายาท
ข้อที่ ๓ มีกรรมเป็นกำเนิด
ข้อที่ ๔ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
ข้อที่ ๕ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
ข้อที่ ๖ มีกรรมย่อมจำแนกสัตว์เพื่อให้เป็นผู้เลวและประณีต
ข้อที่ ๑ สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมของใครก็กรรมของมัน เข้าทำนองว่า คุณกิน คุณก็อิ่ม คุณไม่ได้กิน คุณก็หิว คุณก็อด เราหายใจแทนกันไม่ได้ ฉันใด เราก็ทำกรรมแทนกันไม่ได้ ฉันนั้น
ข้อที่ ๒ มีกรรมเป็นทายาท คำว่ามีกรรมเป็นทายาท นี่หมายถึงผล เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น เป็นทายาทรับผลของกรรมที่ตนทำเอาไว้ มีกรรมเป็นทายาทนั้น คุณทำอะไรไว้ คุณต้องรับผลของกรรมนั้น โยนทิ้ง ก็ไม่ได้ ทั้งกรรมชั่วและกรรมดี
ข้อที่ ๓ มีกรรมเป็นกำเนิด หมายถึง กำเนิดในชาติต่อไป เวลาใกล้ตาย ใครทำกรรมชั่วเอาไว้มาก ๆ พอใกล้ตายแล้วทำให้ป่วย ทำให้ทรมาน ทำให้ขัดอกขัดใจสารพัด ภาพการทำความชั่วทำให้ใจขุ่นมัว ถือกำเนิดในทุคติ ถ้าทำทาน รักษาศีลมาดี ละโลกแล้ว ถือกำเนิดในสุคติ
ข้อที่ ๔ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมติดตามเหมือนเผ่าพันธ์วงศ์ญาติ ที่คอยอุปถัมภ์หรือเบียดเบียน กรรมดีก็เหมือนวงศ์ญาติที่ดี กรรมชั่วก็เหมือนวงศ์ญาติชั่ว
ข้อที่ ๕ มีกรรมเป็นที่พึ่ง กรรมดีและกรรมชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้ ย่อมเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของผู้นั้น ญาติ พี่น้อง มิตรสหายหรือผู้ศักด์สิทธิ์ ก็เป็นที่พึ่งให้ไม่ได้เลย
ข้อที่ ๖ มีกรรมย่อมจำแนกสัตว์เพื่อให้เป็นผู้เลวและประณีต คำว่า เพื่อให้เป็นผู้เลวและประณีต ความว่า ความเป็นคนมีอายุสั้น ชื่อว่า เลว ความเป็นคนมีอายุยืน ชื่อว่า ประณีต(คือดี) ความเป็นผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ชื่อว่าเลว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยน้อย ชื่อว่าประณีต ความเป็นผู้ที่มีผิวพรรณทราม ชื่อว่าเลว ผู้ที่มีผิวพรรณงดงาม ชื่อว่าประณีต ความเป็นผู้ที่มียศศักดิ์น้อย ชื่อว่าเลว ผู้มียศศักดิ์มาก ชื่อว่าประณีตความเป็นผู้ที่มีโภคทรัพย์น้อย ชื่อว่าเลว ผู้มีโภคทรัพย์มาก ชื่อว่าประณีต ความเป็นผู้มีสกุลต่ำ ชื่อว่าเลว ผู้มีสกุลสูง ชื่อว่าประณีตความเป็นผู้มีปัญญาทราม ชื่อว่าเลว ผู้มีปัญญามาก ชื่อว่าประณีต ฉะนี้แล.
ธรรมชาติของกรรม
ข้อที่ ๑ มีกรรมเป็นของตน
ข้อที่ ๒ มีกรรมเป็นทายาท
ข้อที่ ๓ มีกรรมเป็นกำเนิด
ข้อที่ ๔ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
ข้อที่ ๕ มีกรรมเป็นที่พึ่ง
ข้อที่ ๖ มีกรรมย่อมจำแนกสัตว์เพื่อให้เป็นผู้เลวและประณีต
ข้อที่ ๑ สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมของใครก็กรรมของมัน เข้าทำนองว่า คุณกิน คุณก็อิ่ม คุณไม่ได้กิน คุณก็หิว คุณก็อด เราหายใจแทนกันไม่ได้ ฉันใด เราก็ทำกรรมแทนกันไม่ได้ ฉันนั้น
ข้อที่ ๒ มีกรรมเป็นทายาท คำว่ามีกรรมเป็นทายาท นี่หมายถึงผล เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น เป็นทายาทรับผลของกรรมที่ตนทำเอาไว้ มีกรรมเป็นทายาทนั้น คุณทำอะไรไว้ คุณต้องรับผลของกรรมนั้น โยนทิ้ง ก็ไม่ได้ ทั้งกรรมชั่วและกรรมดี
ข้อที่ ๓ มีกรรมเป็นกำเนิด หมายถึง กำเนิดในชาติต่อไป เวลาใกล้ตาย ใครทำกรรมชั่วเอาไว้มาก ๆ พอใกล้ตายแล้วทำให้ป่วย ทำให้ทรมาน ทำให้ขัดอกขัดใจสารพัด ภาพการทำความชั่วทำให้ใจขุ่นมัว ถือกำเนิดในทุคติ ถ้าทำทาน รักษาศีลมาดี ละโลกแล้ว ถือกำเนิดในสุคติ
ข้อที่ ๔ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ผู้ใดทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นย่อมติดตามเหมือนเผ่าพันธ์วงศ์ญาติ ที่คอยอุปถัมภ์หรือเบียดเบียน กรรมดีก็เหมือนวงศ์ญาติที่ดี กรรมชั่วก็เหมือนวงศ์ญาติชั่ว
ข้อที่ ๕ มีกรรมเป็นที่พึ่ง กรรมดีและกรรมชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้ ย่อมเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของผู้นั้น ญาติ พี่น้อง มิตรสหายหรือผู้ศักด์สิทธิ์ ก็เป็นที่พึ่งให้ไม่ได้เลย
ข้อที่ ๖ มีกรรมย่อมจำแนกสัตว์เพื่อให้เป็นผู้เลวและประณีต คำว่า เพื่อให้เป็นผู้เลวและประณีต ความว่า ความเป็นคนมีอายุสั้น ชื่อว่า เลว ความเป็นคนมีอายุยืน ชื่อว่า ประณีต(คือดี) ความเป็นผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ชื่อว่าเลว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยน้อย ชื่อว่าประณีต ความเป็นผู้ที่มีผิวพรรณทราม ชื่อว่าเลว ผู้ที่มีผิวพรรณงดงาม ชื่อว่าประณีต ความเป็นผู้ที่มียศศักดิ์น้อย ชื่อว่าเลว ผู้มียศศักดิ์มาก ชื่อว่าประณีตความเป็นผู้ที่มีโภคทรัพย์น้อย ชื่อว่าเลว ผู้มีโภคทรัพย์มาก ชื่อว่าประณีต ความเป็นผู้มีสกุลต่ำ ชื่อว่าเลว ผู้มีสกุลสูง ชื่อว่าประณีตความเป็นผู้มีปัญญาทราม ชื่อว่าเลว ผู้มีปัญญามาก ชื่อว่าประณีต ฉะนี้แล.