กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร:จะไถ่บาปจากการทำแท้งได้อย่างไร?
พระพุทธปาลิตมหาเถระ ชาวเมืองกุมภา อินเดียเหนือ แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์
พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก วัดเทพพุทธาราม แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์
เมื่อพุทธายุกาลล่วงแล้ว 2551 ปี 7 เดือน (เริ่มแปลวันที่ 7-17 กรกฎาคม)
บทนำ
พระสูตรปกรณ์นี้ว่าด้วยเรื่องกรรมวิบากของการทำแท้ง ยังให้มนุษย์หญิงชายผู้ได้อ่านและรับรู้เรื่องราว มีความสะดุ้งเกรงกลัวและละอายต่อบาปที่ตนก่อขึ้น เพราะตัณหาราคะและความขาดสติยั้งคิด ส่งผลให้ต้องทำร้ายชีวิตสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์ อันมีกรรมเท่ากับการฆ่าชีวิตมนุษย์หนึ่งคน ยังให้ประตูสวรรค์และมรรคผลนิพพานปิดสนิท ประตูอบายภูมิเปิดออก มีเจ้ากรรมนายเวรติดตามไปทุกภพทุกชาติ ฉุดรั้งให้หาความเจริญในชีวิตมิได้
สูตรนี้มีใจความปกป้องเด็กหญิงชายที่จะมาเกิดในครรภ์ มิให้ผู้เป็นบิดามารดาทำลายเสีย ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท และอานิสงส์ของพระธรรมที่บันดาลให้วิบากกรรมสิ้นสูญและมีอายุขัยยืนนานพร้อมกับมีธารณีมนต์ สูตรนี้จึงชื่อว่า กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร
อนึ่ง ยังมีอีกสูตรหนึ่งชื่อ กุมารปาลธารณีสูตร แปลโดยพระโพธิรุจิมหาเถระ ซึ่งมีเนื้อหาใกล้เคียงกันคือปกป้องเด็กหญิงชายจากภัยของปีศาจและโรคภัยต่างๆ เว้นแต่ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการทำแท้ง และมีเนื้อหาที่สั้นกว่าพระสูตรข้างต้นมาก ภายในพระสูตรฉบับหลังนี้ยังมีธารณี 2 บทเช่นกัน ซึ่งสามารถเทียบเป็นภาษาสันสกฤติจากธารณีปิฎกได้ครบสมบูรณ์ ซึ่งจะได้พิมพ์ไว้ในเล่มนี้ด้วย
อุบาสิกา ได้มีโพธิจิต นำพระสูตรบทนี้ ในภาคภาษาจีนมามอบให้และขอให้แปลเป็นภาษาไทย เพื่อประโยชน์แก่หญิงที่เคยทำแท้งหรือหญิงชายที่มีส่วนในกรรมชนิดนี้ ซึ่งจะต้องรับวิบากกรรมร้ายแรง ส่งผลให้มีอายุขัยสั้น มีโรคประหลาด และต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกและเดรัจฉาน เวียนว่ายทุกข์ทรมานยากจะหลุดพ้น อาตมาภาพจึงรับไว้และแปลจากภาษาจีนสู่ภาษาไทยตามที่ปรากฏนี้ ด้วยความยินดีและอนุโมทนายิ่ง
หวังว่าหมู่สัตว์ได้ทำกรรมร้ายแรงชนิดนี้แล้ว จะได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นที่พึ่ง ยังตนให้บริสุทธิ์จากวิบากกรรม การสำนึกละอายในความผิดที่ผ่านมาด้วยความจริงใจและไม่กระทำอีกเท่านั้น
จึงหยุดยั้งวิบากกรรมได้ชั่วขณะ เพราะอำนาจแห่งพระธรรมละลายบาปให้เจือจางได้ดุจน้ำละลายเกลือ แต่ความเค็มของเกลือคือบาปยังคงอยู่ หากน้ำบุญเหือดแห้งไปแล้วเกลือก็จะปรากฏและมีรสเค็มร้ายแรงดั่งเดิม
เราท่านทั้งหลายผู้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัท ได้สั่งสมบุญในพระพุทธศาสนา ล้วนเป็นผู้มีบุญละลายบาปให้เจือจางไปมาก จนมองไม่เห็นโทษไม่เกรงกลัวสังสารวัฏ หลงระเริงมัวเมาในชีวิต มิบำเพ็ญธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป แต่กลับใช้ร่างกายและทรัพย์ในทางที่ผิดทำนองคลองธรรม เมื่อน้ำบุญเหือดแห้งแต่เกลือบาปมากขึ้นแล้วก็ยากจะแก้ไข อาตมาภาพหวังว่าพระสูตรนี้จะเป็นแสงสว่างแก่ผู้เคยสร้างกรรมทำลายครรภ์ ยังให้สัตว์ทั้งหลายได้มีพระธรรมคือปฏิจจสมุปบาท อันเป็นอุปายะแห่งพระสูตรนี้เป็นที่พึ่ง บันดาลให้มีอายุขัยยืนยาวนาน ไร้โรคภัย ใช้ชีพสังขารนี้ยังประโยช์แก่ตนเองคือขัดเกลากิเลส พากเพียรบำเพ็ญธรรมและยังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง จนถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ...
พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก
23 กรกฎาคม 2551
กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร
ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับยับยั้งที่เมืองราชคฤห์ในคิชฌกูฏสิงขร พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหม่หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป มหาโพธิสัตว์หนึ่งหมื่นสองพันองค์ และบรรดาเทวดา นาค ภูติในคติแปด มนุษย์และอมนุษย์ต่างมารวมกันอยู่เพื่อสดับการแสดงธรรม
สมัยนั้นพระโลกนาถเจ้า ทรงใช้กำลังแห่งพุทธานุภาพ ฉายศุภรังสีนานาประการออกจากพระโอษฐ์ อันมีวรรณะห้าประการ มีเขียว เหลือง แดง ขาว เป็นต้น แต่ละวรรณะหนึ่งนั้นมีพุทธนิรมิตจำนวนประมาณมิได้ อันสามารถพระพุทธกิจได้เป็นอจินไตย แต่ละพุทธนิรมิตหนึ่งๆ ก็มีโพธิสัตว์นิรมิตอีกอีกจำนวนประมาณมิได้ ที่สรรเสริญอยู่ซึ่งพระพุทธคุณอันรัศมีนั้นมีความสวยงามและวิเศษยิ่งนัก จักหยั่งวัดได้โดยยากเบื้องบนจรดเนวสัญญานาสัญญาทิพยภูมิ เบื้องล่างจนถึงอเวจีมหานรก และนิรยสถานอีกแปดหมื่นโดยรอบนั้นก็ส่องฉายไปถึงสรรพสัตว์ในนั้นที่ได้ประสบพระพุทธรังสีนี้แล้ว ย่อมมีปกติระลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วล้วนได้บรรลุอุปายสมาธิของพระโพธิสัตว์ที่ดำรงปฐมภูมิ
ครั้งนั้นท่ามกลางธรรมสภา มีโพธิสัตว์ผู้เพิ่งบังเกิดโพธิจิตสี่สิบเก้าคน ล้วนปรารถนาจักขอความมีอายุยืนยาวจากพระพุทธองค์แต่มิอาจทูลถาม พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ล่วงรู้ความสงสัยเหล่านั้น จึงลุกจากอาสนะลดผ้าอคตตราสงค์เฉวียงบ่าขวาประนมกรด้านพระพุทธองค์แล้วทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์พบว่าในธรรมสภาแห่งนี้มีผู้สงสัยอยู่ บัดนี้จึงขอประทานพระบรมพุทธานุญาตทูลถาม ขอพระตถาคตโปรดสดับด้วยเถิด”
ตรัสว่า “สาธุๆ มัญชุศรี เธอสงสัยก็จงถามเถิด”
พระมัญชุศรีทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถ สรรพสัตว์ทั้งปวงในสังสารวัฏสาคร ได้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ จากกัลป์³ หนึ่งถึงอีกกัลป์หนึ่งวนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหก แม้นว่ามีกายมนุษย์แต่ได้รับวิบากให้อายุขัยสั้น ด้วยเหตุไฉนจักยังให้สัตว์เหล่านั้นมีอายุขัยยืนยาวสลายอกุศลกรรมทั้งปวง ขอพระโลกนาถเจ้าตรัสธรรมอันยังให้มีอายุขัยยืนยาวนานด้วยเถิดพระเจ้าข้า” ตรัสว่า “มัญชุศรี เธอมีเมตตายิ่งใหญ่ประมาณมิได้ ที่ระลึกถึงบาปทุกข์ของสรรพสัตว์ จึงสามารถถามเรื่องราวเหล่านั้น หากตถาคตกล่าวสรรพสัตว์ทั้งปวงจักมิอาจศรัทธาน้อมรับ”
พระมัญชุศรีได้ทูลย้ำว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้าผู้สัพพัญญู ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ในหมู่สัตว์ผู้โง่เขลาทั้งปวง ทรงเป็นบิดาผู้มีเมตตายิ่งใหญ่ พระสุรเสียงเดียวของพระองค์ที่เป็นมหาธรรมราชา ขอพระโลกนาถเจ้าโปรดสงสัย ตรัสแสดงให้กว้างขวาออกไปเถิดพระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ทรงแย้มสรวลแล้วรับสั่งกับมหาชนว่า “เธอทั้งหลายพึงสดับเถิด ตถาคตจะกล่าวแก่เธอ เมื่ออดีตชาติมีโลกธาตุหนึ่งชื่อ ศุทธิวิมล ดินแดนนั้นมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมันตประภาสัมมาทัศนะ เป็นผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ผู้ไกลจากกิเลสและควรบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้อื่นเสมอมิได้ ผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก มีโพธิสัตว์หมู่ใหญ่ประมาณจำนวนมิได้หาขอบเขตมิได้แวดล้อมอยู่ด้วยเคารพ
เมื่อพุทธบาปกาลครั้งนั้น มีอุบาสิกาหนึ่งชื่อ วิปลาส ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก จึงปรารถนาจักออกบวช ได้ร้องไห้คร่ำครวญมาทูลพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หม่อมฉันมีอกุศลกรรม ปรารถนาจักขมากรรม ขอพระโลกนาถเจ้าโปรดสดับวาจาของหม่อมฉันด้วยเถิด เมื่อกาลก่อนหม่อมฉันได้ทำลายครรภ์ที่ครบแปดเดือนบริบูรณ์ เพราะกฎของบ้านจึงมิต้องการเด็กเอาไว้ จึงวางยาพิษสังหารบุตรทำลายครรภ์ บุตรที่เป็นตายนี้มีลักษณะของมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว เคยได้ยินบัณฑิตกล่าวกับหม่อมฉันว่า หากทำลายครรภ์แล้ว บุคคลในชาติปัจจุบันย่อมเป็นผู้มีโรคร้ายแรง มีอายุขัยสั้น ชาตะเปราะบาง จะตกสู่อเวจีรับทุกขเวทนาแสนสาหัส บัดนี้ดิฉันใคร่ครวญแล้วจึงเกรงกลัวยิ่งนัก ขอพระโลกนาถเจ้าทรงอาศัยกำลังแห่งพระเมตตากรุณา แสดงธรรมแก่หม่อมฉันให้ได้โอกาสออกบวช งดเว้นซึ่งทุกข์นั้นด้วยเถิด”
สมัยนั้น พระสมันตประภาสัมมาทัศนตถาคต พระกรุณาตรัสแก่นางวิปลาสว่า “ในจักวาลมีขมากรรมห้าชนืดที่ยากจักสลายกรรมได้ มีประการใดฤา หนึ่งฆ่าบิดา สองฆ่ามารดา สามปหารครรภ์ สี่ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ห้าทำลายสามัคคีแห่งสงฆ์ อกุศลกรรมเหล่านี้แหละ ที่มีบาปยากจักดับสลาย” ครั้งนั้น นางวิปลาสจึงร้องไห้คร่ำครวญแล้วหลั่งรินน้ำตาดั่งสายฝนกระทำเบญจางคประดิษฐ์ เฉพาะพระพุทธพักตร์แล้วทูลว่า “พระโลกนาถเจ้าทรงพระเมตตายิ่งใหญ่อนุเคราะห์คุ้มครองสัตว์ทั้งปวง ขอพระโลกนาถเจ้าสงสารหม่อมฉันโปรดแสดงธรรมด้วยเถิด”
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ทรงกล่าวย้ำอีกว่า “อกุศลกรรมนี้ของเธอ จักยังให้ตกอเวจีมหานรกหาการหยุดพักมิได้ ในนรกร้อนเมื่อได้สัมผัสลมเย็นชั่วครู่ อกุศลบุคคลก็ยังเย็นชั่วครู่ ในนรกเย็นเมื่อได้สัมผัสลมร้อนชั่วครู่ อกุศลบุคคลก็ร้อนชั่วครู่ แต่อเวจีนรกนั้นมิเป็นเช่นนี้ เพลิงจากด้านบนลุกโชนตลอดถึงเบื้อล่าง เพลิงจากเบื้องล่างพวยพุ่งตลอดถึงเบื้องบน ทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงเหล็กกล้า ด้านบนมีตาข่ายเหล็กกล้า ทวารด้านตะวันออก ตะวันตกทั้งสี่ทิศล้วนร้อนแรงด้วยเปลวเพลิงแห่งกรรม หากมีบุคคลเดียวกายก็จักเต็มไปด้วยเพลิง แม้นจักมีกายสูงแปดหมื่นโยชน์ก็ตาม ฤาหากมีหลายคนก็จักเต็มไปด้วยเพลิงทั้งสิ้น ทั่วสรรพางกายแห่งคนบาปนั้นจักมีอสรพิษเหล็กขนาดมหึมาที่มีพิษร้ายแรงยังให้เกิดทุกขเวทนายิ่งด้วยเปลวเพลิง บ้างเลื้อยเข้าทางปากบ้างเลื้อยเข้าทางตาแล้วออกทางหู ผูกรัดอยู่รอบกาย เป็นเวลากัลป์หนึ่งถึงอีกกัลป์หนึ่ง แขนและขาของคนบาปนั้นจักมีเปลวเพลิงประทุออกมาอยู่เป็นนิจ ยังมีอีกาเหล็กที่จิกกินเนื้อ บ้างก็มีสุนัขทองแดงมากัดเคี้ยวกายนั้น มีนายนิรยบาลซึ่งมีศีรษะเป็นวัวถือมีดดาบไล่ตวาดด้วยเสียงอันดุร้ายประหนึ่งอสุนีบาต เธอเป็นผู้ประหารครรภ์เสียแล้ว พึงรับทุกข์เช่นนี้ หากเรามุสสาแล้วไซร้ย่อมมิได้ชื่อว่าพุทธะ
ครั้งนั้นเมื่อนางวิปลาสได้สดับพระพุทธวจนะแล้ว จึงยิ่งร้องไห้คร่ำครวญแล้วเกลือกกลิ้งที่ผืนดิน เมื่อสติเริ่มคืนกลับจึงกราบทูลพระพุทธองค์อีกว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หาใช่หม่อมฉันผู้เดียวที่จักรับทุกขเวทนานั้น แต่ยังมีสรรพสัตว์ต่างๆ ที่จักได้รับทุกข์เช่นนี้ด้วย” พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า “บุตรแห่งเธอนั้นอยู่ในครรภ์ ประกอบด้วยลักษณะสมบูรณ์ เมื่อยามจักกำเนิด(ดั่งอยู่)ในที่สองแห่ง อุปมานรกที่มีศิลาสองก้อนกดทับอยู่บนกาย มารดาหากกินอาหารร้อน(บุตร)ก็เหมือนอยู่ในนรกร้อน มารดากินอาหารเย็นก็ดุจอยู่ในนรกเย็น ทุกข์ทรมานอยู่ในความมืดมิดจนถึงวันสุดท้าย เธอยังมีจิตบาปวางยาพิษเสีย อกุศล กรรมนี้ของเธอจักยังให้ตกสู่อเวจี คนบาปในนรกนั่นแลจักเป็นสหายของเธอ” นางวิปลาสโศกเศร้าแล้วทูลอีกว่า “หม่อมฉันได้ยินบัณฑิตกล่าวเช่นนี้ว่า หากกระทำกรรมชั่วทั้งปวงแล้วได้พบพระพุทธเจ้าและสงฆ์ เมื่อขมากรรมแล้วกรรมย่อมดับไปได้ หาไม่แล้วเมื่อสิ้นชีพจักเข้าสู่นรกทั้งหลาย ผู้กระทำกุศลเล็กน้อยจักได้เกิดยังสวรรค์ เป็นตามมตินี้หรือไม่ ขอพระองค์ตรัสแก่หม่อมฉันด้วยเถิด”
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า “หากมีสรรพสัตว์ที่ทำกรรมร้ายแรงทั้งปวง เมื่อพบพระพุทธเจ้าและสงฆ์ ได้ขมากรรมสำนึกผิดด้วยความจริงใจ แล้วไม่กระทำอีก บาปนั้นย่อมดับสลายไป เมื่อสิ้นชีพแล้วพญายามราชผู้ทรงธรรมจักไต่ถามด้วยยังไม่แน่ชัด ญาติมิตรทั้งหกประเภท ผู้ยังมีชีวิตอยู่ของผู้สิ้นชีพนั้น หากได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าและนิมนต์หมู่สงฆ์ให้ภายในเจ็ดทิวาราตรีมาสังวัธยายมหายานสูตรซ้ำๆ ร่ำสุคนธ์และเกลี่ยดอกไม้บูชาแล้วไซร้ จักมียมฑูตผู้ตรวจสอบความดีชั่วถือ ธวัชเบญจรงค์ มายังเบื้องหน้ายมฑูต ตลอดทั้งเบื้องหน้าและหลังของธงนั้นจะมีเสียงสรรเสริญสดุดีไพเราะน่าฟังแล้วประกาศต่อยมราชนั้นว่า บุคคลนี้ได้สั่งสมกุศลเอาไว้
ยังมีผู้สิ้นชีพเป็นอันมากในเจ็ดทิวา ได้หลงเชื่อต่อมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปลาส มิศรัทธาพุทธธรรม คือมหายานสูตร ไร้จิตกตัญญูและจิตเมตตากรุณา จักมียมฑูตถือเอากาฬธวัชมา ตลอดทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของธงสีดำนั้น จะมีปีศาจร้ายจำนวนประมาณมิได้ ประกาศต่อยมราชนั้นว่าบุคคลนี้ได้สั่งสมอกุศลเอาไว้”(มีต่อ)
ขอเผยแพร่กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร:จะไถ่บาปจากการทำแท้งได้อย่างไร?
พระพุทธปาลิตมหาเถระ ชาวเมืองกุมภา อินเดียเหนือ แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์
พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก วัดเทพพุทธาราม แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์
เมื่อพุทธายุกาลล่วงแล้ว 2551 ปี 7 เดือน (เริ่มแปลวันที่ 7-17 กรกฎาคม)
บทนำ
พระสูตรปกรณ์นี้ว่าด้วยเรื่องกรรมวิบากของการทำแท้ง ยังให้มนุษย์หญิงชายผู้ได้อ่านและรับรู้เรื่องราว มีความสะดุ้งเกรงกลัวและละอายต่อบาปที่ตนก่อขึ้น เพราะตัณหาราคะและความขาดสติยั้งคิด ส่งผลให้ต้องทำร้ายชีวิตสัตว์ที่มาเกิดในครรภ์ อันมีกรรมเท่ากับการฆ่าชีวิตมนุษย์หนึ่งคน ยังให้ประตูสวรรค์และมรรคผลนิพพานปิดสนิท ประตูอบายภูมิเปิดออก มีเจ้ากรรมนายเวรติดตามไปทุกภพทุกชาติ ฉุดรั้งให้หาความเจริญในชีวิตมิได้
สูตรนี้มีใจความปกป้องเด็กหญิงชายที่จะมาเกิดในครรภ์ มิให้ผู้เป็นบิดามารดาทำลายเสีย ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท และอานิสงส์ของพระธรรมที่บันดาลให้วิบากกรรมสิ้นสูญและมีอายุขัยยืนนานพร้อมกับมีธารณีมนต์ สูตรนี้จึงชื่อว่า กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร
อนึ่ง ยังมีอีกสูตรหนึ่งชื่อ กุมารปาลธารณีสูตร แปลโดยพระโพธิรุจิมหาเถระ ซึ่งมีเนื้อหาใกล้เคียงกันคือปกป้องเด็กหญิงชายจากภัยของปีศาจและโรคภัยต่างๆ เว้นแต่ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการทำแท้ง และมีเนื้อหาที่สั้นกว่าพระสูตรข้างต้นมาก ภายในพระสูตรฉบับหลังนี้ยังมีธารณี 2 บทเช่นกัน ซึ่งสามารถเทียบเป็นภาษาสันสกฤติจากธารณีปิฎกได้ครบสมบูรณ์ ซึ่งจะได้พิมพ์ไว้ในเล่มนี้ด้วย
อุบาสิกา ได้มีโพธิจิต นำพระสูตรบทนี้ ในภาคภาษาจีนมามอบให้และขอให้แปลเป็นภาษาไทย เพื่อประโยชน์แก่หญิงที่เคยทำแท้งหรือหญิงชายที่มีส่วนในกรรมชนิดนี้ ซึ่งจะต้องรับวิบากกรรมร้ายแรง ส่งผลให้มีอายุขัยสั้น มีโรคประหลาด และต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกและเดรัจฉาน เวียนว่ายทุกข์ทรมานยากจะหลุดพ้น อาตมาภาพจึงรับไว้และแปลจากภาษาจีนสู่ภาษาไทยตามที่ปรากฏนี้ ด้วยความยินดีและอนุโมทนายิ่ง
หวังว่าหมู่สัตว์ได้ทำกรรมร้ายแรงชนิดนี้แล้ว จะได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นที่พึ่ง ยังตนให้บริสุทธิ์จากวิบากกรรม การสำนึกละอายในความผิดที่ผ่านมาด้วยความจริงใจและไม่กระทำอีกเท่านั้น
จึงหยุดยั้งวิบากกรรมได้ชั่วขณะ เพราะอำนาจแห่งพระธรรมละลายบาปให้เจือจางได้ดุจน้ำละลายเกลือ แต่ความเค็มของเกลือคือบาปยังคงอยู่ หากน้ำบุญเหือดแห้งไปแล้วเกลือก็จะปรากฏและมีรสเค็มร้ายแรงดั่งเดิม
เราท่านทั้งหลายผู้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัท ได้สั่งสมบุญในพระพุทธศาสนา ล้วนเป็นผู้มีบุญละลายบาปให้เจือจางไปมาก จนมองไม่เห็นโทษไม่เกรงกลัวสังสารวัฏ หลงระเริงมัวเมาในชีวิต มิบำเพ็ญธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป แต่กลับใช้ร่างกายและทรัพย์ในทางที่ผิดทำนองคลองธรรม เมื่อน้ำบุญเหือดแห้งแต่เกลือบาปมากขึ้นแล้วก็ยากจะแก้ไข อาตมาภาพหวังว่าพระสูตรนี้จะเป็นแสงสว่างแก่ผู้เคยสร้างกรรมทำลายครรภ์ ยังให้สัตว์ทั้งหลายได้มีพระธรรมคือปฏิจจสมุปบาท อันเป็นอุปายะแห่งพระสูตรนี้เป็นที่พึ่ง บันดาลให้มีอายุขัยยืนยาวนาน ไร้โรคภัย ใช้ชีพสังขารนี้ยังประโยช์แก่ตนเองคือขัดเกลากิเลส พากเพียรบำเพ็ญธรรมและยังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง จนถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ...
พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก
23 กรกฎาคม 2551
กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร
ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับยับยั้งที่เมืองราชคฤห์ในคิชฌกูฏสิงขร พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหม่หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป มหาโพธิสัตว์หนึ่งหมื่นสองพันองค์ และบรรดาเทวดา นาค ภูติในคติแปด มนุษย์และอมนุษย์ต่างมารวมกันอยู่เพื่อสดับการแสดงธรรม
สมัยนั้นพระโลกนาถเจ้า ทรงใช้กำลังแห่งพุทธานุภาพ ฉายศุภรังสีนานาประการออกจากพระโอษฐ์ อันมีวรรณะห้าประการ มีเขียว เหลือง แดง ขาว เป็นต้น แต่ละวรรณะหนึ่งนั้นมีพุทธนิรมิตจำนวนประมาณมิได้ อันสามารถพระพุทธกิจได้เป็นอจินไตย แต่ละพุทธนิรมิตหนึ่งๆ ก็มีโพธิสัตว์นิรมิตอีกอีกจำนวนประมาณมิได้ ที่สรรเสริญอยู่ซึ่งพระพุทธคุณอันรัศมีนั้นมีความสวยงามและวิเศษยิ่งนัก จักหยั่งวัดได้โดยยากเบื้องบนจรดเนวสัญญานาสัญญาทิพยภูมิ เบื้องล่างจนถึงอเวจีมหานรก และนิรยสถานอีกแปดหมื่นโดยรอบนั้นก็ส่องฉายไปถึงสรรพสัตว์ในนั้นที่ได้ประสบพระพุทธรังสีนี้แล้ว ย่อมมีปกติระลึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วล้วนได้บรรลุอุปายสมาธิของพระโพธิสัตว์ที่ดำรงปฐมภูมิ
ครั้งนั้นท่ามกลางธรรมสภา มีโพธิสัตว์ผู้เพิ่งบังเกิดโพธิจิตสี่สิบเก้าคน ล้วนปรารถนาจักขอความมีอายุยืนยาวจากพระพุทธองค์แต่มิอาจทูลถาม พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ล่วงรู้ความสงสัยเหล่านั้น จึงลุกจากอาสนะลดผ้าอคตตราสงค์เฉวียงบ่าขวาประนมกรด้านพระพุทธองค์แล้วทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์พบว่าในธรรมสภาแห่งนี้มีผู้สงสัยอยู่ บัดนี้จึงขอประทานพระบรมพุทธานุญาตทูลถาม ขอพระตถาคตโปรดสดับด้วยเถิด”
ตรัสว่า “สาธุๆ มัญชุศรี เธอสงสัยก็จงถามเถิด”
พระมัญชุศรีทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถ สรรพสัตว์ทั้งปวงในสังสารวัฏสาคร ได้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ จากกัลป์³ หนึ่งถึงอีกกัลป์หนึ่งวนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหก แม้นว่ามีกายมนุษย์แต่ได้รับวิบากให้อายุขัยสั้น ด้วยเหตุไฉนจักยังให้สัตว์เหล่านั้นมีอายุขัยยืนยาวสลายอกุศลกรรมทั้งปวง ขอพระโลกนาถเจ้าตรัสธรรมอันยังให้มีอายุขัยยืนยาวนานด้วยเถิดพระเจ้าข้า” ตรัสว่า “มัญชุศรี เธอมีเมตตายิ่งใหญ่ประมาณมิได้ ที่ระลึกถึงบาปทุกข์ของสรรพสัตว์ จึงสามารถถามเรื่องราวเหล่านั้น หากตถาคตกล่าวสรรพสัตว์ทั้งปวงจักมิอาจศรัทธาน้อมรับ”
พระมัญชุศรีได้ทูลย้ำว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้าผู้สัพพัญญู ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ในหมู่สัตว์ผู้โง่เขลาทั้งปวง ทรงเป็นบิดาผู้มีเมตตายิ่งใหญ่ พระสุรเสียงเดียวของพระองค์ที่เป็นมหาธรรมราชา ขอพระโลกนาถเจ้าโปรดสงสัย ตรัสแสดงให้กว้างขวาออกไปเถิดพระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ทรงแย้มสรวลแล้วรับสั่งกับมหาชนว่า “เธอทั้งหลายพึงสดับเถิด ตถาคตจะกล่าวแก่เธอ เมื่ออดีตชาติมีโลกธาตุหนึ่งชื่อ ศุทธิวิมล ดินแดนนั้นมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมันตประภาสัมมาทัศนะ เป็นผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ผู้ไกลจากกิเลสและควรบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้อื่นเสมอมิได้ ผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก มีโพธิสัตว์หมู่ใหญ่ประมาณจำนวนมิได้หาขอบเขตมิได้แวดล้อมอยู่ด้วยเคารพ
เมื่อพุทธบาปกาลครั้งนั้น มีอุบาสิกาหนึ่งชื่อ วิปลาส ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก จึงปรารถนาจักออกบวช ได้ร้องไห้คร่ำครวญมาทูลพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หม่อมฉันมีอกุศลกรรม ปรารถนาจักขมากรรม ขอพระโลกนาถเจ้าโปรดสดับวาจาของหม่อมฉันด้วยเถิด เมื่อกาลก่อนหม่อมฉันได้ทำลายครรภ์ที่ครบแปดเดือนบริบูรณ์ เพราะกฎของบ้านจึงมิต้องการเด็กเอาไว้ จึงวางยาพิษสังหารบุตรทำลายครรภ์ บุตรที่เป็นตายนี้มีลักษณะของมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว เคยได้ยินบัณฑิตกล่าวกับหม่อมฉันว่า หากทำลายครรภ์แล้ว บุคคลในชาติปัจจุบันย่อมเป็นผู้มีโรคร้ายแรง มีอายุขัยสั้น ชาตะเปราะบาง จะตกสู่อเวจีรับทุกขเวทนาแสนสาหัส บัดนี้ดิฉันใคร่ครวญแล้วจึงเกรงกลัวยิ่งนัก ขอพระโลกนาถเจ้าทรงอาศัยกำลังแห่งพระเมตตากรุณา แสดงธรรมแก่หม่อมฉันให้ได้โอกาสออกบวช งดเว้นซึ่งทุกข์นั้นด้วยเถิด”
สมัยนั้น พระสมันตประภาสัมมาทัศนตถาคต พระกรุณาตรัสแก่นางวิปลาสว่า “ในจักวาลมีขมากรรมห้าชนืดที่ยากจักสลายกรรมได้ มีประการใดฤา หนึ่งฆ่าบิดา สองฆ่ามารดา สามปหารครรภ์ สี่ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ห้าทำลายสามัคคีแห่งสงฆ์ อกุศลกรรมเหล่านี้แหละ ที่มีบาปยากจักดับสลาย” ครั้งนั้น นางวิปลาสจึงร้องไห้คร่ำครวญแล้วหลั่งรินน้ำตาดั่งสายฝนกระทำเบญจางคประดิษฐ์ เฉพาะพระพุทธพักตร์แล้วทูลว่า “พระโลกนาถเจ้าทรงพระเมตตายิ่งใหญ่อนุเคราะห์คุ้มครองสัตว์ทั้งปวง ขอพระโลกนาถเจ้าสงสารหม่อมฉันโปรดแสดงธรรมด้วยเถิด”
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ทรงกล่าวย้ำอีกว่า “อกุศลกรรมนี้ของเธอ จักยังให้ตกอเวจีมหานรกหาการหยุดพักมิได้ ในนรกร้อนเมื่อได้สัมผัสลมเย็นชั่วครู่ อกุศลบุคคลก็ยังเย็นชั่วครู่ ในนรกเย็นเมื่อได้สัมผัสลมร้อนชั่วครู่ อกุศลบุคคลก็ร้อนชั่วครู่ แต่อเวจีนรกนั้นมิเป็นเช่นนี้ เพลิงจากด้านบนลุกโชนตลอดถึงเบื้อล่าง เพลิงจากเบื้องล่างพวยพุ่งตลอดถึงเบื้องบน ทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงเหล็กกล้า ด้านบนมีตาข่ายเหล็กกล้า ทวารด้านตะวันออก ตะวันตกทั้งสี่ทิศล้วนร้อนแรงด้วยเปลวเพลิงแห่งกรรม หากมีบุคคลเดียวกายก็จักเต็มไปด้วยเพลิง แม้นจักมีกายสูงแปดหมื่นโยชน์ก็ตาม ฤาหากมีหลายคนก็จักเต็มไปด้วยเพลิงทั้งสิ้น ทั่วสรรพางกายแห่งคนบาปนั้นจักมีอสรพิษเหล็กขนาดมหึมาที่มีพิษร้ายแรงยังให้เกิดทุกขเวทนายิ่งด้วยเปลวเพลิง บ้างเลื้อยเข้าทางปากบ้างเลื้อยเข้าทางตาแล้วออกทางหู ผูกรัดอยู่รอบกาย เป็นเวลากัลป์หนึ่งถึงอีกกัลป์หนึ่ง แขนและขาของคนบาปนั้นจักมีเปลวเพลิงประทุออกมาอยู่เป็นนิจ ยังมีอีกาเหล็กที่จิกกินเนื้อ บ้างก็มีสุนัขทองแดงมากัดเคี้ยวกายนั้น มีนายนิรยบาลซึ่งมีศีรษะเป็นวัวถือมีดดาบไล่ตวาดด้วยเสียงอันดุร้ายประหนึ่งอสุนีบาต เธอเป็นผู้ประหารครรภ์เสียแล้ว พึงรับทุกข์เช่นนี้ หากเรามุสสาแล้วไซร้ย่อมมิได้ชื่อว่าพุทธะ
ครั้งนั้นเมื่อนางวิปลาสได้สดับพระพุทธวจนะแล้ว จึงยิ่งร้องไห้คร่ำครวญแล้วเกลือกกลิ้งที่ผืนดิน เมื่อสติเริ่มคืนกลับจึงกราบทูลพระพุทธองค์อีกว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หาใช่หม่อมฉันผู้เดียวที่จักรับทุกขเวทนานั้น แต่ยังมีสรรพสัตว์ต่างๆ ที่จักได้รับทุกข์เช่นนี้ด้วย” พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า “บุตรแห่งเธอนั้นอยู่ในครรภ์ ประกอบด้วยลักษณะสมบูรณ์ เมื่อยามจักกำเนิด(ดั่งอยู่)ในที่สองแห่ง อุปมานรกที่มีศิลาสองก้อนกดทับอยู่บนกาย มารดาหากกินอาหารร้อน(บุตร)ก็เหมือนอยู่ในนรกร้อน มารดากินอาหารเย็นก็ดุจอยู่ในนรกเย็น ทุกข์ทรมานอยู่ในความมืดมิดจนถึงวันสุดท้าย เธอยังมีจิตบาปวางยาพิษเสีย อกุศล กรรมนี้ของเธอจักยังให้ตกสู่อเวจี คนบาปในนรกนั่นแลจักเป็นสหายของเธอ” นางวิปลาสโศกเศร้าแล้วทูลอีกว่า “หม่อมฉันได้ยินบัณฑิตกล่าวเช่นนี้ว่า หากกระทำกรรมชั่วทั้งปวงแล้วได้พบพระพุทธเจ้าและสงฆ์ เมื่อขมากรรมแล้วกรรมย่อมดับไปได้ หาไม่แล้วเมื่อสิ้นชีพจักเข้าสู่นรกทั้งหลาย ผู้กระทำกุศลเล็กน้อยจักได้เกิดยังสวรรค์ เป็นตามมตินี้หรือไม่ ขอพระองค์ตรัสแก่หม่อมฉันด้วยเถิด”
พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า “หากมีสรรพสัตว์ที่ทำกรรมร้ายแรงทั้งปวง เมื่อพบพระพุทธเจ้าและสงฆ์ ได้ขมากรรมสำนึกผิดด้วยความจริงใจ แล้วไม่กระทำอีก บาปนั้นย่อมดับสลายไป เมื่อสิ้นชีพแล้วพญายามราชผู้ทรงธรรมจักไต่ถามด้วยยังไม่แน่ชัด ญาติมิตรทั้งหกประเภท ผู้ยังมีชีวิตอยู่ของผู้สิ้นชีพนั้น หากได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าและนิมนต์หมู่สงฆ์ให้ภายในเจ็ดทิวาราตรีมาสังวัธยายมหายานสูตรซ้ำๆ ร่ำสุคนธ์และเกลี่ยดอกไม้บูชาแล้วไซร้ จักมียมฑูตผู้ตรวจสอบความดีชั่วถือ ธวัชเบญจรงค์ มายังเบื้องหน้ายมฑูต ตลอดทั้งเบื้องหน้าและหลังของธงนั้นจะมีเสียงสรรเสริญสดุดีไพเราะน่าฟังแล้วประกาศต่อยมราชนั้นว่า บุคคลนี้ได้สั่งสมกุศลเอาไว้
ยังมีผู้สิ้นชีพเป็นอันมากในเจ็ดทิวา ได้หลงเชื่อต่อมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปลาส มิศรัทธาพุทธธรรม คือมหายานสูตร ไร้จิตกตัญญูและจิตเมตตากรุณา จักมียมฑูตถือเอากาฬธวัชมา ตลอดทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของธงสีดำนั้น จะมีปีศาจร้ายจำนวนประมาณมิได้ ประกาศต่อยมราชนั้นว่าบุคคลนี้ได้สั่งสมอกุศลเอาไว้”(มีต่อ)