เรื่องนี้ย้อนไปเมื่อประมาณ3ปีก่อน......ปลายปี 56 อันที่จริงมันก็นานพอที่เราน่าจะลืมมันได้แล้วละ แต่ทำไม...มันไม่ยอมลืม
กระทู้อาจจะยาวหน่อยนะคะ.....3ปีรายละเอียดก็อาจจะเยอะหน่อย
เชื่อว่าหลายคนคงเคย รู้สึกดีกับคนคนนึงผ่านพื้นที่โซเชียล.... เรารู้จักกับผู้ชายคนนึงผ่าน face book
เราเป็นคนชอบฟังเพลง (เพื่อชีวิต) พยายามหัดเล่นกีต้าร์ เริ่มจากหาคอร์ดเพลงตามเพจต่างๆ จนมาเจออยู่เพจๆนึงค่อนข้างมีเนื้อเพลงที่แกะง่าย มีลูกเพจไม่เยอะเท่าไหร่ จนอยู่ๆมีผู้ชายคนนึง @friend มา รูปโปรไฟล์มืดจนเราแทบมองไม่เห็น ครั้งแรกชั่งใจว่าจะรับดีหรือเปล่า เพราะเราคิดว่าน่าจะตามมาจากเพจๆนี้แน่นอน ผ่านไปสักสัปดาห์เหมือนเขา กดยกเลิกแล้ว @มาใหม่เพื่อให้มันเด้งให้เราเห็นอีกรอบ เราตัดสินใจเอาฟะรับก็รับ เพื่อนคนเดียวไม่เสียหายอะไรในใจคิดว่าเขาอาจจะแนวๆเดียวกันกะเราก็ได้ หลังจากรับ@ได้ไม่นาน 2-3 วันหลังจากนั้น เขาทักมาคำถามแรกที่ถามคือถามว่าเราเป็นคนจังหวัดไหน เราทั้งคู่อยู่จ.ทางภาคใต้แต่คนละจังหวัด เมื่อเราต่างคนต่างรู้ว่าอยู่โซนเดียวกันกลายเป็นคุยกันถูกคอสะงั้น เรากะพี่แกอายุห่างกัน5ปี ตอนนั้นเราอายุ22 พี่แก27 เรากับแกเป็นคนชอบอะไรคล้ายๆกัน เราเป็นคนชอบฟังเพลง ชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขา ชอบธรรมชาติ แต่ตอนนั้นเรากำลังเรียนมหาลัยอยู่รามคำแหง พี่แกจบจากม.เกษตร แต่ไปทำงานอยุ่ในหน่วยราชการนึงใน จังหวัดสงขลาซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเขา ก็ยังคงคุยกันมาเรื่อยๆ ความรู้สึกของตัวเองคือก็ยังไม่รู้ตัวนะ ว่ารู้สึกยังไงกับเขา จนมาวันนึง เขาหายไป........คือในใจเรากระวนกระวายมากตั้งคำถามในใจว่าหายไปไหน? ทำไมไม่ทักมา?
คือปกติตื่นเช้ามาเขาจะเป็นฝ่ายทักมาหาเราตลอด จนมันกลายเป็นส่วนนึงไปแล้ว คือด้วยความที่เราก็ยังโสดไม่มีใครมันก็แอบมีในใจลึกๆ
แต่ก็แข็งใจไม่ทักเขาไปก่อน จนผ่านไปสามวันได้มั้ง เขาทักมาขอโทษขอโพยใหญ่ ว่าไปอบรมราชการ ตจว.ไม่มีเวลาเลย
หลังจากนั้นมันผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้นะ มันกลายเป็นว่าเรากะเขาต้องคุยกันแทบจะทุกวัน จนกลายเป็นกิจวัติประจำไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยคุยกันแบบจริงๆจังๆถึงสถานะของกันและกันสักที ถามว่าเราอึดอัดไหมก็ไม่นะ ตอนนั้นเราสบายใจด้วยซ้ำเพราะแกโตกว่าสามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ให้คำแนะนำที่ดีได้ทั้งเรื่องเรียน และการใช้ชีวิต แต่ก็มีบ้างที่กัดกัน เราจะเป็นคนห้าวๆเลยดูแข็งกระด้าง พูดจาห้วนๆไม่มีหางเสียง เลยเป็นเหตุที่ทำให้เถียงกันบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก เราคุยกันโดยที่เราไม่เคยเจอหน้ากันเลยประมาณ8เดือนกว่า จนปลายเดือนพ.ค จะเป็นช่วงที่เราสอบเสร็จพอดีเลยถือโอกาส ไปฉลองกับเพื่อนในกลุ่ม วันนั้นเราก็บอกเขานะว่าวันนี้ขออยุ่ดึกหน่อยเพราะนานๆที จะได้ปลดปล่อยหลังจากเครียดกับการอ่านหนังสือสอบมานานแรมเดือน (ใครเรียนรามจะรู้อยู่ว่าช่วงสอบถ้าใครไม่ตั้งใจอ่านอย่าหวังว่าจะสอบผ่าน) เวลานั้นเรานั่งดื่มกันจนเพื่อนทยอยกลับหมด เหลือเรากะเพื่อนซี้กันอยู่แค่สองคน สถานะคือเมานะ แต่ยังรู้ตัวอยุ่ เรากับเพื่อนกะนั่งกันจนร้านเลิกแล้วคลานกับบ้านกันเลยทีเดียว เพราะร้านเหล้าอยุ่ใกล้บ้านเพื่อนแถวพัฒนาการ เดินไปไม่ถึง20นาทีก็ถึง จึงไม่ได้กังวลอะไรมากนัก จนเวลาผ่านไป ตี1.30 มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นสายจากพี่แกโทรเข้ามา ถามเราว่าอยุ่ไหน..จะกลับบ้านได้หรือยัง.
แกรู้ว่าเรากินเหล้า เลยเกิดอาการฉุนนิดๆ ว่าจะกินเหล้าเข้าไปทำไมมากมาย จนเกิดเหตุทำให้เถียงกันอยุ่พักใหญ่ๆ
จนแกพูดเชิงท้ามาประมาณว่า เก่งนักหรอ มาหาเราเลยดีไหมเมาดีนัก อยากจะเห็นเวลาเมา.....!!!! และมีการพูดท้าต่างๆนาๆ
ด้วยความที่หมั่นใส้...ตอบกลับไปว่าเอออออออ ...ไปก็ไปว้ะรอเช้าก่อน จ่ายค่ารถให้ด้วยไม่มีตังเฟ้ย กินเหล้าหมดแล้ว..เลี้ยงด้วย..
พาไปเที่ยวด้วย!#@%^(*&_+?"/*- ปากดีพูดไปหลายอย่าง.... พี่แกก็เลยตอบกลับมาว่า...ให้มาคืนนั้นเลยนะไม่งั้นถือว่าไม่ใจ
นั่นก้อทำให้เรายิ่งโมโห+กับเมา เลือดพล่าน น้ำไม่อาบมีเสื้อผ้าติดมาอยุ่ชุด สองชุดเพราะบังเอิญกะเอามานอนบ้านเพื่อนในคืนนั้น
เรานั่งแทคซี่พุ่งไปที่สายใต้โดยไม่สนใจเพื่อนเลย บอกแค่ว่าไปสงขลาแปป เดี๋ยวมา--"
เพื่อนก็ทำหน้างงๆ คิดว่าเราเมาแต่เปล่า! ไปถึงสายใต้ตีสามครึ่งถามตัวเองในใจ ว่านี่ตะรู มาทำอารายที่นี่ฟะ.. สภาพตอนนั้นคือมีสติอยู่
มองเห็นคนในสายใต้ไม่ถึง 50 คน ทุกคนในนั้นมองเราเป็นตาเดียวกันหมดเราเลยเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หน้าเราแดงมากกกกกกก
เราเดินไปซื้อตั๋วไปลงหาดใหญ่ ในใจก็แย้งขึ้นมาอีกว่าเอ๊ะ! รึตรูจะเบี้ยวดีวะ ไม่ไปดีมั้ย เราพึ่งรู้จักเขาเองนะ มีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย
แต่ก็เอาวะ ไหนๆก้ไหนๆละ มาถึงที่นี่ละ จะลังเลอะไรอีก เราได้รถเที่ยวตีห้าห้าสิบ ขึ้นรถไปด้วยใจหวิวๆ ความรุ้สึกกลัวว่าเหตุการณ์ข้างหน้า
มันเริ่มมาละ คือเราไม่น่าปากเสีย ไม่น่าไปใจใหญ่ไปรับคำท้าบ้าบอ แต่ณ.เวลานี้มันถอยไม่ได้แล้วไงคือตรูคงต้องไปจริงๆแล้วหล่ะ
บอกเลยว่าครั้งนี้เราทรมาณกับการนั่งรถทัวร์ลงใต้มากที่สุด บวกกับความเมาค้างเป็นทุนเดิม ไม่ได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง แล้วเสื-อก เป็นคนที่เมารถอยุ่แล้วด้วย ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน มีเพียงขนมปังชิ้นบางๆซื้อจาก 7-11 พอประทังชีวิต เราปวดหัวสุดๆพอจะนอนก็นอนไม่ได้ เราอ้ว-ววกบนรถชีวิตรันทดดดดมากกกกกกกก นึกไปก็ขำตัวเอง ใช้เวลา 12. ชม.เป๊ะ มาถึง บขส.หาดใหญ่ แบบเบลอๆ
เราโทรหาพี่แกว่าถึงแล้ว เราก็ไปล้างหน้าล้างตารอไม่ถึง10นาทีแกก้มาสะกิดจากด้านหลัง เรายกมือไหว้เขาเพราะเราถือว่าเขาแก่กว่า
ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก หลังจากนั้นก้ไปที่รถซึ่งต้องขับไปอีก30 กิโล แกพาเพื่อนแกมารับด้วยอีกสองคน พวกพี่เขาดูตื่นเต้นกันใหญ่
แกพาแวะตลาดซื้อหมูกะทะ แวะโลตัสซื้อของใช้ส่วนตัวให้ โดยที่เราไม่ต้องบอกแกสักคำไม่ต้องลงไปเลือกเองด้วย จัดแจงให้หมด
ขับจนมาถึงบ้านพัก บ้านที่แกพักเป็นบ้านพักข้าราชการในหน่วยนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่พอสมควร มีสองห้อง เราไปถึงแกบอกให้เอากระเป๋าไปเก็บอีกห้องนึงแกบอกว่า "เราจัดห้องเตรียมไว้ให้เธอแล้วอีกห้องนึง"นอนคนละห้องโล่งไป.... แกจะไม่เรียกเราว่าน้องหรือเรียกชื่อ
และไม่พูดภาษาใต้กัน แกเรียกเราแทนสรรพนามว่า -เธอ กับ -เรา แกบอกให้เราไปอาบน้ำให้เรียบร้อยและลงมากินข้าวที่เตรียมไว้ให้
เพราะเพื่อนแกที่มารับด้วยก็รอกินข้าวกับเรา จนเราอาบน้ำเสร็จด้วยความที่เราเหนื่อยเพลียกับการนั่งรถมาก เราเผลอหลับ
แกมาเคาะเรียกอยู่หลายทีไม่ได้เปิดและแกก็เข้ามาไม่ได้เพราะล็อคกลอนไว้ จนรุ่งเช้า แกเตรียมตัวไปทำงาน
ก็ที่ทำงานมันก็อยุ่ในนั้นแกเลยไม่ได้ดูรีบมาก มาเคาะประตูให้เราออกไปกินข้าวเช้าพร้อมแก
แต่เราด้วยความที่ยังอาจเกร็งๆอยู่ ก็ฟอร์มบอกยังไม่หิว แกเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวกลางวันเราจะพาเธอไปกินอาหารทะเลข้างนอก
กับหัวหน้าเรา เราก้อึ้งนะเหยยยแบบ พาไปกินกะหัวหน้างานเลยหรอวะ เราก็บ่ายเบี่ยงบอกกเออไม่เป็นไร หนูมาง่ายๆก้กินง่ายๆ
ไม่ต้องต้อนรับมากขนาดนั้น เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน แกสัญญาว่าจะพาเราไปริมหาดบ้านพักจะอยู่ใกล้ๆกะทะเล ไปดูทะเลตอนเย็น
เราก็รอ รอแล้วรออีก แกก็ไม่กลับจากที่ทำงานสะที เราเห็นว่าก่อนออกไปแกทิ้งกุญแจรถมอไซร์เอาไว้ให้ แกบอกขาดเหลืออะไรให้ออกไปหาซื้อได้เลยและเผื่อว่าอยากออกไปข้างนอกด้วย เราก็เลยออกไปร้านสระผม ในตัวเมืองสงขลาห่างออกไปไม่ถึง5 โล เราออกไปนานมากกกก
เกือบ3 ชม.ได้ กลับมามันก้มืดแล้ว พอแกเห็นไฟรถขับเข้ามาแกรีบวิ่งมาดักตรงหน้าบ้านแล้วถามเราว่าไปไหนมา แต่ด้วยตอนนั้นเรา
รู้สึกหงุดหงิดที่แกบอกให้เรารอว่าจะไปทะเลกันเราไม่คุยไม่ตอบแกสักคำ เดินขึ้นบ้านเฉย แต่ตอนรอแกรอนานมากๆจริงนะเพราะแกไปเตะบอล
กะเพื่อนแกก่อนคือบอกตั้งแต่แรกดิว่าจะเตะบอล จะได้ไม่ต้องรอ มันก็เป็นจุดเริ่มตรงนี้นะที่ทำให้เรากะแกได้เปิดใจอะไรกันมากขึ้น
คืนวันนั้น แกก็มานั่งคุยกะเราในห้องถามเราหลายๆอย่าง ว่าทำไมถึงกล้าออกไปโดยที่ไม่มีแกแบบนั้น และอีกหลายคำถามที่ทำให้เรา
รู้สึกว่าเออ แกเป็นห่วงเรานะ แต่คืนนี้แกบอกเราว่าขอนอนด้วยได้ไหม เราก็อึ้งไปพักใหญ่ๆ แกพูดแกมหยอกว่าเหยยย เราทำอะไรเธอไม่ลงหรอกเธอหน่ะไม่สวยเลยสู้แฟนเก่าเราไม่ได้หรอก คือแกเป็นคนที่ชอบพูดจากวน-ส้น--เราแบบนี้ตลอด ชอบยั่วโมโหชอบทำให้เรางอน
แล้วก็มาง้อแบบเนียนๆ.......คืนนั้นผ่านไปด้วยดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่มีกอดกันนนิดๆหน่อยๆ ไม่มีจูบไม่มีมาลูบคลำ ต่างคนต่างนอนจริงๆ
ตื่นเช้ามาแกเตรียมตัวไปทำงานตามปกติ แต่แกบอกเราว่าถ้าขาดเหลืออะไร ให้บอกกะน้องชาย roommate แกอีกคนอยู่บ้านเดียวกันนั่นล่ะค่ะ
ขอแทนว่าพี่ "ม" แล้วกันนะคะ เช้าวันนั้นเราเลยบอกกะพี่ ม. ว่าเราขอออกไปทำธุระที่ธนาคารหน่อย แกอาษาพาไปส่ง เราทำธุระเสร็จ
แกบอกว่าเมื่อวานเห็นพี่ อ. พี่"อ" นี่คือพี่ที่เราเล่ามาทั้งเรื่องนี่ล่ะค่ะ พี่อ.บอกกับพี่ ม. ว่าจะพาน้องออกมาเที่ยวทะเลนี่ แต่ไม่เห็นมากันเลย
งั้นวันนี้พี่พาไปเองละกันนะ ระหว่างทางแกก็จะเล่าอะไรเพลินๆให้เราฟัง ถามประวัติเราเล่าประวัติแกไปเรื่อยเปื่อย
จนแกเล่าไปถึงตอนที่แกบอกว่า "น้องรู้ไหมว่าน้องอะ คือ ผญ.คนแรกเลยนะที่พี่ อ. เค้าพามาที่บ้านหลังนี้ แล้วก็ไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้กะใครมาก่อน"แบบว่าจะพาไปเที่ยวดูแลเอาใจใส่.ในใจเราก็ จริงงงหรอว้ะะะะะ ไม่อยากจะเชื่อออ ตอนนั้นเราก็ได้แต่ยิ้มพยักหน้าตามแกเท่านั้น
พอแกพาเดินเล่นชายหาดเสร็จประมาณบ่ายๆ กลับไปที่บ้านพัก พอพี่ อ.เลิกงานกลับมาถึง แกก็ถามเราว่าวันนี้เป็นไง ไอ่ ม.พาออกไปข้างนอกมาหรอไปไหนกันมาบ้างก็เล่าให้แกฟังตามปกติ แล้วแกก็บอกเราว่า พรุ่งนี้จะพาไปไหว้พระบนเขาตังกวน พาไปดูเพื่อนเธอ นั่นหมายถึงลิง --"
บนนั้นมีลิงเยอะ มีสิ่งศักสิทธิ์ที่จะให้ขึ้นไปสักการะ เราก็คิดว่าอืมมมดีเหมือนกัน ไหนๆก้มาละพาตูเที่ยวบ้างงงงงง
และทริปนั้นเราก็ไปกันสามคน มีเรา พี่เขา(พี่อ.) และพี่ม. เที่ยวกันหลายที่อยุ่เหมือนกัน ตลอดทริป แกดูเหมือนจะไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เรามาก
เท่าไหร่ อาจเพราะมากันสามคน พอถึงเวลาเย็นแกพาแวะร้านอาหารริมๆเขา เป็นร้านค่อนข้างใหญ่พอสมควร แกบอกอยากกินอะไรสั่งเลย
แต่บรรยากาศในตอนนั้น เรากะแกมันเหมือนรู้สึกตึงๆ กันยังไงไม่รู้ จนอยู่ดีดี พี่ม. แกขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ รึว่าออกไปเอาของในรถสักอย่างนี่ละ พี่ ม. ออกไปได้พักนึง เรากะแกนั่งอยุ่ในร้านกันสองคน บทสนทนาเริ่มขึ้นจากแกเหมือนไม่พอใจเรานิดๆที่เราคุยกะพี่ ม. มากกว่าคุยกะแกมาตลอดทริปแล้วเราก็เริ่มแบบ เอ้ออออะไรฟะนี่เรื่องแค่นี้เองหรอเนี่ยที่ต้องเถียงกัน จนมันมีจุดพีคเราจำไม่ได้ว่าเป็นคำพุดไหน แต่มันทำให้เราถึงกับน้ำตาคลอแล้วเราก็อารมรุนแรงมากเดินหุนหันออกไปจากร้านโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวเลยสักเม็ดเดียว ในขณะเดียวกันพี่ม.เดินสวนเข้ามาแล้วมองเราแบบ งงๆ เราก็บอกแกว่าขอกุญแจรถค่ะ หนูไม่กินข้าวแล้วพี่กินกันก่อนเถอะ หนูปวดท้องเราอ้าง ทั้งๆที่ตอนนั้นน้ำตามันเอ่อแทบล้นออกจากตาแล้ว พยายามกลั้น
พอได้กุญแจเราเดินไปรอในรถเลย พักใหญ่ๆ พวกแกคงทานข้าวกันเสร็จ ขับรถกลับมาเราไม่พูดไม่คุยกะใครสักคำ จนมาถึงบ้านเรารีบเดินขึ้นห้องแกเดินตามหลังเรามาติดๆ พี่ม.คงรู้ว่าเราสองคนทะเลากันเลยขอตัวบอกไปเตะบอลก่อนนะ เราเข้าห้องมาโดยที่แกก้อพยายามมาจับแขนเราถามเราว่าเป็นอะไร โกรธหรอ ซึ่งเราตอนนั้นอะมันก็น้อยใจนะจำได้ว่าคำๆนั้นที่แกพูดมามันแรงมากถึงกับต้องเสียน้ำตาเลยทีเดียว
ค่ำวันนั้น เราสองคนนั่งคุยกันโดยที่เราก็คุยแบบร้องไห้ไปด้วย จนแกก็เปิดใจออกมาหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องความรู้สึก แกบอกว่าแกอยากดูแลเรา
แต่แกไม่ได้พูดหรอกว่าแกรัก....คือในใจเราตอนนั้นเราพอจะตอบตัวเองได้บางส่วนว่าอืมเราแค่ถามใจตัวเองอยุ่ฝ่ายเดียว เรารักเขา เรารักเขาแล้วจริงๆ ซึ่งมันไม่ต้องใช้เวลามากมายเพื่อพิสูจน์หรอก ในเมื่อความรักมันเกิดขึ้นมาในใจแล้ว มันคงไม่มีความรู้สึกไหนที่จะขวางได้แล้ว
เราก็ไม่รู้นะว่าตัวแกเองจะใช้ความอ่อนไหว ความเปราะบางของความรู้สึกเรา ณ.ตอนนั้นรึเปล่า คืนนั้น.............
เราได้เสียกันแบบเต็มใจ ด้วยความที่เราเชื่อไปหมดใจแล้ว กับคำพูดหลายๆอย่าง เราตกเป็นของแกโดยไม่ต้องมีข้อแม้ใดใดทั้งสิ้น
และไม่คิดถึงวันข้างหน้าด้วย ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ..ขอมาต่อนะคะ...
เบื่อไหม...กับความรู้สึกแบบนี้!!! 18+ นิดๆ
กระทู้อาจจะยาวหน่อยนะคะ.....3ปีรายละเอียดก็อาจจะเยอะหน่อย
เชื่อว่าหลายคนคงเคย รู้สึกดีกับคนคนนึงผ่านพื้นที่โซเชียล.... เรารู้จักกับผู้ชายคนนึงผ่าน face book
เราเป็นคนชอบฟังเพลง (เพื่อชีวิต) พยายามหัดเล่นกีต้าร์ เริ่มจากหาคอร์ดเพลงตามเพจต่างๆ จนมาเจออยู่เพจๆนึงค่อนข้างมีเนื้อเพลงที่แกะง่าย มีลูกเพจไม่เยอะเท่าไหร่ จนอยู่ๆมีผู้ชายคนนึง @friend มา รูปโปรไฟล์มืดจนเราแทบมองไม่เห็น ครั้งแรกชั่งใจว่าจะรับดีหรือเปล่า เพราะเราคิดว่าน่าจะตามมาจากเพจๆนี้แน่นอน ผ่านไปสักสัปดาห์เหมือนเขา กดยกเลิกแล้ว @มาใหม่เพื่อให้มันเด้งให้เราเห็นอีกรอบ เราตัดสินใจเอาฟะรับก็รับ เพื่อนคนเดียวไม่เสียหายอะไรในใจคิดว่าเขาอาจจะแนวๆเดียวกันกะเราก็ได้ หลังจากรับ@ได้ไม่นาน 2-3 วันหลังจากนั้น เขาทักมาคำถามแรกที่ถามคือถามว่าเราเป็นคนจังหวัดไหน เราทั้งคู่อยู่จ.ทางภาคใต้แต่คนละจังหวัด เมื่อเราต่างคนต่างรู้ว่าอยู่โซนเดียวกันกลายเป็นคุยกันถูกคอสะงั้น เรากะพี่แกอายุห่างกัน5ปี ตอนนั้นเราอายุ22 พี่แก27 เรากับแกเป็นคนชอบอะไรคล้ายๆกัน เราเป็นคนชอบฟังเพลง ชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขา ชอบธรรมชาติ แต่ตอนนั้นเรากำลังเรียนมหาลัยอยู่รามคำแหง พี่แกจบจากม.เกษตร แต่ไปทำงานอยุ่ในหน่วยราชการนึงใน จังหวัดสงขลาซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเขา ก็ยังคงคุยกันมาเรื่อยๆ ความรู้สึกของตัวเองคือก็ยังไม่รู้ตัวนะ ว่ารู้สึกยังไงกับเขา จนมาวันนึง เขาหายไป........คือในใจเรากระวนกระวายมากตั้งคำถามในใจว่าหายไปไหน? ทำไมไม่ทักมา?
คือปกติตื่นเช้ามาเขาจะเป็นฝ่ายทักมาหาเราตลอด จนมันกลายเป็นส่วนนึงไปแล้ว คือด้วยความที่เราก็ยังโสดไม่มีใครมันก็แอบมีในใจลึกๆ
แต่ก็แข็งใจไม่ทักเขาไปก่อน จนผ่านไปสามวันได้มั้ง เขาทักมาขอโทษขอโพยใหญ่ ว่าไปอบรมราชการ ตจว.ไม่มีเวลาเลย
หลังจากนั้นมันผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้นะ มันกลายเป็นว่าเรากะเขาต้องคุยกันแทบจะทุกวัน จนกลายเป็นกิจวัติประจำไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยคุยกันแบบจริงๆจังๆถึงสถานะของกันและกันสักที ถามว่าเราอึดอัดไหมก็ไม่นะ ตอนนั้นเราสบายใจด้วยซ้ำเพราะแกโตกว่าสามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ให้คำแนะนำที่ดีได้ทั้งเรื่องเรียน และการใช้ชีวิต แต่ก็มีบ้างที่กัดกัน เราจะเป็นคนห้าวๆเลยดูแข็งกระด้าง พูดจาห้วนๆไม่มีหางเสียง เลยเป็นเหตุที่ทำให้เถียงกันบ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก เราคุยกันโดยที่เราไม่เคยเจอหน้ากันเลยประมาณ8เดือนกว่า จนปลายเดือนพ.ค จะเป็นช่วงที่เราสอบเสร็จพอดีเลยถือโอกาส ไปฉลองกับเพื่อนในกลุ่ม วันนั้นเราก็บอกเขานะว่าวันนี้ขออยุ่ดึกหน่อยเพราะนานๆที จะได้ปลดปล่อยหลังจากเครียดกับการอ่านหนังสือสอบมานานแรมเดือน (ใครเรียนรามจะรู้อยู่ว่าช่วงสอบถ้าใครไม่ตั้งใจอ่านอย่าหวังว่าจะสอบผ่าน) เวลานั้นเรานั่งดื่มกันจนเพื่อนทยอยกลับหมด เหลือเรากะเพื่อนซี้กันอยู่แค่สองคน สถานะคือเมานะ แต่ยังรู้ตัวอยุ่ เรากับเพื่อนกะนั่งกันจนร้านเลิกแล้วคลานกับบ้านกันเลยทีเดียว เพราะร้านเหล้าอยุ่ใกล้บ้านเพื่อนแถวพัฒนาการ เดินไปไม่ถึง20นาทีก็ถึง จึงไม่ได้กังวลอะไรมากนัก จนเวลาผ่านไป ตี1.30 มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นสายจากพี่แกโทรเข้ามา ถามเราว่าอยุ่ไหน..จะกลับบ้านได้หรือยัง.
แกรู้ว่าเรากินเหล้า เลยเกิดอาการฉุนนิดๆ ว่าจะกินเหล้าเข้าไปทำไมมากมาย จนเกิดเหตุทำให้เถียงกันอยุ่พักใหญ่ๆ
จนแกพูดเชิงท้ามาประมาณว่า เก่งนักหรอ มาหาเราเลยดีไหมเมาดีนัก อยากจะเห็นเวลาเมา.....!!!! และมีการพูดท้าต่างๆนาๆ
ด้วยความที่หมั่นใส้...ตอบกลับไปว่าเอออออออ ...ไปก็ไปว้ะรอเช้าก่อน จ่ายค่ารถให้ด้วยไม่มีตังเฟ้ย กินเหล้าหมดแล้ว..เลี้ยงด้วย..
พาไปเที่ยวด้วย!#@%^(*&_+?"/*- ปากดีพูดไปหลายอย่าง.... พี่แกก็เลยตอบกลับมาว่า...ให้มาคืนนั้นเลยนะไม่งั้นถือว่าไม่ใจ
นั่นก้อทำให้เรายิ่งโมโห+กับเมา เลือดพล่าน น้ำไม่อาบมีเสื้อผ้าติดมาอยุ่ชุด สองชุดเพราะบังเอิญกะเอามานอนบ้านเพื่อนในคืนนั้น
เรานั่งแทคซี่พุ่งไปที่สายใต้โดยไม่สนใจเพื่อนเลย บอกแค่ว่าไปสงขลาแปป เดี๋ยวมา--"
เพื่อนก็ทำหน้างงๆ คิดว่าเราเมาแต่เปล่า! ไปถึงสายใต้ตีสามครึ่งถามตัวเองในใจ ว่านี่ตะรู มาทำอารายที่นี่ฟะ.. สภาพตอนนั้นคือมีสติอยู่
มองเห็นคนในสายใต้ไม่ถึง 50 คน ทุกคนในนั้นมองเราเป็นตาเดียวกันหมดเราเลยเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หน้าเราแดงมากกกกกกก
เราเดินไปซื้อตั๋วไปลงหาดใหญ่ ในใจก็แย้งขึ้นมาอีกว่าเอ๊ะ! รึตรูจะเบี้ยวดีวะ ไม่ไปดีมั้ย เราพึ่งรู้จักเขาเองนะ มีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย
แต่ก็เอาวะ ไหนๆก้ไหนๆละ มาถึงที่นี่ละ จะลังเลอะไรอีก เราได้รถเที่ยวตีห้าห้าสิบ ขึ้นรถไปด้วยใจหวิวๆ ความรุ้สึกกลัวว่าเหตุการณ์ข้างหน้า
มันเริ่มมาละ คือเราไม่น่าปากเสีย ไม่น่าไปใจใหญ่ไปรับคำท้าบ้าบอ แต่ณ.เวลานี้มันถอยไม่ได้แล้วไงคือตรูคงต้องไปจริงๆแล้วหล่ะ
บอกเลยว่าครั้งนี้เราทรมาณกับการนั่งรถทัวร์ลงใต้มากที่สุด บวกกับความเมาค้างเป็นทุนเดิม ไม่ได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเดินทาง แล้วเสื-อก เป็นคนที่เมารถอยุ่แล้วด้วย ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน มีเพียงขนมปังชิ้นบางๆซื้อจาก 7-11 พอประทังชีวิต เราปวดหัวสุดๆพอจะนอนก็นอนไม่ได้ เราอ้ว-ววกบนรถชีวิตรันทดดดดมากกกกกกกก นึกไปก็ขำตัวเอง ใช้เวลา 12. ชม.เป๊ะ มาถึง บขส.หาดใหญ่ แบบเบลอๆ
เราโทรหาพี่แกว่าถึงแล้ว เราก็ไปล้างหน้าล้างตารอไม่ถึง10นาทีแกก้มาสะกิดจากด้านหลัง เรายกมือไหว้เขาเพราะเราถือว่าเขาแก่กว่า
ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก หลังจากนั้นก้ไปที่รถซึ่งต้องขับไปอีก30 กิโล แกพาเพื่อนแกมารับด้วยอีกสองคน พวกพี่เขาดูตื่นเต้นกันใหญ่
แกพาแวะตลาดซื้อหมูกะทะ แวะโลตัสซื้อของใช้ส่วนตัวให้ โดยที่เราไม่ต้องบอกแกสักคำไม่ต้องลงไปเลือกเองด้วย จัดแจงให้หมด
ขับจนมาถึงบ้านพัก บ้านที่แกพักเป็นบ้านพักข้าราชการในหน่วยนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่พอสมควร มีสองห้อง เราไปถึงแกบอกให้เอากระเป๋าไปเก็บอีกห้องนึงแกบอกว่า "เราจัดห้องเตรียมไว้ให้เธอแล้วอีกห้องนึง"นอนคนละห้องโล่งไป.... แกจะไม่เรียกเราว่าน้องหรือเรียกชื่อ
และไม่พูดภาษาใต้กัน แกเรียกเราแทนสรรพนามว่า -เธอ กับ -เรา แกบอกให้เราไปอาบน้ำให้เรียบร้อยและลงมากินข้าวที่เตรียมไว้ให้
เพราะเพื่อนแกที่มารับด้วยก็รอกินข้าวกับเรา จนเราอาบน้ำเสร็จด้วยความที่เราเหนื่อยเพลียกับการนั่งรถมาก เราเผลอหลับ
แกมาเคาะเรียกอยู่หลายทีไม่ได้เปิดและแกก็เข้ามาไม่ได้เพราะล็อคกลอนไว้ จนรุ่งเช้า แกเตรียมตัวไปทำงาน
ก็ที่ทำงานมันก็อยุ่ในนั้นแกเลยไม่ได้ดูรีบมาก มาเคาะประตูให้เราออกไปกินข้าวเช้าพร้อมแก
แต่เราด้วยความที่ยังอาจเกร็งๆอยู่ ก็ฟอร์มบอกยังไม่หิว แกเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวกลางวันเราจะพาเธอไปกินอาหารทะเลข้างนอก
กับหัวหน้าเรา เราก้อึ้งนะเหยยยแบบ พาไปกินกะหัวหน้างานเลยหรอวะ เราก็บ่ายเบี่ยงบอกกเออไม่เป็นไร หนูมาง่ายๆก้กินง่ายๆ
ไม่ต้องต้อนรับมากขนาดนั้น เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน แกสัญญาว่าจะพาเราไปริมหาดบ้านพักจะอยู่ใกล้ๆกะทะเล ไปดูทะเลตอนเย็น
เราก็รอ รอแล้วรออีก แกก็ไม่กลับจากที่ทำงานสะที เราเห็นว่าก่อนออกไปแกทิ้งกุญแจรถมอไซร์เอาไว้ให้ แกบอกขาดเหลืออะไรให้ออกไปหาซื้อได้เลยและเผื่อว่าอยากออกไปข้างนอกด้วย เราก็เลยออกไปร้านสระผม ในตัวเมืองสงขลาห่างออกไปไม่ถึง5 โล เราออกไปนานมากกกก
เกือบ3 ชม.ได้ กลับมามันก้มืดแล้ว พอแกเห็นไฟรถขับเข้ามาแกรีบวิ่งมาดักตรงหน้าบ้านแล้วถามเราว่าไปไหนมา แต่ด้วยตอนนั้นเรา
รู้สึกหงุดหงิดที่แกบอกให้เรารอว่าจะไปทะเลกันเราไม่คุยไม่ตอบแกสักคำ เดินขึ้นบ้านเฉย แต่ตอนรอแกรอนานมากๆจริงนะเพราะแกไปเตะบอล
กะเพื่อนแกก่อนคือบอกตั้งแต่แรกดิว่าจะเตะบอล จะได้ไม่ต้องรอ มันก็เป็นจุดเริ่มตรงนี้นะที่ทำให้เรากะแกได้เปิดใจอะไรกันมากขึ้น
คืนวันนั้น แกก็มานั่งคุยกะเราในห้องถามเราหลายๆอย่าง ว่าทำไมถึงกล้าออกไปโดยที่ไม่มีแกแบบนั้น และอีกหลายคำถามที่ทำให้เรา
รู้สึกว่าเออ แกเป็นห่วงเรานะ แต่คืนนี้แกบอกเราว่าขอนอนด้วยได้ไหม เราก็อึ้งไปพักใหญ่ๆ แกพูดแกมหยอกว่าเหยยย เราทำอะไรเธอไม่ลงหรอกเธอหน่ะไม่สวยเลยสู้แฟนเก่าเราไม่ได้หรอก คือแกเป็นคนที่ชอบพูดจากวน-ส้น--เราแบบนี้ตลอด ชอบยั่วโมโหชอบทำให้เรางอน
แล้วก็มาง้อแบบเนียนๆ.......คืนนั้นผ่านไปด้วยดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่มีกอดกันนนิดๆหน่อยๆ ไม่มีจูบไม่มีมาลูบคลำ ต่างคนต่างนอนจริงๆ
ตื่นเช้ามาแกเตรียมตัวไปทำงานตามปกติ แต่แกบอกเราว่าถ้าขาดเหลืออะไร ให้บอกกะน้องชาย roommate แกอีกคนอยู่บ้านเดียวกันนั่นล่ะค่ะ
ขอแทนว่าพี่ "ม" แล้วกันนะคะ เช้าวันนั้นเราเลยบอกกะพี่ ม. ว่าเราขอออกไปทำธุระที่ธนาคารหน่อย แกอาษาพาไปส่ง เราทำธุระเสร็จ
แกบอกว่าเมื่อวานเห็นพี่ อ. พี่"อ" นี่คือพี่ที่เราเล่ามาทั้งเรื่องนี่ล่ะค่ะ พี่อ.บอกกับพี่ ม. ว่าจะพาน้องออกมาเที่ยวทะเลนี่ แต่ไม่เห็นมากันเลย
งั้นวันนี้พี่พาไปเองละกันนะ ระหว่างทางแกก็จะเล่าอะไรเพลินๆให้เราฟัง ถามประวัติเราเล่าประวัติแกไปเรื่อยเปื่อย
จนแกเล่าไปถึงตอนที่แกบอกว่า "น้องรู้ไหมว่าน้องอะ คือ ผญ.คนแรกเลยนะที่พี่ อ. เค้าพามาที่บ้านหลังนี้ แล้วก็ไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้กะใครมาก่อน"แบบว่าจะพาไปเที่ยวดูแลเอาใจใส่.ในใจเราก็ จริงงงหรอว้ะะะะะ ไม่อยากจะเชื่อออ ตอนนั้นเราก็ได้แต่ยิ้มพยักหน้าตามแกเท่านั้น
พอแกพาเดินเล่นชายหาดเสร็จประมาณบ่ายๆ กลับไปที่บ้านพัก พอพี่ อ.เลิกงานกลับมาถึง แกก็ถามเราว่าวันนี้เป็นไง ไอ่ ม.พาออกไปข้างนอกมาหรอไปไหนกันมาบ้างก็เล่าให้แกฟังตามปกติ แล้วแกก็บอกเราว่า พรุ่งนี้จะพาไปไหว้พระบนเขาตังกวน พาไปดูเพื่อนเธอ นั่นหมายถึงลิง --"
บนนั้นมีลิงเยอะ มีสิ่งศักสิทธิ์ที่จะให้ขึ้นไปสักการะ เราก็คิดว่าอืมมมดีเหมือนกัน ไหนๆก้มาละพาตูเที่ยวบ้างงงงงง
และทริปนั้นเราก็ไปกันสามคน มีเรา พี่เขา(พี่อ.) และพี่ม. เที่ยวกันหลายที่อยุ่เหมือนกัน ตลอดทริป แกดูเหมือนจะไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เรามาก
เท่าไหร่ อาจเพราะมากันสามคน พอถึงเวลาเย็นแกพาแวะร้านอาหารริมๆเขา เป็นร้านค่อนข้างใหญ่พอสมควร แกบอกอยากกินอะไรสั่งเลย
แต่บรรยากาศในตอนนั้น เรากะแกมันเหมือนรู้สึกตึงๆ กันยังไงไม่รู้ จนอยู่ดีดี พี่ม. แกขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ รึว่าออกไปเอาของในรถสักอย่างนี่ละ พี่ ม. ออกไปได้พักนึง เรากะแกนั่งอยุ่ในร้านกันสองคน บทสนทนาเริ่มขึ้นจากแกเหมือนไม่พอใจเรานิดๆที่เราคุยกะพี่ ม. มากกว่าคุยกะแกมาตลอดทริปแล้วเราก็เริ่มแบบ เอ้ออออะไรฟะนี่เรื่องแค่นี้เองหรอเนี่ยที่ต้องเถียงกัน จนมันมีจุดพีคเราจำไม่ได้ว่าเป็นคำพุดไหน แต่มันทำให้เราถึงกับน้ำตาคลอแล้วเราก็อารมรุนแรงมากเดินหุนหันออกไปจากร้านโดยที่ยังไม่ได้กินข้าวเลยสักเม็ดเดียว ในขณะเดียวกันพี่ม.เดินสวนเข้ามาแล้วมองเราแบบ งงๆ เราก็บอกแกว่าขอกุญแจรถค่ะ หนูไม่กินข้าวแล้วพี่กินกันก่อนเถอะ หนูปวดท้องเราอ้าง ทั้งๆที่ตอนนั้นน้ำตามันเอ่อแทบล้นออกจากตาแล้ว พยายามกลั้น
พอได้กุญแจเราเดินไปรอในรถเลย พักใหญ่ๆ พวกแกคงทานข้าวกันเสร็จ ขับรถกลับมาเราไม่พูดไม่คุยกะใครสักคำ จนมาถึงบ้านเรารีบเดินขึ้นห้องแกเดินตามหลังเรามาติดๆ พี่ม.คงรู้ว่าเราสองคนทะเลากันเลยขอตัวบอกไปเตะบอลก่อนนะ เราเข้าห้องมาโดยที่แกก้อพยายามมาจับแขนเราถามเราว่าเป็นอะไร โกรธหรอ ซึ่งเราตอนนั้นอะมันก็น้อยใจนะจำได้ว่าคำๆนั้นที่แกพูดมามันแรงมากถึงกับต้องเสียน้ำตาเลยทีเดียว
ค่ำวันนั้น เราสองคนนั่งคุยกันโดยที่เราก็คุยแบบร้องไห้ไปด้วย จนแกก็เปิดใจออกมาหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องความรู้สึก แกบอกว่าแกอยากดูแลเรา
แต่แกไม่ได้พูดหรอกว่าแกรัก....คือในใจเราตอนนั้นเราพอจะตอบตัวเองได้บางส่วนว่าอืมเราแค่ถามใจตัวเองอยุ่ฝ่ายเดียว เรารักเขา เรารักเขาแล้วจริงๆ ซึ่งมันไม่ต้องใช้เวลามากมายเพื่อพิสูจน์หรอก ในเมื่อความรักมันเกิดขึ้นมาในใจแล้ว มันคงไม่มีความรู้สึกไหนที่จะขวางได้แล้ว
เราก็ไม่รู้นะว่าตัวแกเองจะใช้ความอ่อนไหว ความเปราะบางของความรู้สึกเรา ณ.ตอนนั้นรึเปล่า คืนนั้น.............
เราได้เสียกันแบบเต็มใจ ด้วยความที่เราเชื่อไปหมดใจแล้ว กับคำพูดหลายๆอย่าง เราตกเป็นของแกโดยไม่ต้องมีข้อแม้ใดใดทั้งสิ้น
และไม่คิดถึงวันข้างหน้าด้วย ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ..ขอมาต่อนะคะ...