แมทช์ล้างอาถรรพ์ระหว่างงูเหลือมจากเยอรมันกับเชือกกล้วยจากอิตาลีในครั้งนี้เป็นที่สนใจของบรรดาแฟนบอลทั้งสองทีมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามต่อการล้างอาถรรพ์ที่ทีมชาติเยอรมันไม่เคยชนะทีมชาติอิตาลีแม้แต่ครั้งเดียวจากการพบกันในฟุตบอลทัวร์นาเมนท์ การรับมือกับเกมสวนกลับและแท็กติกเขี้ยวลากดินของทีมสุดยอดเกมรับจากแดนรองเท้าบูทซึ่งฟอร์มดีอย่างน่าสะพรึงกลัวมาตลอด (ล่าสุดเขี่ยแชมป์เก่าสเปนตกรอบมาด้วยสกอร์ 2-0) ไปจนถึงปัญหาที่ผู้เล่นมีใบเหลืองสะสมอยู่หลายคนอาจทำให้ต้องใช้ความระวัดระวังในการเล่นจนเกรงว่าจะรีดฟอร์มออกมาได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะผู้เล่นแนวรับ ผมเองก็ใจหวั่น ๆ ไม่น้อยเหมือนกันว่าเยอรมันจะผ่านด่านโหดหินนี้ไปได้หรือไม่
ผมเคยได้สนทนากับมิตรรักแฟนบอลเยอรมันหลายท่านจนได้ข้อสรุปว่าเยอรมันคงต้องเน้นวินัยที่สูงมากในการรับมือ เน้นรัดกุมไม่ผลีผลาม ตั้งเกมรับให้แน่นหนา ครองบอลให้แน่นอนแล้วหาจังหวะสวนเอา อันเป็นการก็อปการเล่นแบบเดียวกับอิตาลีมาใช้รับมือกับอิตาลีโดยเฉพาะ ซึ่งตอนแรกคิดว่าน่าจะมีแค่นั้นแต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาหน้าจอทีวีกลับเกินความคาดหมายไปอีก บุนเดสเทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟ จัดทีมโดยใช้แผนการเล่น 5-3-2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นจากนัดเจอสโลวะเกีย 1 ตำแหน่งด้วยการดร็อปยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์แล้วส่งเบนเนดิคท์ เฮอเวเดสลงเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟร่วมกับเยโรม บัวเต็งและมัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ โดยให้เฮอเวเดสกับฮุมเมิ่ลส์รับหน้าที่เป็นตัวชนแล้วให้บัวเต็งเป็นตัวกวาดจังหวะสุดท้ายพร้อมคุมแผงหลังทั้งหมด วิงแบ๊กฝั่งขวาเป็นของโยชัว คิมมิช วิงแบ๊กฝั่งซ้ายเป็นของโยนาส เฮคเตอร์ มิดฟิลด์คู่กลางเป็นซามี่ เคดิร่าและโทนี่ โครส มิดฟิลด์ตัวรุกเป็นเมซุต โอซิล และคู่กองหน้าเป็นมาริโอ โกเมซและโธมัส มึลเลอร์ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีที่มีการนำเอาระบบกองหลังสามตัวมาใช้กับทีมชาติเยอรมันอีกครั้ง ขณะที่อิตาลีผู้เล่นแดนกลางเจ็บ (ดานิเอเล่ เด รอสซี่) และติดโทษแบน (ติอาโก้ ม็อตต้า) ทำให้แดนกลางอ่อนลงไปพอสมควร
รูปเกมในช่วง 90 นาทีแรก ทั้งสองฝ่ายต่างใช้ความระมัดระวังไม่ผลีผลามในการเปิดเกม เน้นอาศัยแท็กติกช่วงชิงจังหวะในแดนกลางเป็นหลัก ใช้เกมเพรสซิ่งกดดันให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเสียบอลตลอดเวลา แต่เป็นเยอรมันครองบอลได้เหนือกว่าอิตาลี โดยการเพรสซิ่งของเยอรมันมีประสิทธิภาพพอสมควร สามารถแย่งการครอบครองบอลจากนักเตะอิตาลีมาได้บ่อยครั้ง อีกทั้งการตัดบอลมีความแน่นอนโดยใช้การดักซ้อนจังหวะเปิดบอลของนักเตะอิตาลีจนสามารถเก็บบอลมาเป็นของตัวเองและพลิกเกมรุกขึ้นหน้าได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยการขึ้นเกมจากกราบเป็นหลัก นั่นเป็นเพราะอิตาลีมีผู้เล่นดูแลพื้นที่ทางกราบเพียงตัวเดียวจึงมีพื้นที่สำหรับการเปิดเกมมากกว่าแดนกลางที่มีมิดฟิลด์ตัวกลางอัดแน่นตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้นวิงแบ๊กอิตาลีดันขึ้นสูงเพื่อกดวิงแบ๊กของเยอรมันไม่ให้เดินเกม แต่กลับส่งผลให้เยอรมันสามารถเดินเกมจากกราบได้บ่อยครั้งโดยเฉพาะจังหวะสวนกลับเร็วจนได้ประตูนำ 1-0 โดยโกเมซครองบอลล่อหลอกดึงแนวรับอิตาลีก่อนจ่ายต่อให้กับเฮคเตอร์ที่ดันขึ้นสูงจ่ายบอลเข้ากลางให้โอซิลยิงเข้าไป หลังจากนั้น โอซิลกระดกบอลข้ามกองหลังอิตาลีให้โกเมซหลุดเดี่ยวเข้าไปตอกส้นยิงแต่ไม่เป็นประตู ในขณะที่อิตาลีสวนกลับเป็นระยะ ๆ และเกือบได้ประตูจากการสอดทะลุกับดักล้ำหน้าของเอมมานูเอเล่ จัคเครินี่แล้วกึ่งยิงกึ่งผ่านไปหน้าปากประตู บัวเต็งสกัดไว้ได้ มาร์โค ปาโรโล่ยิงสวนเข้ามาก็ติดบล็อกของบัวเต็งอีกจึงไม่ได้ประตู อีกทั้งมีอีกหลายจังหวะที่น่าจะได้ประตูตีเสมอแต่ไม่สามารถยิงผ่านมือนอยเออร์เข้าไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม อิตาลีก็ตีเสมอ 1-1 จนได้ โดยเยโรม บัวเต็งทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่รับหน้าที่สังหารเข้าประตูไป จากนั้นเยอรมันทำอะไรอิตาลีไม่ได้มากนักเนื่องจากก่อนหน้านั้นได้เปลี่ยนตัวโกเมซออกไปเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บและส่งดรักซ์เลอร์ลงมาเพื่อครองบอลปิดเกม พอถูกตีเสมอจึงไม่สามารถเดินเกมรุกได้อย่างเต็มที่
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ รูปเกมไม่ต่างจากเดิมมากนัก โดยเยอรมันเสียบอลง่ายขึ้นเนื่องจากผู้เล่นเริ่มมีอาการอ่อนล้า ขณะที่อิตาลีก็ไม่ต่างกัน แนวรับเริ่มเผยช่องว่างมากขึ้นจนทำให้นักเตะเยอรมันมีโอกาสยิงประตูได้บ่อย ๆ แต่สุดท้ายไม่สามารถทำประตูได้จนต้องทำการดวลจุดโทษตัดสิน และเยอรมันก็เอาชนะการดวลจุดโทษกับอิตาลีไปด้วยสกอร์ 6-5 สกอร์รวม 7-6
ปัญหาที่พบจากเกมนี้
จุดแรกคือ หลังจากที่ซามี่ เคดิร่าได้รับบาดเจ็บในนาทีที่ 16 โดยส่งบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ลงเล่นแทน ปรากฏว่ารูปเกมแดนกลางกลับขาดพลัง เดินเกมช้ากว่าที่ควรจะเป็นนั่นก็เพราะชไวนี่ไม่ได้คล่องแคล่วว่องไวเหมือนเดิมแต่กลับช้าลงมากเนื่องจากสภาพร่างกายที่โรยรา อีกทั้งอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ายังไม่หายสนิท จึงฝืนร่างกายตนเองได้ไม่มาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บอลไม่เคลื่อนไปสู่แดนหน้าเท่าที่ควร ทั้งที่แดนกลางอิตาลีเองก็ขาดตัวหลักเพราะอาการบาดเจ็บและโทษแบนแต่เยอรมันกลับทำอะไรไม่ได้มากเท่าที่ควรสาเหตุหนึ่งมาจากตัวชไวนี่ด้วย
จุดที่สอง เยโรม บัวเต็งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ตัวซ้อนที่ดี แกเหมาะจะเป็นตัวชนมากกว่า เห็นได้จากการปล่อยให้จัคเครินี่หลุดกับดักล้ำหน้าทั้งที่รู้ว่าจัคเครินี่เป็นตัวสอดชั้นดีของอิตาลี อีกทั้งแท็กติกของอันโตนิโอ คอนเต้จะเน้นเรื่องการให้ผู้เล่นยืนขนานไลน์ฝ่ายตรงข้ามเพื่อหลุดกับดักล้ำหน้า แต่แผงหลังยังปล่อยให้หลุดมาจนได้ แสดงถึงความสามารถในการอ่านทางบอลที่ยังไม่เฉียบชาด อีกทั้งโฉ่งฉ่างในจังหวะสำคัญจนเสียจุดโทษเป็นประตูตีเสมอ โดยบัวเต็งขึ้นโหม่งลูกเตะมุมของมัตเตโอ ฟลอเรนซี่แต่กลับชูแขนขึ้นมาทั้งโดยไม่จำเป็นทำให้บอลไปโดนแขน และเสียจุดโทษดังกล่าว อีกทั้งเป็นช่วงที่เยอรมันปิดเกมของตัวเองไปแล้ว ทำให้เยอรมันต้องมาตั้งเกมรุกกันใหม่ทั้งที่มีกองหน้าจำกัด ส่งผลให้ไม่สามารถทำประตูอิตาลีเพิ่มได้
จุดที่สาม คิมมิชหลงตำแหน่งโดยเฉพาะช่วงต้นครึ่งหลัง ทำให้อิตาลีเจาะทางขวาของเยอรมันบ่อยครั้งแต่โชคดีที่ไม่เป็นประตู ควรแก้ไขปัญหาเรื่องความสม่ำเสมอในการเล่นให้มากกว่านี้แล้วจะดีมาก ๆ
จุดที่สี่ ความเด็ดขาดในการยิงลูกโทษที่เริ่มหายไป ปกติในการดวลลูกโทษตัดสิน นักเตะเยอรมันมักไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังในความแม่นยำและเด็ดขาดของการยิงลูกโทษโดยมักจะยิงเข้าแทบทุกคน มีแค่บางนัดเท่านั้นที่มีนักเตะเพียงคนเดียวที่ยิงไม่เข้า (อย่างเช่น อูลี่ เฮอเนสในรอบชิงชนะเลิศยูโร 1976 กับอูลี่ สตีลิเก้ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 1982) และเยอรมันมีสถิติที่ดีมาโดยตลอดในเรื่องนี้ ปรากฏว่านักเตะเยอรมันยิงพลาดกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเมซุต โอซิล (ชนเสา) , โธมัส มึลเลอร์ (ติดเซฟ) และบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ (ข้ามคาน) แสดงให้เห็นว่านักเตะเยอรมันยุคหลังปี 2006 ขาดความนิ่งและเลือดเย็นในการสังหารจุดโทษ เอาเข้าจริงเราสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนในหลาย ๆ นัดไม่ว่าจะระดับสโมสรหรือทีมชาติที่นักเตะเยอรมันมักจะพลาดลูกโทษกันบ่อยขึ้น ซึ่งผมกังวลมาโดยตลอดว่าถ้าเกิดการดวลลูกโทษตัดสินในรอบน็อคเอาท์ขึ้นมานักเตะเยอรมันจะไว้วางใจได้เหมือนเดิมมั้ย
นัดหน้า รอบรองชนะเลิศ เยอรมันต้องไปพบกับงานหนักยิ่งกว่านัดนี้นั่นคือ เจ้าภาพฝรั่งเศส ซึ่งมีเกมรุกที่หลากหลายและเริ่มลงตัวขึ้นเรื่อย อีกทั้งความมั่นใจก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เกมรุกของฝรั่งเศสในนัดพบกับไอซ์แลนด์ซึ่งได้แก่โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ , อองตวน กรีซมันน์ และดิมิทรี ปาเยตกำลังเข้าฝัก ซึ่งอีกทั้งมีหลากหลายสไตล์การเล่น โดยเฉพาะกรีซมันน์ที่มีลีลาเหลี่ยมบอลแพรวพราวและยิงประตูได้เฉียบคม ถือว่าจับทางยากที่สุดคนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นแผงมิดฟิลด์ตัวกลางของฝรั่งเศสก็เทคนิคดี คล่อง มีความเร็วพอสมควร ถงแม้แนวรับจะผิดพลาดกันบ่อยโดยเฉพาะผู้เล่นริมเส้น ขณะที่เยอรมันขาดผู้เล่นตัวหลักหลายคนไม่ว่าจะเป็นซามี่ เคดิร่า , บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และมาริโอ โกเมซที่ได้รับบาดเจ็บ (รายหลังสุดปิดฉากยูโรเป็นที่เรียบร้อย) ขณะที่มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ติดโทษแบน อาจทำให้เยอรมันต้องรับศึกหนักในครั้งนี้เพราะทรุดหนักทุกขุมกำลัง
ในส่วนกองหน้า การขาดหายไปของโกเมซถือเป็นความเสียหายครั้งสำคัญเพราะผู้ที่เหมาะจะมาทดแทนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าพันธุ์แท้นั้นเรียกได้ว่าไม่มีเลยเนื่องจากโกเมซเป็นกองหน้าพันธุ์แท้เพียงคนเดียวที่ติดทีมเข้ามา ต้องดูกันต่อไปว่าเลิฟจะใช้สูตรใดในการวางตำแหน่งเกมรุก
ในส่วนกองกลาง เนื่องจากเลิฟประกาศว่านักเตะไม่ฟิตไม่มีสิทธิลงสนาม ชไวน์สไตเกอร์และเคดิร่าย่อมลงสนามไม่ได้แน่นอน จึงมีการคาดหมายกันว่าไม่เอ็มเร่ ชานก็เป็นยูเลี่ยน ไวเกิ้ลที่น่าจะได้ลงสนาม แต่รายหลังดูมีภาษีดีกว่าเพราะชานจะช้าไป ทั้งการขึ้นเกม การไล่ตัดบอล การเชื่อมเกมรุก อาจทำให้เสียจังหวะในแดนกลางได้ อีกทั้งการผ่านบอลยังไม่มีจุดเด่นอีกด้วย ขณะที่ไวเกิ้ลแม้ว่าจะมีความสด ความคล่องตัว และเชื่อมเกมได้ไหลลื่น แต่ก็มีประสบการณ์น้อยมาก เล่นทีมชาติมาแค่นัดเดียว ซึ่งอาจประสบกับภาวะตื่นสนามได้ง่าย แม้ว่าจะมีตัวอย่างของโยชัว คิมมิชที่ลงเล่นทัวร์นาเมนท์นัดแรกโดยไม่เกร็ง แต่นั่นเป็นนัดที่พบกับไอร์แลนด์เหนือซึ่งแน่นอนว่าย่อมพบกับความกดดันน้อยกว่าการเล่นกับเจ้าภาพฝรั่งเศสซึ่งได้เปรียบด้านแฟนบอลที่พร้อมส่งเสียงเชียร์อย่างเต็มที่ ต้องมาดูกันว่าทีมสตาฟฟ์โค้ชจะส่งใครลงสนาม และจะใช้จิตวิทยากระตุ้นความนิ่งและฮึกเหิมของเขาได้ดีแค่ไหน
ในส่วนกองหลัง ผมหนักใจที่สุดเนื่องจากฮุมเมิ่ลส์ เซนเตอร์ที่เด่นเรื่องการดักทางบอลติดโทษแบน ลงสนามไม่ได้ ภาระในเรื่องการดักซ้อนและคุมแผงหลังทั้งหมดอาจเป็นของบัวเต็งซึ่งถนัดการเข้าชนมากกว่าการดักทางบอล การรับมือกับเกมรุกสุดอันตรายของฝรั่งเศสอาจทำให้มานูเอล นอยเออร์ต้องถูกทดสอบหนักหน่อยก็เป็นได้ และดีไม่ดีอาจเสียประตูเอาได้ง่าย ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของทีมชาติเยอรมันยุคหลังยูโร 2012 ก็คือสปิริตทีม ทุกคนเล่นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกค่ายเหลือง-แดง เอ๊ย ไม่ใช่ บาเยิร์น-ดอร์ทมุนด์แบบเมื่อก่อน ยิ่งกว่านั้นการทำงานกับนักเตะและจิตวิทยาในการกระตุ้นนักเตะก็ทำได้ดี เชื่อว่านี่คือจุดแข็งประการหนึ่งในการต่อสู้กับเจ้าภาพที่กำลังร้อนแรงได้
ผลจะเป็นอย่างไร มาลุ้นกันครับ
รีวิวแมทช์ยูโร 2016 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่าง เยอรมันกับอิตาลี : เกลือจิ้มเกลือ
ผมเคยได้สนทนากับมิตรรักแฟนบอลเยอรมันหลายท่านจนได้ข้อสรุปว่าเยอรมันคงต้องเน้นวินัยที่สูงมากในการรับมือ เน้นรัดกุมไม่ผลีผลาม ตั้งเกมรับให้แน่นหนา ครองบอลให้แน่นอนแล้วหาจังหวะสวนเอา อันเป็นการก็อปการเล่นแบบเดียวกับอิตาลีมาใช้รับมือกับอิตาลีโดยเฉพาะ ซึ่งตอนแรกคิดว่าน่าจะมีแค่นั้นแต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาหน้าจอทีวีกลับเกินความคาดหมายไปอีก บุนเดสเทรนเนอร์โยอาคิม เลิฟ จัดทีมโดยใช้แผนการเล่น 5-3-2 โดยมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นจากนัดเจอสโลวะเกีย 1 ตำแหน่งด้วยการดร็อปยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์แล้วส่งเบนเนดิคท์ เฮอเวเดสลงเล่นเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟร่วมกับเยโรม บัวเต็งและมัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ โดยให้เฮอเวเดสกับฮุมเมิ่ลส์รับหน้าที่เป็นตัวชนแล้วให้บัวเต็งเป็นตัวกวาดจังหวะสุดท้ายพร้อมคุมแผงหลังทั้งหมด วิงแบ๊กฝั่งขวาเป็นของโยชัว คิมมิช วิงแบ๊กฝั่งซ้ายเป็นของโยนาส เฮคเตอร์ มิดฟิลด์คู่กลางเป็นซามี่ เคดิร่าและโทนี่ โครส มิดฟิลด์ตัวรุกเป็นเมซุต โอซิล และคู่กองหน้าเป็นมาริโอ โกเมซและโธมัส มึลเลอร์ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีที่มีการนำเอาระบบกองหลังสามตัวมาใช้กับทีมชาติเยอรมันอีกครั้ง ขณะที่อิตาลีผู้เล่นแดนกลางเจ็บ (ดานิเอเล่ เด รอสซี่) และติดโทษแบน (ติอาโก้ ม็อตต้า) ทำให้แดนกลางอ่อนลงไปพอสมควร
รูปเกมในช่วง 90 นาทีแรก ทั้งสองฝ่ายต่างใช้ความระมัดระวังไม่ผลีผลามในการเปิดเกม เน้นอาศัยแท็กติกช่วงชิงจังหวะในแดนกลางเป็นหลัก ใช้เกมเพรสซิ่งกดดันให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเสียบอลตลอดเวลา แต่เป็นเยอรมันครองบอลได้เหนือกว่าอิตาลี โดยการเพรสซิ่งของเยอรมันมีประสิทธิภาพพอสมควร สามารถแย่งการครอบครองบอลจากนักเตะอิตาลีมาได้บ่อยครั้ง อีกทั้งการตัดบอลมีความแน่นอนโดยใช้การดักซ้อนจังหวะเปิดบอลของนักเตะอิตาลีจนสามารถเก็บบอลมาเป็นของตัวเองและพลิกเกมรุกขึ้นหน้าได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยการขึ้นเกมจากกราบเป็นหลัก นั่นเป็นเพราะอิตาลีมีผู้เล่นดูแลพื้นที่ทางกราบเพียงตัวเดียวจึงมีพื้นที่สำหรับการเปิดเกมมากกว่าแดนกลางที่มีมิดฟิลด์ตัวกลางอัดแน่นตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้นวิงแบ๊กอิตาลีดันขึ้นสูงเพื่อกดวิงแบ๊กของเยอรมันไม่ให้เดินเกม แต่กลับส่งผลให้เยอรมันสามารถเดินเกมจากกราบได้บ่อยครั้งโดยเฉพาะจังหวะสวนกลับเร็วจนได้ประตูนำ 1-0 โดยโกเมซครองบอลล่อหลอกดึงแนวรับอิตาลีก่อนจ่ายต่อให้กับเฮคเตอร์ที่ดันขึ้นสูงจ่ายบอลเข้ากลางให้โอซิลยิงเข้าไป หลังจากนั้น โอซิลกระดกบอลข้ามกองหลังอิตาลีให้โกเมซหลุดเดี่ยวเข้าไปตอกส้นยิงแต่ไม่เป็นประตู ในขณะที่อิตาลีสวนกลับเป็นระยะ ๆ และเกือบได้ประตูจากการสอดทะลุกับดักล้ำหน้าของเอมมานูเอเล่ จัคเครินี่แล้วกึ่งยิงกึ่งผ่านไปหน้าปากประตู บัวเต็งสกัดไว้ได้ มาร์โค ปาโรโล่ยิงสวนเข้ามาก็ติดบล็อกของบัวเต็งอีกจึงไม่ได้ประตู อีกทั้งมีอีกหลายจังหวะที่น่าจะได้ประตูตีเสมอแต่ไม่สามารถยิงผ่านมือนอยเออร์เข้าไปได้
แต่อย่างไรก็ตาม อิตาลีก็ตีเสมอ 1-1 จนได้ โดยเยโรม บัวเต็งทำแฮนด์บอลในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่รับหน้าที่สังหารเข้าประตูไป จากนั้นเยอรมันทำอะไรอิตาลีไม่ได้มากนักเนื่องจากก่อนหน้านั้นได้เปลี่ยนตัวโกเมซออกไปเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บและส่งดรักซ์เลอร์ลงมาเพื่อครองบอลปิดเกม พอถูกตีเสมอจึงไม่สามารถเดินเกมรุกได้อย่างเต็มที่
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ รูปเกมไม่ต่างจากเดิมมากนัก โดยเยอรมันเสียบอลง่ายขึ้นเนื่องจากผู้เล่นเริ่มมีอาการอ่อนล้า ขณะที่อิตาลีก็ไม่ต่างกัน แนวรับเริ่มเผยช่องว่างมากขึ้นจนทำให้นักเตะเยอรมันมีโอกาสยิงประตูได้บ่อย ๆ แต่สุดท้ายไม่สามารถทำประตูได้จนต้องทำการดวลจุดโทษตัดสิน และเยอรมันก็เอาชนะการดวลจุดโทษกับอิตาลีไปด้วยสกอร์ 6-5 สกอร์รวม 7-6
ปัญหาที่พบจากเกมนี้
จุดแรกคือ หลังจากที่ซามี่ เคดิร่าได้รับบาดเจ็บในนาทีที่ 16 โดยส่งบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ลงเล่นแทน ปรากฏว่ารูปเกมแดนกลางกลับขาดพลัง เดินเกมช้ากว่าที่ควรจะเป็นนั่นก็เพราะชไวนี่ไม่ได้คล่องแคล่วว่องไวเหมือนเดิมแต่กลับช้าลงมากเนื่องจากสภาพร่างกายที่โรยรา อีกทั้งอาการบาดเจ็บที่หัวเข่ายังไม่หายสนิท จึงฝืนร่างกายตนเองได้ไม่มาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บอลไม่เคลื่อนไปสู่แดนหน้าเท่าที่ควร ทั้งที่แดนกลางอิตาลีเองก็ขาดตัวหลักเพราะอาการบาดเจ็บและโทษแบนแต่เยอรมันกลับทำอะไรไม่ได้มากเท่าที่ควรสาเหตุหนึ่งมาจากตัวชไวนี่ด้วย
จุดที่สอง เยโรม บัวเต็งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ตัวซ้อนที่ดี แกเหมาะจะเป็นตัวชนมากกว่า เห็นได้จากการปล่อยให้จัคเครินี่หลุดกับดักล้ำหน้าทั้งที่รู้ว่าจัคเครินี่เป็นตัวสอดชั้นดีของอิตาลี อีกทั้งแท็กติกของอันโตนิโอ คอนเต้จะเน้นเรื่องการให้ผู้เล่นยืนขนานไลน์ฝ่ายตรงข้ามเพื่อหลุดกับดักล้ำหน้า แต่แผงหลังยังปล่อยให้หลุดมาจนได้ แสดงถึงความสามารถในการอ่านทางบอลที่ยังไม่เฉียบชาด อีกทั้งโฉ่งฉ่างในจังหวะสำคัญจนเสียจุดโทษเป็นประตูตีเสมอ โดยบัวเต็งขึ้นโหม่งลูกเตะมุมของมัตเตโอ ฟลอเรนซี่แต่กลับชูแขนขึ้นมาทั้งโดยไม่จำเป็นทำให้บอลไปโดนแขน และเสียจุดโทษดังกล่าว อีกทั้งเป็นช่วงที่เยอรมันปิดเกมของตัวเองไปแล้ว ทำให้เยอรมันต้องมาตั้งเกมรุกกันใหม่ทั้งที่มีกองหน้าจำกัด ส่งผลให้ไม่สามารถทำประตูอิตาลีเพิ่มได้
จุดที่สาม คิมมิชหลงตำแหน่งโดยเฉพาะช่วงต้นครึ่งหลัง ทำให้อิตาลีเจาะทางขวาของเยอรมันบ่อยครั้งแต่โชคดีที่ไม่เป็นประตู ควรแก้ไขปัญหาเรื่องความสม่ำเสมอในการเล่นให้มากกว่านี้แล้วจะดีมาก ๆ
จุดที่สี่ ความเด็ดขาดในการยิงลูกโทษที่เริ่มหายไป ปกติในการดวลลูกโทษตัดสิน นักเตะเยอรมันมักไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังในความแม่นยำและเด็ดขาดของการยิงลูกโทษโดยมักจะยิงเข้าแทบทุกคน มีแค่บางนัดเท่านั้นที่มีนักเตะเพียงคนเดียวที่ยิงไม่เข้า (อย่างเช่น อูลี่ เฮอเนสในรอบชิงชนะเลิศยูโร 1976 กับอูลี่ สตีลิเก้ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 1982) และเยอรมันมีสถิติที่ดีมาโดยตลอดในเรื่องนี้ ปรากฏว่านักเตะเยอรมันยิงพลาดกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเมซุต โอซิล (ชนเสา) , โธมัส มึลเลอร์ (ติดเซฟ) และบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ (ข้ามคาน) แสดงให้เห็นว่านักเตะเยอรมันยุคหลังปี 2006 ขาดความนิ่งและเลือดเย็นในการสังหารจุดโทษ เอาเข้าจริงเราสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนในหลาย ๆ นัดไม่ว่าจะระดับสโมสรหรือทีมชาติที่นักเตะเยอรมันมักจะพลาดลูกโทษกันบ่อยขึ้น ซึ่งผมกังวลมาโดยตลอดว่าถ้าเกิดการดวลลูกโทษตัดสินในรอบน็อคเอาท์ขึ้นมานักเตะเยอรมันจะไว้วางใจได้เหมือนเดิมมั้ย
นัดหน้า รอบรองชนะเลิศ เยอรมันต้องไปพบกับงานหนักยิ่งกว่านัดนี้นั่นคือ เจ้าภาพฝรั่งเศส ซึ่งมีเกมรุกที่หลากหลายและเริ่มลงตัวขึ้นเรื่อย อีกทั้งความมั่นใจก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เกมรุกของฝรั่งเศสในนัดพบกับไอซ์แลนด์ซึ่งได้แก่โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ , อองตวน กรีซมันน์ และดิมิทรี ปาเยตกำลังเข้าฝัก ซึ่งอีกทั้งมีหลากหลายสไตล์การเล่น โดยเฉพาะกรีซมันน์ที่มีลีลาเหลี่ยมบอลแพรวพราวและยิงประตูได้เฉียบคม ถือว่าจับทางยากที่สุดคนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นแผงมิดฟิลด์ตัวกลางของฝรั่งเศสก็เทคนิคดี คล่อง มีความเร็วพอสมควร ถงแม้แนวรับจะผิดพลาดกันบ่อยโดยเฉพาะผู้เล่นริมเส้น ขณะที่เยอรมันขาดผู้เล่นตัวหลักหลายคนไม่ว่าจะเป็นซามี่ เคดิร่า , บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และมาริโอ โกเมซที่ได้รับบาดเจ็บ (รายหลังสุดปิดฉากยูโรเป็นที่เรียบร้อย) ขณะที่มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ติดโทษแบน อาจทำให้เยอรมันต้องรับศึกหนักในครั้งนี้เพราะทรุดหนักทุกขุมกำลัง
ในส่วนกองหน้า การขาดหายไปของโกเมซถือเป็นความเสียหายครั้งสำคัญเพราะผู้ที่เหมาะจะมาทดแทนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าพันธุ์แท้นั้นเรียกได้ว่าไม่มีเลยเนื่องจากโกเมซเป็นกองหน้าพันธุ์แท้เพียงคนเดียวที่ติดทีมเข้ามา ต้องดูกันต่อไปว่าเลิฟจะใช้สูตรใดในการวางตำแหน่งเกมรุก
ในส่วนกองกลาง เนื่องจากเลิฟประกาศว่านักเตะไม่ฟิตไม่มีสิทธิลงสนาม ชไวน์สไตเกอร์และเคดิร่าย่อมลงสนามไม่ได้แน่นอน จึงมีการคาดหมายกันว่าไม่เอ็มเร่ ชานก็เป็นยูเลี่ยน ไวเกิ้ลที่น่าจะได้ลงสนาม แต่รายหลังดูมีภาษีดีกว่าเพราะชานจะช้าไป ทั้งการขึ้นเกม การไล่ตัดบอล การเชื่อมเกมรุก อาจทำให้เสียจังหวะในแดนกลางได้ อีกทั้งการผ่านบอลยังไม่มีจุดเด่นอีกด้วย ขณะที่ไวเกิ้ลแม้ว่าจะมีความสด ความคล่องตัว และเชื่อมเกมได้ไหลลื่น แต่ก็มีประสบการณ์น้อยมาก เล่นทีมชาติมาแค่นัดเดียว ซึ่งอาจประสบกับภาวะตื่นสนามได้ง่าย แม้ว่าจะมีตัวอย่างของโยชัว คิมมิชที่ลงเล่นทัวร์นาเมนท์นัดแรกโดยไม่เกร็ง แต่นั่นเป็นนัดที่พบกับไอร์แลนด์เหนือซึ่งแน่นอนว่าย่อมพบกับความกดดันน้อยกว่าการเล่นกับเจ้าภาพฝรั่งเศสซึ่งได้เปรียบด้านแฟนบอลที่พร้อมส่งเสียงเชียร์อย่างเต็มที่ ต้องมาดูกันว่าทีมสตาฟฟ์โค้ชจะส่งใครลงสนาม และจะใช้จิตวิทยากระตุ้นความนิ่งและฮึกเหิมของเขาได้ดีแค่ไหน
ในส่วนกองหลัง ผมหนักใจที่สุดเนื่องจากฮุมเมิ่ลส์ เซนเตอร์ที่เด่นเรื่องการดักทางบอลติดโทษแบน ลงสนามไม่ได้ ภาระในเรื่องการดักซ้อนและคุมแผงหลังทั้งหมดอาจเป็นของบัวเต็งซึ่งถนัดการเข้าชนมากกว่าการดักทางบอล การรับมือกับเกมรุกสุดอันตรายของฝรั่งเศสอาจทำให้มานูเอล นอยเออร์ต้องถูกทดสอบหนักหน่อยก็เป็นได้ และดีไม่ดีอาจเสียประตูเอาได้ง่าย ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของทีมชาติเยอรมันยุคหลังยูโร 2012 ก็คือสปิริตทีม ทุกคนเล่นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกค่ายเหลือง-แดง เอ๊ย ไม่ใช่ บาเยิร์น-ดอร์ทมุนด์แบบเมื่อก่อน ยิ่งกว่านั้นการทำงานกับนักเตะและจิตวิทยาในการกระตุ้นนักเตะก็ทำได้ดี เชื่อว่านี่คือจุดแข็งประการหนึ่งในการต่อสู้กับเจ้าภาพที่กำลังร้อนแรงได้
ผลจะเป็นอย่างไร มาลุ้นกันครับ