[Spoil] ชวนคุยถึงฉากของทอมเมน บาราเทียน

คำเตือน : กระทู้นี้มีความยาว เป็นความรู้สึกของคนเขียนล้วนๆ 5555





เป็นแฟนที่แอบแฝงมานาน ไม่ค่อยกรี๊ดกร๊าดเท่าไหร่ 5555

Game of Thrones ss6 ก็จบลงไปแล้วพร้อมกับความ epic ในหลายๆ แง่ (โดยเฉพาะตอนที่ 9 และ 10 พีคมาก) ก่อนอื่นในฐานะคนดู ขอคารวะต่อโชว์รันเนอร์ในซีรีส์นี้จริงๆ และในฐานะคนเขียนหนังสือ ต้องขอซูฮกลุงจอร์จหลายจอก พร้อมกับยกลุงเอาไว้เป็นไอดอลในการเขียนเรื่องที่สนุกมากมายขนาดนี้
พูดถึงฉากที่ว่าดีกว่า

Ep 10 มีหลายฉากที่น่าประทับใจมาก แต่ของเรา หดหู่ที่สุด อิมแพคที่สุดกลับเป็นฉากของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ตัดสินใจแลนดิ้งตัวเองลงจากหน้าต่าง สร้างตำนาน King’s landing นี่แหละค่ะ

ทอมเมนเป็นเด็กที่โตมาแบบลูกคนสุดท้องที่แม่ไม่ค่อยโอ๋หรืออะไรมากเท่าไหร่ ความสนใจ ความคาดหวัง ความเทิดทูนบูชาทั้งหมดของแม่ไปอยู่ที่จอฟฟรี่ซึ่งเป็นลูกคนโต เพราะจอฟฟรี่คือคนที่นางหมายมั่นปั้นมือว่าเขาต้องเป็นทายาทผู้ได้นั่งบัลลังก์คนต่อไป เหมือนเป็นสุดรักสุดบูชาของแม่ ส่วนความเอ็นดู เอื้ออาทรของแม่ไปอยู่กับไมเซลล่าลูกสาวคนเดียว อาจเป็นเพราะไมเซลล่าเป็นลูกผู้หญิงด้วย ถึงสมัยก่อนลูกผู้หญิงจะเป็นเพียงหมากในเกมการเมืองของเหล่าบรรดาลอร์ดทั้งหลาย แต่สำหรับเซอร์ซี่ เธอรักลูกสาวคนเดียวของเธอมากพอที่จะเกรี้ยวกราดเมื่อรู้ว่าทีเรียนส่งไมเซลล่าไปที่ดอร์น แม้จะเพื่อการแต่งงานการเมือง และแม้จะรู้ว่าลูกสาวเธอจะได้เป็นควีนของดอร์น แต่นั่นก็แลกมาด้วยการที่เธออาจจะไม่ได้เห็นลูกสาวตัวเองตลอดชีวิตอีก เซอร์ซีก็ออกอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก (หรืออีกนัยหนึ่ง คือเธออาจจะมองตัวเองผ่านตัวลูกสาว เพราะเธอเคยเป็นหมากทางการเมืองให้กับพ่อมาแล้วด้วยการแต่งกับโรเบิร์ต บาราเทียน ดังนั้นการที่เธอผู้ซึ่งมองลูกๆ ว่าเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวเดียวของตัวเองจะไม่อยากให้ไมเซลล่าต้องเผชิญชะตากรรมแบบที่เธอเคยเจอจึงมีความเป็นไปได้สูง)

ประเด็นนี้เราจะไม่พูดถึงเจมี่ เพราะเป็นที่รู้กันว่าเจมีรักลูก เพียงแต่ไม่ได้มีเวลา ไม่มีโอกาส ไม่มีอิทธิพลกับลูกมากเท่าเซอร์ซีแน่ๆ

ดังนั้น ทอมเมนจึงเป็นเพียงลูกชายคนสุดท้องที่เกิดมาและอยู่อย่างไม่ได้รับความรัก ความเอ็นดูจากแม่เท่ากับพี่ๆ ไม่ใช่ว่าเซอร์ซีไม่รักเขา แต่การแสดงออกนั้นคงไม่เท่ากับที่จอฟฟรี่และไมเซลล่าได้จากแม่เป็นแน่ ทอมเมนเติบโตมาอย่างเรียบง่าย เขาไม่เคยถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นราชา ไม่เคยต้องแบกรับภาระใหญ่หลวงใดๆ สิ่งที่เขาอาจจะได้เตรียมตัวมานิดหน่อยคือการเป็นลอร์ดครองแผ่นดินที่ไหนสักที่ (อาจจะเป็นคาสเตอรี่ ร็อค เมื่อคิดถึงว่าเจมี่คงไม่มีทายาท และทีเรียนก็ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้แล้ว)

แต่แล้วเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตเมื่อจู่ๆ จอฟฟรีก็ถูกฆ่าตาย และเมื่อนั้น ทอมเมน บาราเทียน ผู้ซึ่งไร้ความสำคัญในสายตาใครๆ มาโดยตลอดก็ถูกจับวางบนบัลลังก์เหล็กโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว

วินาทีที่มงกุฎแห่งเจ็ดอาณาจักรถูกสวมบนศีรษะ เราไม่รู้เลยว่าน้ำหนักของความรับผิดชอบที่หล่นลงบนบ่าของเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะหนักหนาขนาดไหน

เด็กคนนี้ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ที่ได้มาก็เพราะพี่ไม่สามารถใช้ได้แล้วเท่านั้น บัลลังก์เป็นของเขาเพราะจอฟฟรี่ตาย เมียรักร่วมเตียงก็ได้มาเพราะพี่ตัวเองตาย ที่แม่หันมาสนใจ ทุ่มเทเอาใจใส่ (แต่ก็ไม่เท่าที่ทำกับจอฟฟรี่) ก็เพราะพี่ตาย และตัวเองเป็นความหวังอย่างสุดท้ายของแม่ เด็กที่มีทุกอย่างขึ้นมาจากการตายของคนๆ หนึ่งคงไม่ได้พอใจอะไรกับสิ่งที่มีนัก เมื่อคิดถึงว่าของทุกอย่างนั้นไม่เคย และไม่ควรจะมาเป็นของเขา หากไม่ใช่เพราะพี่ตาย
เพราะฉะนั้นทอมเมนจึงเป็นคนที่มีความรู้สึกไม่แน่นอนแฝงเร้นในใจตลอดเวลา

เขาไม่เคยแน่ใจได้ว่าที่แม่แสดงออกว่ารักนักหนา เพราะแม่รักเขาจริง หรือแค่ไม่เหลือใครให้รัก แม่คาดหวังกับเขาแค่เพราะไม่เหลือใครให้คาดหวัง และเขาคือสิ่งเดียวที่ทำให้เซอร์ซี่ยังคงเป็น ‘ควีนมัม’ สามารถเชิดหน้าอยู่ข้างบัลลังก์ลูกชายได้อย่างภาคภูมิ กับมาเจอร์รี่ เขายังเคยแสดงออกถึงความหวาดหวั่นในบางครั้งว่าเธอรักเขาจริงหรือไม่ แต่ทอมเมนยังอ่อนด้อยนักในเรื่องชั้นเชิงทางด้านความรัก กับมาเจอร์รี่ผู้ลงเล่นเกมแห่งบัลลังก์อย่างผู้เล่นที่ ‘รู้ตัว’ อยู่ตลอดเวลา เธอไม่เคยเอาความรู้สึกไปจับกับสามีคนใด สิ่งที่เธอมีคล้ายกับเซอร์ซี่ คือความหยิ่งผยองในชาติตระกูลของตนเอง รักในความเป็นไทเรล แม้จะมีส่วนหนึ่งของเสี้ยวใจที่เหลือที่ไว้ให้ทอมเมน ก็คงเป็นเพียงแค่ความสมเพชเวทนาตอบแทนความรักแบบเด็กๆ ของผู้เป็นสามีคนที่สามแค่นั้น
ผู้เล่นเกมแห่งบัลลังก์ทุกคนรู้ว่าไม่ควรให้ใจกับ ‘อะไร’ หรือ ‘ใคร’ เพราะสิ่งเหล่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็มีค่าเท่ากับหมากตาหนึ่ง แต่สำหรับทอมเมน ผู้ไม่เคยเล่นเกมแห่งบัลลังก์ และไม่จำเป็นต้องเล่น เขาไม่เคยยั้งใจตัวเองเลยสักนิด มีแม่ก็รักแม่ มีเมียก็รักเมีย สิ่งที่เขาคิดนอกจากนั้นคือทำอย่างไรให้เวสเทอรอสดีขึ้น ทุกคนได้รับความพอใจ เพราะอย่าลืมว่าเขาขึ้นนั่งบัลลังก์ได้ไม่ใช่เพราะความสามารถ แต่เป็นเพราะส้มหล่น ความไม่แน่นอนในใจของทอมเมนคือการกลัวว่าเขาจะไม่มีค่าพอสำหรับใครๆ ดังนั้นเด็กหนุ่มคนนี้จึงต้องพยายามผลักดันตัวเองให้เป็นราชาที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นอะไรที่ดียิ่งไปกว่าที่เขาเคยเป็น เพื่อทำให้คนอื่นพอใจ ภูมิใจ และดีใจกับตัวตนจริงๆ ของเขา

ดังนั้นทอมเมนจึงเครียดกับการที่มีศึกแม่สามีลูกสะใภ้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่เขาก็ต้องเวทน้ำหนักเพื่อให้ยุติธรรมกับทุกฝ่าย นั่นก็แม่ นั่นก็เมีย เขาเองเป็นคนกลาง ย่อมหนีความกระอักกระอ่วนไม่พ้น

จนแม่ถูกคณะศาสนจักรจับไป ทอมเมนถึงรู้ว่าตัวเองไร้อำนาจในมืออย่างแท้จริง เขาเจ็บปวดที่ไม่สามารถปกป้องแม่ได้ เจ็บมากยิ่งกว่าที่เห็นแววตาของแม่ยามเขาเข้าไปขอโทษแม่ และทุกข์มากขึ้นไปอีกเมื่อเมียตัวเองก็ถูกร่างแหไปด้วย

การเป็นคนที่นั่งอยู่บนที่สูงกว่าคนอื่น แต่กลับไร้อำนาจโดยสิ้นเชิงเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจทนได้ แต่ทอมเมนก็ต้องทน

สิ่งหนึ่งที่เขาต้องการทำมาโดยตลอดคือการเป็นราชาที่ดี ทอมเมนต้องการสิ่งนี้มากไปกว่าเรื่องส่วนตัวเยอะมาก ดูได้จากการยินยอมเข้าพบไฮสแปร์โรว การยอมนั่งฟังนักบวชพูด เราว่าทอมเมนไม่ได้เชื่อในศาสนานี้มากนัก แต่ในฐานะราชา เขารู้ตัวว่าเขาสู้กับผู้ศรัทธาจำนวนมากขนาดนี้ไม่ได้ การใช้กำลังปราบปรามลัทธินี้จะได้อะไรขึ้นมา นักบวชตาย สถานที่ถูกทำลาย แต่ศรัทธาในใจผู้คนเล่า?

เราคิดถึงตอนที่จักรพรรดิโรมันยินยอมรับศาสนาคริสต์ เพราะรู้ว่าตัวเองต้านทางแรงศรัทธาที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ ไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตในบ้านเมืองตัวเอง เราว่านี่ล่ะค่ะสิ่งที่ทอมเมนคิด

ในเมื่อปราบปรามด้วยกำลังก็มีแต่จะทำให้ลุกฮือขึ้น ทำไมไม่ปรองดอง ไม่ลองอยู่ร่วมกัน (วลีนี้คุ้นๆ 55555)

ทอมเมนคงคิดสะระตะมาดีแล้ว ว่าสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างสงบลงคือการยอมลงให้กับศาสนา พบกันคนละครึ่งทาง ไม่มีใครสูญเสียอะไร อาจจะดูว่าการที่ทอมเมนยอมอ่อนให้กับไฮสแปร์โรวนั้นเป็นเพราะมาเจอร์รี่เกลี้ยกล่อม เราดูว่าจริงส่วนหนึ่งค่ะ แต่คิดแบบคนที่เป็นผู้นำ ทอมเมนต้องคิดให้ไกลกว่าความแค้นส่วนตัว ครอบครัว เขาต้องคิดเผื่อประชาชนทั้งเมือง และเมื่อครึ่งเมืองก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหวเพื่อศาสนา ทำไมเขาจึงไม่ผนวกรวมไปเสียเลย ไม่เกิดการจลาจร ไม่เกิดการแข็งข้อ ทีนี้การต่อรองใดๆ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสองขั้วอำนาจก็จะเป็นไปด้วยดี ประชาชนแฮปปี้ ผู้นำก็แฮปปี้

แน่นอนว่ามีคนไม่แฮปปี้ นั่นคือเซอร์ซี่

การที่ทอมเมนทำอย่างนั้น มองทางหนึ่งคือการทรยศต่อแม่ตัวเองก็ย่อมได้ การยกเลิก trial by combat ที่เป็นทางออกเดียวของเซอร์ซีอาจจะเป็นการบีบให้เธอต้องทำอย่างนี้ แต่ต้องยอมรับว่าหากทอมเมนต้องการ deal กับศาสนาแล้วก็ต้องยกเลิกอะไรบางอย่างที่มันขัดต่อหลัก อีกอย่าง การตัดสินด้วยการต่อสู้นั่นมันเป็นความยุติธรรมตรงไหน? ในเมื่อทอมเมนตั้งใจจะเป็นราชาที่ดี เขาย่อมล้มล้างสิ่งที่มันขัดต่อความยุติธรรมอยู่แล้ว
ความอึดอัดใจของทอมเมนเคยเผยออกมาในประโยคที่ว่า “เขาเป็นราชาก็จริง แต่ไม่อาจช่วยคนที่รักได้เลยแม้แต่คนเดียว”

มองตามความจริง ที่เขาช่วยไม่ได้ ก็เพราะคนที่เขารักทำผิดจริงๆ ไม่ใช่หรือ?

ทอมเมนอยากเป็นราชา เป็นสามี เป็นลูกที่ดี เสียดายที่เซอร์ซี่กลับมองว่าความพยายามเป็นคนที่ดีของลูกตัวเองคือการทรยศ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่เราเห็นกันไปแล้วใน ep 10

และเมื่อทอมเมนเห็นระเบิดนั้น เราว่ามันเหมือนกับการที่เรากำลังมองดูความพยายามของเราล่มสลายไปกับตา ทอมเมนเดินมาจนสุดทางของเขา การเป็นราชาที่ไร้อำนาจ และไม่อาจทำสิ่งใดให้คนที่ตัวเองรักได้ มันคงเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะแบกรับไหว

การที่เซอร์ซี่ระเบิดโบสถ์ ผลกระทบไม่ใช่แค่โบสถ์ที่ถูกระเบิด แต่เป็นความศรัทธาของประชาชน ความไว้เนื้อเชื่อใจที่พวกเขามีต่อทอมเมนในฐานะกษัตริย์ ไม่มีราชาที่ดีองค์ไหนมองบ้านเมืองตัวเองสูญสลายลงไปในกองไฟโดยไม่รู้สึกอะไรได้หรอก ยิ่งเป็นทอมเมน คนที่ต้องการทำดีที่สุดเพื่อทุกคน เขายิ่งรู้สึกผิด ละอาย ผิดหวัง ฯลฯ ผสมปนเปกัน

แม่ที่เขารัก ทำลายสิ่งที่เขารัก

คนที่เขารัก ถูกทำลายโดยคนที่บอกว่ารักเขาที่สุด

แม่ทำในสิ่งที่ผู้คนไม่อาจให้อภัยได้ แม้แต่เขาเอง...ก็ไม่อาจให้อภัยแม่ได้

แต่เพราะเซอร์ซีเป็นแม่ของเขา แม่ที่เขารักมาก โหยหาที่จะได้รับความรักนั้นมาเนิ่นนาน และแม่ก็ทำลายชั่ววินาทีนั้นลงในพริบตา

ตอนสุดท้ายที่เขาถอดมงกุฎเอาไว้ สำหรับเรา มันหมายความว่าน้ำหนักที่กดทับลงบนบ่าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งมันมากจนเกินแบกรับไหว

และเขาต้องการจากไปในฐานะที่เป็นทอมเมน บาราเทียน ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง มากกว่าการเป็นราชาของเจ็ดอาณาจักร

เพราะมงกุฎนั้น...ทำลายชีวิตเขามาทั้งชีวิตก็ว่าได้

เราหดหู่กับความเงียบงันในวินาทีนั้น กับวูบนั้น มันเหมือนสายลมวูบหนึ่งที่พัดหายไป เป็นวินาทีที่คนๆ หนึ่งเลือกที่จะเป็นหรือตาย
และยิ่งตลกร้ายเมื่อได้ยินเสียงของเฟรย์ “For house Lannister” ในนาทีต่อมา ขณะที่กล้องยังคงแช่เฟรมหน้าต่างว่างๆ บานนั้นเอาไว้

เพราะอนาคตของแลนนิสเตอร์คนสุดท้ายเพิ่งหายไปจากโลกนี้แล้ว


แล้วดูสิ น้องออกจะดีงามขนาดนี้แท้ๆ ทำม๊ายยยยยยยยยย...TT^TT เป็นวินาทีที่เราร้อง 'เฮ้ย!' เสียงดังมากกกกกกก

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่