เดิมเราๆ / ท่านๆเคยเข้าใจกันว่า > บ้านเดิม / อาคารเดิมได้ทำผสมน้ำยากันซึมผสมในคอนกรีตเทพื้นห้องน้ำอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาการรั่วซึมนั้น การปรับปรุงห้องน้ำใหม่ก็เพียงแต่ปรับเปลี่ยนสุขภัณฑ์ & กระเบื้องปูพื้น / ผนังก็เพียงเท่านั้น > ซึ่งหากเราสังเกตุดีๆจะพบว่าในบ้าน / อาคารเก่าๆมักจะมีปัญหาการรั่วซึมจากพื้นห้องน้ำลงมาทำความเสียหายกับเพดาน & วัสดุตกแต่งด้านล่างอยู่เสมอๆ และมัก
เข้าใจกันผิดๆว่าการปูกระเบื้องแล้วยาแนวรอยต่อระหว่างแผ่นกระเบื้องใหม่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเมื่อไรยาแยวมีจุดบกพร่องอีกการรั่วซึมก็จะกลับมาสร้างปัญหาอีกรอบ
เรามาทำความเข้าใจในเรื่อง "
น้ำยากันซึมผสมในคอนกรีต (
Water Proof Agent)" กันก่อน >> น้ำยาประเภทนี้เป็นน้ำยาประเภท Plasticizer ที่ผสมในเนื้อคอนกรีตแล้ว ทำให้ลดการใช้น้ำในคอนกรีตน้อยลง ทำให้คอนกรีตลดฟองอากาศ (
ลดรูพรุนจากการระเหยของน้ำที่ใช้ในการผสมคอนกรีตขณะที่ปูนคอนกรีตกำลังเซตตัว) ทำให้คอนกรีตเนื้อทึบ / แน่น แข็งแรงทนต่อการกัดกร่อน เหมาะสำหรับงานโครงสร้างคอนกรีตทุกชนิด ตั้งแต่งานฐานราก คานเสา ดาดฟ้า เทพื้นคอนกรีต ห้องใต้ดิน อ่างเก็บน้ำ รางระบายน้ำ งานอุโมงค์ แท้งค์น้ำ สระว่ายน้ำ / บ่อปลา และงานคอนกรีตอื่นๆ ที่ต้องการกันซึมและ เพิ่มความแข็งแรง
แต่มักจะเห็นว่าผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือแม้แต่ผู้ควบคุมงานก่อสร้างนั้น ยังขาดความเข้าใจในการใช้น้ำยากันซึมอยู่มาก โดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การใส่น้ำยากันซึมเข้าไปในส่วนผสมคอนกรีตนั้น คือน้ำยาวิเศษที่ช่วยให้คอนกรีต มีความสามารถกันน้ำได้ แล้วก็มีการใช้กันอย่างผิดๆซะเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยคิดว่าข้อความในกระทู้นี้คงจะเป็น ประโยชน์บ้างกับชาวสมาชิก pantip / ชายคา >>
อาจจะมีเนื้อหาไปทางวิชาการบ้าง แต่ก็จะพยายามใช้คำง่ายๆ / ชาวบ้านๆ
ความสามารถกันน้ำของคอนกรีตนั้น จะเพิ่มขึ้นตามค่ากำลังหรือความแข็งแรงของคอนกรีต ซึ่งโดยปกติแล้ว คอนกรีตที่ใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป (
ค่ากำลังอัดมากกว่า 210 กก./ตร.ซม.ขึ้นไป / อายุคอนกรีต 28 วัน) ถ้ามีเนื้อคอนกรีตสม่ำเสมอที่ดี ก็จะมีความสามารถ
ป้องกันการซึมของน้ำได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการให้คอนกรีตมีความสามารถในการกันน้ำมากขึ้น เช่น พื้นห้องน้ำหรือ
พื้นดาดฟ้า ก็จะต้องใช้คอนกรีตที่มีกำลังสูงขึ้น
ซึ่งค่ากำลังของคอนกรีตนั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในส่วนผสมคอนกรีต ซึ่งจะเป็นสัดส่วนกับปูนซีเมนต์กับน้ำ ที่เรียกว่าค่า
Water Cement Ratio (
w/c) เช่น ปูนซีเมนต์ 1 ถุง ปกติน้ำหนัก 50 กก. ถ้าใส่น้ำ 25 กก.(
หรือ 25 ลิตร) จะได้ค่า w/c = 50/25 = 0.5
คอนกรีตที่มีความสามารถกันน้ำได้ดีควรจะมีค่า w/c ต่ำกว่า 0.4 หมายถึงว่า ผสมคอนกรีตโดยใช้ปูน 1 ถุงจะใส่น้ำได้ 20 กก.(หรือ 20 ลิตร) >> ถ้าผสมโดยใช้ส่วนผสมเช่นนี้ได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่มักจะพบว่าถ้าทำการผสมคอนกรีตโดยใช้ปริมาณน้ำดังกล่าว เมื่อใส่ทราย และหินลงไปแล้ว คอนกรีตจะค่อนข้างข้นกว่าปกติ ซึ่งจะนำไปใช้งานหรือเทลงในแบบได้ยาก (
ซึ่งจะเรียกว่ามีความสามารถเทได้ /workability ต่ำ ค่าดังกล่าวนี้นิยมวัดที่ค่าการยุบตัวของคอนกรีตที่เรียกกันว่า slump จะขอข้ามในรายละเอียดไปเพราะจะทำให้ยืดยาว) แต่เอาเป็นว่า ถ้าคอนกรีตเหลวมาก ก็จะมีค่า slump มากจะทำงานได้ง่าย แต่ถ้าต้องการให้คอนกรีตเหลวเพิ่มขึ้น ก็ต้องใส่น้ำเพิ่มขึ้น >> ถ้าน้ำมากขึ้น ค่า w/c ก็จะเพิ่มขึ้น กำลังคอนกรีตก็จะลดลง ดังนั้น น้ำยากันซึมก็จะเข้ามามีบทบาทตรงนี้คือ ทำให้คอนกรีตเหลวขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำ เป็นการใช้ลดปริมาณน้ำลง โดยเพิ่มน้ำยากันซึมเข้าไปแทน
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วน้ำยากันซึมก็คือ สารลดน้ำ ในส่วนผสมคอนกรีตนั่นเอง (
ซึ่งในการใช้งาน ถ้าใส่น้ำยากันซึมในส่วนผสมโดยไม่ลดปริมาณน้ำให้ได้ค่า w/c ที่ต่ำ แล้วใส่น้ำยาลงไปก็ไม่ช่วยให้กำลังสูงขึ้น เพียงแต่จะช่วยให้คอนกรีตเหลวขึ้นเท่านั้น)
การใช้งานที่ไม่ถูกต้องนั้นมักจะพบว่า ไม่ทำการศึกษารายละเอียดปริมาณการใช้งานให้ถูกต้องเสียก่อน (
ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพจะระบุปริมาณน้ำและน้ำยาในส่วนผสมมาให้ด้วย) ซึ่งการผสมจะต้องผสมในน้ำก่อนที่จะนำไปผสมในคอนกรีต ถ้าหากใส่ลงไปภายหลังจากผสมคอนกรีตแล้ว และน้ำยาไม่กระจายตัวดีแล้วก็จะทำให้คอนกรีตไม่แข็งตัว
สรุปสั้นตรงนี้ก็คือ ถ้าผสมคอนกรีตให้มีค่า w/c ต่ำกว่า 0.4 และนำไปใช้งานได้แล้ว คอนกรีตก็จะมีประสิทธิภาพ/ความสามารถกันน้ำได้ดี แต่ ... ถ้าคอนกรีตแห้ง/หนืดไปให้เพิ่มน้ำยากันซึมเข้าไปในส่วนผสมแทนการเพิ่มปริมาณน้ำ >> อย่างไรก็ตาม การใช้คอนกรีตที่มีค่า w/c ต่ำ ก็ต้องมีการบ่มที่ดีด้วย เพราะมักจะแตกร้าวได้ง่าย เนื่องจากการใช้ปริมาณของปูนซีเมนต์ที่ค่อนข้างมาก (
ถ้าจะกล่าวถึงอีกก็จะค่อนข้างยาวและเกี่ยวพันประเด็นอื่นอีก)
หวังว่ากระทู้นี้คงจะเป็นประโยชน์บ้างกับผู้ที่ยังคงคิดว่า น้ำยากันซึมเป็นน้ำยาวิเศษที่ทำให้คอนกรีตป้องกันน้ำได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ถ้าใช้งานไม่ถูกต้องก็เป็นการสิ้นเปลืองเงินค่าน้ำยาโดยใช่เหตุ แถมคอนกรีตยังกันน้ำซึมไม่ได้อีกด้วย
แนะนำดูประกอบ >
http://www.toagroup.com/th/product/66/185-ทีโอเอ-211-คอนกรีต-พลัส.html และ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hoonvi&month=12-06-2008&group=13&gblog=17
[CR] ปรับปรุงห้องน้ำชั้นบน ต้องทำระบบกันซึมด้วยหรือ ?
เดิมเราๆ / ท่านๆเคยเข้าใจกันว่า > บ้านเดิม / อาคารเดิมได้ทำผสมน้ำยากันซึมผสมในคอนกรีตเทพื้นห้องน้ำอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาการรั่วซึมนั้น การปรับปรุงห้องน้ำใหม่ก็เพียงแต่ปรับเปลี่ยนสุขภัณฑ์ & กระเบื้องปูพื้น / ผนังก็เพียงเท่านั้น > ซึ่งหากเราสังเกตุดีๆจะพบว่าในบ้าน / อาคารเก่าๆมักจะมีปัญหาการรั่วซึมจากพื้นห้องน้ำลงมาทำความเสียหายกับเพดาน & วัสดุตกแต่งด้านล่างอยู่เสมอๆ และมักเข้าใจกันผิดๆว่าการปูกระเบื้องแล้วยาแนวรอยต่อระหว่างแผ่นกระเบื้องใหม่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะเมื่อไรยาแยวมีจุดบกพร่องอีกการรั่วซึมก็จะกลับมาสร้างปัญหาอีกรอบ
เรามาทำความเข้าใจในเรื่อง "น้ำยากันซึมผสมในคอนกรีต (Water Proof Agent)" กันก่อน >> น้ำยาประเภทนี้เป็นน้ำยาประเภท Plasticizer ที่ผสมในเนื้อคอนกรีตแล้ว ทำให้ลดการใช้น้ำในคอนกรีตน้อยลง ทำให้คอนกรีตลดฟองอากาศ (ลดรูพรุนจากการระเหยของน้ำที่ใช้ในการผสมคอนกรีตขณะที่ปูนคอนกรีตกำลังเซตตัว) ทำให้คอนกรีตเนื้อทึบ / แน่น แข็งแรงทนต่อการกัดกร่อน เหมาะสำหรับงานโครงสร้างคอนกรีตทุกชนิด ตั้งแต่งานฐานราก คานเสา ดาดฟ้า เทพื้นคอนกรีต ห้องใต้ดิน อ่างเก็บน้ำ รางระบายน้ำ งานอุโมงค์ แท้งค์น้ำ สระว่ายน้ำ / บ่อปลา และงานคอนกรีตอื่นๆ ที่ต้องการกันซึมและ เพิ่มความแข็งแรง
แต่มักจะเห็นว่าผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือแม้แต่ผู้ควบคุมงานก่อสร้างนั้น ยังขาดความเข้าใจในการใช้น้ำยากันซึมอยู่มาก โดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่า การใส่น้ำยากันซึมเข้าไปในส่วนผสมคอนกรีตนั้น คือน้ำยาวิเศษที่ช่วยให้คอนกรีต มีความสามารถกันน้ำได้ แล้วก็มีการใช้กันอย่างผิดๆซะเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยคิดว่าข้อความในกระทู้นี้คงจะเป็น ประโยชน์บ้างกับชาวสมาชิก pantip / ชายคา >> อาจจะมีเนื้อหาไปทางวิชาการบ้าง แต่ก็จะพยายามใช้คำง่ายๆ / ชาวบ้านๆ
ความสามารถกันน้ำของคอนกรีตนั้น จะเพิ่มขึ้นตามค่ากำลังหรือความแข็งแรงของคอนกรีต ซึ่งโดยปกติแล้ว คอนกรีตที่ใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป (ค่ากำลังอัดมากกว่า 210 กก./ตร.ซม.ขึ้นไป / อายุคอนกรีต 28 วัน) ถ้ามีเนื้อคอนกรีตสม่ำเสมอที่ดี ก็จะมีความสามารถ
ป้องกันการซึมของน้ำได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการให้คอนกรีตมีความสามารถในการกันน้ำมากขึ้น เช่น พื้นห้องน้ำหรือ
พื้นดาดฟ้า ก็จะต้องใช้คอนกรีตที่มีกำลังสูงขึ้น
ซึ่งค่ากำลังของคอนกรีตนั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในส่วนผสมคอนกรีต ซึ่งจะเป็นสัดส่วนกับปูนซีเมนต์กับน้ำ ที่เรียกว่าค่า
Water Cement Ratio (w/c) เช่น ปูนซีเมนต์ 1 ถุง ปกติน้ำหนัก 50 กก. ถ้าใส่น้ำ 25 กก.(หรือ 25 ลิตร) จะได้ค่า w/c = 50/25 = 0.5
คอนกรีตที่มีความสามารถกันน้ำได้ดีควรจะมีค่า w/c ต่ำกว่า 0.4 หมายถึงว่า ผสมคอนกรีตโดยใช้ปูน 1 ถุงจะใส่น้ำได้ 20 กก.(หรือ 20 ลิตร) >> ถ้าผสมโดยใช้ส่วนผสมเช่นนี้ได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่มักจะพบว่าถ้าทำการผสมคอนกรีตโดยใช้ปริมาณน้ำดังกล่าว เมื่อใส่ทราย และหินลงไปแล้ว คอนกรีตจะค่อนข้างข้นกว่าปกติ ซึ่งจะนำไปใช้งานหรือเทลงในแบบได้ยาก (ซึ่งจะเรียกว่ามีความสามารถเทได้ /workability ต่ำ ค่าดังกล่าวนี้นิยมวัดที่ค่าการยุบตัวของคอนกรีตที่เรียกกันว่า slump จะขอข้ามในรายละเอียดไปเพราะจะทำให้ยืดยาว) แต่เอาเป็นว่า ถ้าคอนกรีตเหลวมาก ก็จะมีค่า slump มากจะทำงานได้ง่าย แต่ถ้าต้องการให้คอนกรีตเหลวเพิ่มขึ้น ก็ต้องใส่น้ำเพิ่มขึ้น >> ถ้าน้ำมากขึ้น ค่า w/c ก็จะเพิ่มขึ้น กำลังคอนกรีตก็จะลดลง ดังนั้น น้ำยากันซึมก็จะเข้ามามีบทบาทตรงนี้คือ ทำให้คอนกรีตเหลวขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำ เป็นการใช้ลดปริมาณน้ำลง โดยเพิ่มน้ำยากันซึมเข้าไปแทน
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วน้ำยากันซึมก็คือ สารลดน้ำ ในส่วนผสมคอนกรีตนั่นเอง (ซึ่งในการใช้งาน ถ้าใส่น้ำยากันซึมในส่วนผสมโดยไม่ลดปริมาณน้ำให้ได้ค่า w/c ที่ต่ำ แล้วใส่น้ำยาลงไปก็ไม่ช่วยให้กำลังสูงขึ้น เพียงแต่จะช่วยให้คอนกรีตเหลวขึ้นเท่านั้น)
การใช้งานที่ไม่ถูกต้องนั้นมักจะพบว่า ไม่ทำการศึกษารายละเอียดปริมาณการใช้งานให้ถูกต้องเสียก่อน (ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ ที่มีคุณภาพจะระบุปริมาณน้ำและน้ำยาในส่วนผสมมาให้ด้วย) ซึ่งการผสมจะต้องผสมในน้ำก่อนที่จะนำไปผสมในคอนกรีต ถ้าหากใส่ลงไปภายหลังจากผสมคอนกรีตแล้ว และน้ำยาไม่กระจายตัวดีแล้วก็จะทำให้คอนกรีตไม่แข็งตัว
สรุปสั้นตรงนี้ก็คือ ถ้าผสมคอนกรีตให้มีค่า w/c ต่ำกว่า 0.4 และนำไปใช้งานได้แล้ว คอนกรีตก็จะมีประสิทธิภาพ/ความสามารถกันน้ำได้ดี แต่ ... ถ้าคอนกรีตแห้ง/หนืดไปให้เพิ่มน้ำยากันซึมเข้าไปในส่วนผสมแทนการเพิ่มปริมาณน้ำ >> อย่างไรก็ตาม การใช้คอนกรีตที่มีค่า w/c ต่ำ ก็ต้องมีการบ่มที่ดีด้วย เพราะมักจะแตกร้าวได้ง่าย เนื่องจากการใช้ปริมาณของปูนซีเมนต์ที่ค่อนข้างมาก (ถ้าจะกล่าวถึงอีกก็จะค่อนข้างยาวและเกี่ยวพันประเด็นอื่นอีก)
หวังว่ากระทู้นี้คงจะเป็นประโยชน์บ้างกับผู้ที่ยังคงคิดว่า น้ำยากันซึมเป็นน้ำยาวิเศษที่ทำให้คอนกรีตป้องกันน้ำได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ถ้าใช้งานไม่ถูกต้องก็เป็นการสิ้นเปลืองเงินค่าน้ำยาโดยใช่เหตุ แถมคอนกรีตยังกันน้ำซึมไม่ได้อีกด้วย
แนะนำดูประกอบ > http://www.toagroup.com/th/product/66/185-ทีโอเอ-211-คอนกรีต-พลัส.html และ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hoonvi&month=12-06-2008&group=13&gblog=17